“ร้อนมากไหมลูก แม่เอาร่มบังแสงให้นะ” วรรณารีก้มลงพูดกับลูกสาวที่กำลังนอนอยู่ในรถซาเล้งพร้อมกับกางร่มคันโตให้เพื่อป้องกันเด็กน้อยให้พ้นจากแสงแดดยามสาย
ที่รักวัยสามเดือนส่งยิ้มให้แม่อย่างน่าเอ็นดู อากาศร้อนไม่ได้สร้างความหงุดหงิดให้เด็กน้อยแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เด็กหญิงกลับนอนสอดส่ายสายตาไปโดยรอบเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ อย่างสนอกสนใจเป็นที่ยิ่ง
“วันนี้แดดร้อนไปหน่อย แม่ไม่น่าพาลูกออกมาเลย” วรรณารียังคงบ่นพึมพำไม่หยุด
วันนี้เป็นครั้งแรกที่วรรณารีพาลูกสาวออกมาตระเวนเก็บของเก่าด้วยเนื่องจากสายออกไปทำธุระข้างนอก ตอนแรกหญิงสาวไม่คิดจะออกมาในวันนี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ที่รักซึ่งเป็นเด็กที่ไม่ชอบร้องไห้กลับร้องไห้โวยวายจนหน้าตาแดงก่ำ
คนเป็นแม่จึงลองนำลูกไปวางในรถซาเล้งที่ใช้รับซื้อของเก่าแล้วเข็นเล่นไปรอบ ๆ บริเวณบ้าน น่าประหลาด ทันทีที่เริ่มเข็นรถ ที่รักก็หยุดร้องไห้เหมือนปิดสวิตช์ ไม่เท่านั้นยังหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจเป็นอันมาก ระหว่างนั้น นิ้วน้อย ๆ ของเธอก็ชี้ไปทางประตูรั้วไม่หยุด ยิ่งวรรณารีเข็นรถออกไปไกลจากบ้านเท่าไร เสียงหัวเราะของเด็กหญิงก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น ดวงตาดำขลับของเธอเปล่งประกายระยิบระยับอย่างชอบใจจนวรรณารีไม่อาจใจแข็งเลี้ยวซาเล้งกลับบ้านได้ จึงลองเข็นพาเดินมาไกลออกไปเรื่อย ๆ และเพื่อไม่ให้เสียเวลาเธอจึงเปิดเสียงจากโทรโข่งที่ติดอยู่กับซาเล้งคอยประกาศรับซื้อของอยู่เป็นระยะ
ตอนนี้วรรณารีเน้นประกาศรับซื้อมากกว่าไปคุ้ยตามข้างทางหรือไปที่ภูเขาขยะในจังหวัดข้างเคียงเนื่องจากลูกยังเล็ก เธอกลัวว่าจะนำเชื้อโรคต่าง ๆ มาติดลูกได้ บวกกับที่เก็บเงินมาได้ก้อนหนึ่งแล้ว เธอจึงใช้วิธีลงประกาศรับซื้อของเก่าตามโลกโซเชียล ซึ่งได้ผลตอบรับดีพอควร หากวันไหนไม่มีใครโทรติดต่อมาเธอก็อาศัยเดินประกาศรับซื้อตามชุมชนละแวกใกล้เคียงแทน
“กระดาษนี่เพิ่มเป็นสามบาทไม่ได้หรือวรรณ” ลูกค้ารายแรกของวันนี้เอ่ยต่อรองราคาขึ้นมา
“ไม่ได้จริง ๆ ป้าแจ๋ว เอาตามตรงเลยคือฉันก็ต้องไปขายที่หน้าโกดังโลละสามบาทเหมือนกัน ที่ฉันให้ป้าโลละสองบาทห้าสิบนี่ก็นับว่าเยอะแล้วนะ ฉันเอากำไรแค่โลละห้าสิบสตางค์เท่านั้น”
“ฉันให้ป้าแจ๋วโลละสามบาทห้าสิบ” เสียงตะโกนแทรกมาจากด้านหลังทำให้วรรณารีเหลียวไปมองอย่างไม่พอใจ
“จริงหรือวะบานชื่น ขายเลย ฉันขายให้” เมื่อได้ราคาที่ดีกว่าแจ๋วก็ไม่มีความลังเลใด ๆ
“คราวหน้าป้ามีอะไรก็ขายกับพวกฉันผัวเมีย อย่าไปขายกับพวกกดราคาอีก” โชติที่มาด้วยกันเอ่ยปากบอกออกไปพร้อมกับมองวรรณารีอย่างแค้นเคือง ปราศจากแววตาลวนลามเหมือนเช่นเคย
แม้จะไม่เห็นสายตาน่าขยะแขยงนั้นอีก แต่วรรณารีก็ไม่รีรอที่จะหันไปคว้าปังตอเล่มใหญ่อาวุธคู่กายขึ้นมา
“น...นังวรรณ ถ...ถ้าแกทำร้ายข้าได้เลือด ข้าจะแจ้งตำรวจจับแกเข้าคุกเสียให้เข็ด” โชติปากคอสั่นและก้าวไปหลบข้างหลังบานชื่นอย่างขลาดกลัว
“ฉันก็แค่เอามาดูว่ามันทื่อไหมจะได้ให้เขาลับคมก่อนเข้าบ้าน หากเจอหมาตัวไหนมาเห่าหอนใกล้ ๆ จะได้กุดหัวมันหลุดได้ง่าย” น้ำเสียงของวรรณารีฟังดูน่าขนลุกเป็นพิเศษสำหรับสองสามีภรรยา นับตั้งแต่เจอเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อหลายเดือนก่อน บุคลิกของวรรณารีได้เริ่มเปลี่ยนไป ดูสู้คนและดูเข้มแข็งแบบชั่วข้ามวัน ยิ่งหลังจากคลอดที่รักออกมาด้วยแล้ว วรรณารีก็ยิ่งดูแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
“น่ากลัวจะบ้าตามนังสายนั่นไปแล้ว” บานชื่นเอ่ยเสียงหยัน ตอนนี้สำหรับเธอแล้ว สายและวรรณารีคือศัตรูตัวฉกาจ เพราะทั้งคู่เป็นสาเหตุทำให้เธอและสามีต้องย้ายออกจากที่ดินผืนนั้น แล้วที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นก็คือสายและวรรณารีกลับเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินผืนนั้นแทนตัวเองอีก เรื่องนี้ทำเอาบานชื่นนอนไม่หลับไปหลายคืนอย่างแค้นใจ
“อยากรู้ว่าเหมือนหรือเปล่าก็เข้ามา” วรรณารีพูดเสียงเหี้ยมพร้อมเงื้อง่าปังตอขึ้นสูงท่ามกลางเสียงหวีดเล็ก ๆ ของผู้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“ว...ว่ายังไงป้าแจ๋ว จะขายให้ฉันไหมโลละสามบาทห้าสิบ” บานชื่นหันไปเร่งเอาคำตอบพร้อมกับมือที่ยกคลุมศีรษะของตัวเองไปด้วย
“ข...”
“ฉันให้ป้าแจ๋วโลละสี่บาทห้าสิบ” วรรณารีรีบยื่นข้อเสนอก่อนที่แจ๋วจะทันตกปากรับคำ ระหว่างนั้นก็จ้องเขม็งไปยังบานชื่นด้วยแววตาเย็นเยียบ
“งั้นขายให้เอ็ง” แจ๋วทำตาพองโตอย่างดีใจคล้ายกับเจอโชคใหญ่หล่นทับแบบไม่ทันตั้งตัว
บานชื่นกัดฟันมองอย่างแค้นเคือง “งั้นฉันให้ห้า...ไม่สิ ให้โลละหกบาทไปเลย” ให้มันรู้ไปว่าใครจะชนะ
วรรณารีกระตุกมุมปาก “งั้นป้าแจ๋วขายให้เขาไปเถอะ หกบาทฉันสู้ราคาไม่ไหว” หญิงสาวเอ่ยยอมแพ้และเข็นซาเล้งออกจากบ้านของแจ๋วไปโดยที่สีหน้าไม่ได้รู้สึกเสียดายหรือเคืองแค้นแต่อย่างใด
“ทำไมถึงยอมแพ้ง่าย ๆ ล่ะ” สมร เพื่อนร่วมอาชีพที่บังเอิญยืนดูเหตุการณ์อยู่ตรงรั้วบ้านได้ถามขึ้นมาตอนวรรณารีเดินผ่าน
วรรณารีแย้มปากน้อย ๆ “ปล่อยให้เขาได้ไปในราคาหกบาทนั่นแหละสะใจดี กระดาษเยอะและหนักขนาดนั้นไม่รู้ต้องจ่ายไปกี่บาท ขาดทุนหนักแน่”
สมรนึกถึงราคารับซื้อกระดาษในตอนนี้ก็ร้องอ๋อขึ้นมา “นั่นสินะ ตอนนี้ราคารับซื้อหน้าโกดังก็แค่สามบาทเท่านั้น ไม่รู้ชาติไหนจะขึ้นไปถึงหกบาท สะใจแท้ ๆ” สมรที่ไม่ใคร่ญาติดีกับบานชื่นมาตั้งแต่ต้นหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ว่าแต่เห็นอ่อน ๆ แบบนี้บทจะสู้ก็สู้ได้ไม่เบานะ”
“ฉันไม่มีใครคอยช่วยนี่พี่ แล้วมีลูกเล็กอีก ไม่อยากเข้มแข็งก็ทำไม่ได้แล้ว”
“พี่ชอบนะคนแบบวรรณ คราวหน้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก พี่กับอุไรยินดีช่วยเต็มที่” สมรเอ่ยถึงอุไร น้องสาวที่ทำอาชีพเดียวกัน
เมื่อไปถึงที่ดินดังกล่าวก็เป็นอย่างที่พีรายุคาดไว้ พื้นที่แถบนี้เป็นบริเวณที่พัฒนาต่อได้ยากเพราะเป็นแถบสวนและไร่ของชาวบ้าน รวมถึงเป็นเขตที่นิยมค้าขายของเก่ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีร้านค้าของเก่าอยู่ถึงสิบกว่าร้านบริเวณนี้ คงจะหานักธุรกิจเข้ามาพัฒนาที่ดินแถบนี้ให้เจริญได้ยากแต่ถึงกระนั้น พีรายุก็ตกลงที่จะซื้อไว้เพราะจินดาราอยากได้นักหนา โดยจะนัดโอนกันในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า“จิ๊ดริดของเก่า” พีรายุพึมพำออกมาอย่างต้องมนต์สะกด“ชื่อแปลกจัง ดูตล๊กตลก ว่าไหมคะพี” จินดาราเบะปากให้กับร้านรับซื้อของเก่าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างทางระหว่างนั่งรถกลับจากดูที่ดินพีรายุยังคงนิ่งเงียบ เขามองดูป้ายร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเหม่อลอย“วรรณ” ชายหนุ่มพึมพำออกมาเสียงเบา“คุณว่าอะไรนะคะ” จินดาราเอียงหน้ามาถาม“วรรณ!” พีรายุตะโกนเสียงดังลั่นรถก่อนหักพวงมาลัยรถเข้าข้างทางอย่างกะทันหัน และพยายามเปิดประตูรถเพื่อจะเดินข้ามไปอีกฝั่งให้ได้“คุณจะทำอะไรคะ!” จินดาราพยายามยื้อแขนชายหนุ่มเอาไว้ไม่ให้เขาเปิดประตูออกไปได้ ขณะที่สีหน้าของเธอเผยถ
ที่อาคารสำนักงานของบริษัทเทพสถิต บริษัทจัดหาวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสูงสิบชั้น มีพนักงานกว่าสามร้อยคน แต่ส่วนมากกลับทำงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาแทบจะหาความสุขไม่ได้ แม้บริษัทนี้จะดูก้าวหน้ายิ่งกว่ารุ่นพ่อของเจ้าของบริษัท รวมถึงสวัสดิการและเงินเดือนที่สูงกว่าที่ทำงานอื่นก็ตาม“นี่เธอ คุณจินดาราอยากกินเค้กมะพร้าวของร้านมิวกี้ เธอไปซื้อมาหน่อย” ชยากร ผู้ช่วยฝ่ายจัดซื้อของบริษัทเดินมาเคาะนิ้วที่โต๊ะประชาสัมพันธ์และสั่งพนักงานประชาสัมพันธ์ที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าบริษัทเสียงแข็ง“แม่บ้านก็มี ไปให้พวกเธอซื้อสิคะ” ชไมพร หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“พวกแม่บ้านทั้งเล็บทั้งมือดำปี๋ จะให้ไปหยิบของกินของคุณจินได้ยังไง พวกเธอนั่นแหละออกไป ร้านอยู่เลยจากนี่แค่สองป้ายรถเมล์เอง ไม่ทันเหนื่อยหรอก”“มันไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรานะคะ เรายังมีงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จก่อนเลิกงาน” ชไมพรยังคงเสียงแข็งชยากรหรี่ตามองเธอ “เธอก็รู้ใช่ไหมว่าคุณจินดาราเป็นใคร แล้วคุณพีรายุรักเธอมากแค่ไหน พวกเธออยากถูกไล่ออกจากงานก่อนสี่โมงเย็น
หลังจากที่กล่อมที่รักให้นอนหลับไปแล้ว ทั้งคู่ได้พากันไปนั่งหารือเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เพิ่งได้มาใหม่“ป้าคะ มันไม่เป็นไรจริง ๆ หรือที่จะไม่ติดต่อบอกเจ้าของที่ดินคนเดิมว่าเราเจอของมีค่าแบบนี้”สายส่ายหน้าพร้อมค้อนขวับให้หนึ่งที “เธอนี่กังวลอะไรไม่เข้าท่า”“ป้าเชื่อว่าเจ้าของเดิมคงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน หรือแม้แต่พ่อของเขาซึ่งเป็นเจ้าของคนก่อนก็ไม่น่าจะรู้ ถ้ารู้คงบอกลูกเขาไปนานแล้วว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ข้างใน ป้าซื้อที่ดินนี้มายี่สิบปีก็ไม่เห็นมีใครมาตามหาตู้นี้สักคน ป้าถือว่านี่เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมที่เราควรจะได้”เมื่อเห็นท่าทีที่ยังสับสนของวรรณารี สายก็ยิ้ม ๆ และพูดต่อ “ป้าจะบอกอะไรให้นะวรรณ วิธีที่เราจะอยู่ในสังคมนี้อย่างมีความสุข นอกจากไม่ไปรังแกใครแล้ว ต้องไม่เป็นคนดีจนเกินงามด้วย อะไรที่เป็นสิทธิ์และโอกาสของเรา เราก็ควรฉกฉวยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นอาจต้องมานั่งเสียดายเหมือนชีวิตของป้า” สายนิ่งไปสักระยะแล้วจึงพูดต่อ “แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็ควรปล่อยมือไป อย่าพยายามยื้อให้เหนื่อย”“อีกอย่าง โชคครั้งนี้ถ้าจิ๊ดริดไม่เป็นคนบอก เราทั้งคู่ก็ไม
หลังจากวรรณารีง้างฝากล่องลึกลับนี้ขึ้นมา หญิงสาวก็เบิกตากว้างกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมานอกร่าง มือและเท้าเย็นเฉียบเหมือนกับไปแช่น้ำแข็งมานานนับชั่วโมงตอนนี้แสงประกายสีทองจากสิ่งของภายในกล่องได้ทำให้ดวงตาเธอพร่ามัวจนต้องกะพริบถี่ ๆ เพื่อหวังจะเห็นภาพตรงหน้าให้ชัดขึ้นทองแท่งจำนวนมากวางเรียงกันในกล่องแบบเต็มพื้นที่!หญิงสาวใช้มืออันสั่นระริกลากผ่านทองแท่งเหล่านั้นอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน หากเธอสัมผัสแรงไปกลัวว่าจะต้องตื่นจากความฝันอันแสนดีนี้เสียก่อนวรรณารีเหลียวมองไปรอบตัวอย่างระแวดระวังก่อนจะรีบปิดฝากล่องลงตามเดิมและกดปุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ นี้อีกครั้ง ฝากล่องได้เลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิทกลายสภาพเป็นชั้นหนังสือธรรมดาทั่วไปอีกครั้งเมื่อเห็นว่ากล่องปิดสนิทดีแล้วเธอก็รีบเข้าไปในตัวบ้านและวิ่งตรงไปยังห้องนอนของสายทันทีหลังจากนั้นไม่นาน วรรณารีก็เดินนำออกมาหน้าตาตื่น ตามด้วยสายที่มีสีหน้าแบบเดียวกัน และปิดท้ายด้วยเด็กน้อยร่างอ้วนที่วิ่งตามมาห่าง ๆ ด้วยขาอันสั้นของเธอ
วรรณารีและสายรอจนกระแต พี่เลี้ยงของที่รักกลับไปพักผ่อนยังบ้านพักคนงานที่สร้างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันมายืนเมียง ๆ มอง ๆ รอบตู้ไม้อย่างสนอกสนใจแต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนตู้ไม้ก็คือตู้ไม้ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษตรงจุดไหน เป็นเพียงตู้ไม้ที่มีชั้นสำหรับวางหนังสือทั้งสามชั้นหนากว่าตู้ปกติทั่วไปเท่านั้น คาดว่าที่ทำให้หนาก็เพื่อรองรับหนังสือซึ่งมีน้ำหนักมากนั่นเอง“ตู้ใบนี้ดีจริงหรือลูก” วรรณารีอดถามออกมาไม่ได้ที่รักพยักหน้าแรง ๆ ติดกันหลายทีจนไขมันตรงแก้มกลม ๆ สั่นกระเพื่อมไปมา มือวรรณารีคันยุบยิบอยากจะบีบแก้มนุ่ม ๆ นั้นใจแทบขาดแต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้วรรณารีและสายพากันเดินวนดูอีกสองรอบก็เหมือนจะไร้ผล“ป้าว่าเรื่องดีที่จิ๊ดริดบอกอาจจะไม่เกิดขึ้นทันทีก็ได้ กลับเข้าบ้านกันดีกว่ายุงเริ่มชุมแล้ว”วรรณารีพยักหน้าเห็นด้วย เธอให้สายพาที่รักเข้าไปก่อน ส่วนตัวเองจะขอทำความสะอาดคราบฝุ่นให้หมดเพราะรู้สึกไม่สบายใจกลัวจะมีแมลงมีพิษหลงเหลืออยู่จนทำอันตรายต่อคนในบ้านได้ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็เช็ดทำความสะอาดภายนอกจนเอี่ยมอ่อง แล้วความสวยง
สำหรับที่ดินที่ได้มาใหม่สด ๆ ร้อน ๆ วรรณารีตั้งใจจะทำเช่นเดิมคือนำที่ดินไปจำนองกับทางธนาคารเพื่อเอาเงินก้อนมาลงทุน แต่ไม่ทันได้ไปติดต่อธนาคารก็มีเรื่องมหัศจรรย์พันลึกเกิดขึ้นในชีวิตวรรณารีเสียก่อน“ป้าโทรหาบริษัทปรับปรุงสวนทำไมคะ” เมื่อได้ยินสายโทรคุยกับบริษัทปรับปรุงสวน วรรณารีจึงถามด้วยความแปลกใจเพราะตามปกติสายเป็นคนเก็บตัวไม่ชอบติดต่อหรือพบใครง่าย ๆ“ฉันก็อยากปรับปรุงที่ดินอีกสี่ไร่ของฉันบ้างสิ ฉันจะปรับปรุงให้เป็นที่วิ่งเล่นของจิ๊ดริด”“ป้าคะ อย่าเปลืองเงินเลยค่ะ” วรรณารีบอกด้วยสีหน้าเป็นทุกข์“ก็นี่มันเงินฉัน ที่ดินฉัน เธอจะมาห้ามอะไร” สายมองตาขวาง“แต่วรรณเกรงใจ”“แล้วมาขัดขวางความสุขของฉันแบบนี้ไม่คิดจะเกรงใจบ้างหรือไง?”“ป้าคะ...” วรรณารีเอ่ยเสียงอ่อยสายถอนหายใจยาว “คิดเสียว่าเห็นแก่ความสุขของคนที่เพิ่งเคยมีครอบครัวและเคยมีหลานแบบฉันเถอะนะแม่วรรณ อย่าห้ามอะไรฉันเลย เงินทองฉันมันท่วมบัญชีไปหมดแล้ว สวรรค์เลยเมตตาให้ฉันได้ใช้ก่อนตาย”“ป้ายังไม่แก่เลยนะคะ”“แต่กำลังจะแก่มากขึ้นถ้าเจอคนขัดคอบ่