อาซานนั่งอยู่ลานระเบียงหน้าบ้านอย่างกระสับกระส่าย ท้องฟ้ามืดค่ำปานนี้นางออกไปที่ใดไยไม่อยู่บ้าน
หรือนางจากไปแล้ว คำพูดเสียดแทงใจครานั้นเขายอมรับว่าตนมีส่วนผิด ดังนั้นหลังออกจากสถานที่แห่งนั้นเขาจึงร้องขอเชิงขอคำสั่งให้อีกฝ่ายจัดเตรียมอาหารสีสันน่ากินมากมายนำมาส่งให้ถึงที่ ใช่ ข้ากำลังทำในสิ่งที่มิเคยทำคือการง้อสตรีผู้หนึ่ง ในที่สุดแว่วเสียงก็ดังเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่หน้ากระท่อมหลังนี้ อาซานพลันร้อนรนเดินวกไปวนมาเดินเอามือไพล่หลัง สีหน้าเคร่งขรึม หลังพูดคุยร่ำลากับเอินอิ๋นหลานสาวของป้าเอินเสร็จ ไฉ่หงกึ่งลากกึ่งเดินหอบตระกร้าสานที่เต็มไปด้วยหน่อไม้เข้าบ้านด้วยความทุรักทุเร บุรุษผู้นี้เป็นกระไรกัน ไฉ่หงเพียงปรายตามองเท่านั้นก่อนจะเดินจากประหนึ่งมองธาตุอากาศ “ช้าก่อน” อาซานมองตามหลังหญิงสาวเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนเปิดปากเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินอ้อมไปปรากฏตัวตรงหน้านาง “ไยหนีออกจากบ้าน” บุรุษผู้นี้ตาบอดไปแล้วหรือไยไม่เบิกตามองตระกร้าหน่อไม้ที่นางเก็บมามากมายเล่นเอาเหนื่อยแทบตาย ประกอบกับโทสะถ้อยคำวันนั้นที่เขาเอ่ยอย่างเย็นช้ายังก้องอยู่ในโสตประสาทเป็นเหตุให้ไฉ่หงอยากจะเมินเฉยไม่ผู้ไม่จาเสียด้วยซ้ำ สตรีผู้นี้โง่จริงๆ ไม่รึว่าเขาเฝ้ารอและเป็นห่วงที่นางกลับช้า “ข้ายังไม่มีที่อยู่ใหม่ ซ้ำยังไม่มีเงินพอที่จะย้ายออกไปจากบ้านท่านในเร็วๆ นี้ เช่นนั้นข้าขอเวลาอีกสักประเดี๋ยวได้หรือไม่” “ข้าขอโทษ” ไฉ่หงเบิกตากว้างมองกลับไปอึ้งๆ บุรุษวางศักดิ์ศรีหยิ่งทระนงใหญ่โตผู้นี้จะเอ่ยออกมาก่อนเช่นนี้เลยหรือ “เช่นนั้นข้าเองก็ขอโทษที่โมโหวู่วามจนเลือดขึ้นหน้าแล้วลงไม้ลงมือกลับท่าน” “…..” ใบหน้าหล่อเหล่าปรากฏรอยยิ้มจางๆ แท้จริงแล้วการง้องอนสตรีมิใช่เรื่องอยากเสียหน่อย “แต่มีคราวหน้าข้าไม่เอาท่านไว้แน่หากเลือดไม่ไหลหมดตัวข้าจะไม่หยุดอันขาด!” อาซานได้ยินสีหน้าพลันเปลี่ยนสีทันที ไฉนนางเจ้าคิดเจ้าแค้นนักเล่า สัตย์เลี้ยงบ้านเขาน่ากลัวเกินไปเสียแล้วประมัง “เหอะ ข้าดูเป็นคนเช่นนั้นรึ” ใช่ เช่นนั้นแหละ ไฉ่หงจึงพยักหน้าแต่อดแย้งในใจเสียมิได้ “สิ่งนี้เจ้านำมันมาทำอะไร ให้ข้าช่วยดีหรือไม่” อาซานได้แต่ทำกระพิบตาปริบๆ ก่อนชี้ไปที่ตระกร้าโดยเร็ว ว่าแล้วจึงถือวิสาสะไถ่โทษนางด้วยการยกสิ่งนั้นขึ้นมาด้วยสองมืออย่างง่ายดาย “หน่วยก้านดี” นางพึ่มพรำออกมาเบาๆ ดวงตายังคงเพ่งมองเรือนร่างหนากำยำผ่านเนื้อผ้าอาภรณ์สีซีดซอมซ่อนั้น “เช่นนั้นนำไปไว้ในครัว” อาซานทำตามอย่างว่าง่ายหากแต่ในความจริงแล้วเขาสถบคำด่าหยาบคายมากมาย “ท่านไปรับจ้างแบกฝืนดีหรือไม่” “ข้าไม่ทำงาน” “อื้มข้ารู้ แต่ข้ารับปากแล้วว่าพรุ่งนี้ท่านจะไป” บัดซบ! ในยามค่ำคืนอันมืดสนิทนี้ ท้ายหมู่บ้านกลับมีกระท่อมน้อยหลังหนึ่งยังคงจุดตะเกียวสว่างไสว ความจริงวันนี้นางเหน็ดเหนื่อยเกินจนจะทนไหวพอล้มตัวลงนอนหัวถึงหมอนก็จะหลับอยู่แล้ว หากแต่กลับถูกเจ้าคนผู้หนึ่งฉุดลากฉุดดึงออกแรงบังคับให้ตามมาเสียจนได้ ไฉ่หงพลันใบหน้ายิ้มแย้มจนดวงตาเสี้ยวพระจันทร์ก่อนนั่งลงอย่างว่าง่าย แต่เดี๋ยวก่อน เขาเป็นยากจก เขาไม่มีเงินสักอีแปะ “ท่านขโมยมาจากที่ใดหรือ” “เหอะ” อาซานแค่นเสียงเย้ยยันในคอทีหนึ่ง “ข้าจนตรอกอับจนหนทางจนถึงขั้นต้องไปขโมยอาหารผู้อื่นมาเลี้ยงเมียตนเองด้วยรึ” แท้จริงแล้วข้าร่ำรวยจนเจ้าคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ “เช่นนั้นก็แล้วไป” นางก็คร้านจะใส่ใจเช่นกัน ไม่ว่าจะนำอาหารหลากรสน่าทานพวกนี้มาจากที่ไหนหากแต่ไม่ได้ไปขโมยผู้อื่นเดือดร้อนก็พอแล้ว “ไม่อร่อยหรือ” “อร่อยแต่ข้าเหนื่อย ข้าอยากนอน ข้าไม่ไหวแล้ว” อาซานเห็นเป็นเช่นนั้นจึงคว้าแย่งตะเกียบมาถือไว้ในมือก่อนจะคีบเนื้อผัดซอสชิ้นโตๆ เต็มคำจ่อไปตรงปากนาง “อ้าปาก บางทีมื้อต่อไปอาจจะไม่ได้กินเช่นนี้แล้ว” ก็จริงบางทีมื้อต่อไปหากไม่หาเงินเข้าบ้านอย่างหวังว่าจะได้กินเนื้แม้แต่หมั่นโถวง่ายๆ ก็ไม่มีให้กิน ไฉ่หงลงมื้อกินต่ออย่างว่าง่ายโดยมื้อชายหนุ่มคอยคีบเข้าปากจนแทบสำลัก แท้จริงท่านก็มิใช่คยเลวร้ายอย่างที่คิด “ข้าอิ่มแล้ว” หากไปต่ออีกนิดนางจะอ้วกกองลงตรงหน้าแล้วนะ ไฉนถึงเอาแต่ป้อนแล้วไม่ดูเสียบ้าง “ได้อย่างไร หากทิ้งเสียดายแย่อาหารเหล่านี้ล้วนเพื่อภรรยาผู้เหน็ดเหนื่อยทำงานของของข้า” เหอะ อีกแล้ว อีกแล้วคราวนี้จะหลอกอะไรนางอีก “อย่ามาเล่นลิ้นเฉไฉกับข้า พรุ่งนี้ไปทำงานเสีย” ไม่ได้ผลเขาคิดไว้แล้วเชียวหากถูกนางจับได้จะไม่ครั้งต่อไป อาซานลดมือวางตะเกียบลงบนโต๊ะ รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่ตรงมุมปากนางทำให้ชัดเจนแล้วว่าเขาถูกกลั่นแกล้งเอาคืน “ไฉนเจ้าถึงเจ้าคิดเจ้าแค้นกัดไม่ปล่อย” “ข้าเปล่า” ไฉ่หงพรางตอบกระพริบตาปริบๆ “ดูบ้านของพวกเราสิที่ผ่านมาท่านอยู่ได้อย่างไร หากถึงฤดูฝนเล่าคงเปียกปอนหมดเสียกระมังหรือท่านคิดว่าข้าจะจากไปจริงๆ งั้นหรือ” “…..” นั่นสิ บางทีเขาอาจจะอยู่ไม่ถึงฤดูฝนเร็วๆ นี้ แต่นางเล่านางจะอยู่เช่นไร “เห้อ การหาเงินไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ข้าไปจากท่านไม่ได้หรอกนะ จะอยู่แกะติดแบบนี้ไปเรื่อยๆ หากเมื่อไหร่ท่านมีสหายที่รู้ใจยามนั้นข้าถึงจะยอมออกมาก็ๅเป็นไร แต่…” กระไรหรือ “ระหว่างนี้ห้ามเอ่ยปากไรข้าอีก ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่รู้จักผู้ใดนอกจากท่านแล้วเช่นนั้นห้ามเอ่ยหากอีกสัญญาได้หรือไหม” ชั่วชีวิตนี้นางอาจจะรู้จักแค่เขา แต่ชั่วชีวิตนี้มีผู้คนมากมายที่รู้จักเขายากจะหลีกเลี่ยง ไฉ่หงยิ้มแย้มยื่อมือมาให้เขาเกี่ยวก้อยสัญญา “เจ้าเป็นเด็กหรือไร” อาซานชักสีหน้าครุ่นคิดเคร่งเครียด นางพลันหดเกร็งคอลง ชักดึงมือตัวเองกลับอย่างรวดเร็ว เอ่ยอย่างน่าสงสาร “แน่ละสิ ท่านอยากไล่ข้าให้พ้นหน้าโดยเร็วนิ” “เหลวไหว” อาซานเบี่ยงเบนเหม่อหน้าไปทางอื่น มองออกไปนอกประตูบ้านอย่างไรจุดหมาย “ข้ามีภรรยาแล้วไยต้องชมชอบสตรีอื่น”จวนชินอ๋องตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ยามค่ำคืนมีแสงไฟส่องสว่างตลอดทั้งคืน เสมือนกำลังเตรียมตัวให้พร้อมกับบางอย่างไฉ่หงส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร”บุรุษผู้นี้ไม่มีความพอดีเอาซะเลย ตั้งแต่รู้ว่าในท้องของนางมีเด็กตัวแดงอาศัยก็เฝ้าถามด้วยสายตาสงสารตลอดว่าเด็กจะออกมาเมื่อไหร่นางมิใช่สุนัขที่ต้องตั้งท้องสองเดือนแล้วออกนะเฟยหลงชินอ๋องพยักหน้า ทว่าไม่ได้ช้อนตาขึ้นมองนางหากแต่กำลังจดจ้องอยู่ที่หน้าท้องกลมใหญ่“เขาอึดอัดหรือไม่” มนุษย์อาศัยอยู่ในนั้นได้นานเพียงนี้เชียวหรือ“ไม่รู้ แต่มารดาอึดอัด” ไฉ่หงเบะปากเจ้าเด็กตัวแดงนี่พอหิวก็โวยวายถีบท้องนางจนจุก พออิ่มแล้วก็นอนสบายใจจนใจหาย ช่างเหมือนสามีผู้นี้ไม่มีผิด!เอาแต่ใจ!“เขาเหมือนท่าน”“……” เฟยหลงชินอ๋องเขาเงียบไปพักหนึ่ง จ้องคนบนเตียงอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าหลังคลอดลูกแล้ว เขาจะช่วยนางอบรบสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีเอง เกรงว่าหากไม่เป็นเช่นนั้นคงมีนิสัยไม่ต่างจากมารดาแน่ แค่นางคนเดียวก็เกินจะรับมีไหวแล้ว“มานั่งนี่” ไฉ่หงตบมือลงเตียงที่ว่างข้
หลังปีใหม่ผ่านพ้นไปดูเหมือนอากาศจะเย็นลงทุกพื้นที่ยามพลบค่ำและรุ่งสางมีหมอกแผ่ปกคลุมขึ้นมา ยามลมพัดโชยมาเห็นได้ว่าวันนี้คงเป็นวันที่หนาวเย็นที่สุดในฤดูกระมัง เฟยหลงชินอ๋องยืนหลับตาเหม่อลอยหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อนปลายฤดูใบไม้ผลิอีกตามเคย“สามี..”สองคำเรียกสั้นๆ นั้นทำให้เขาปรือตาขึ้น เหลียวตัวหันกลับไปมอง ทั่วหล้านี้จะมีผู้ใดเอ่ยเรียกเช่นนี้นอกจากนางเฟยหลงชินอ๋องเลิกคิ้วมองสองมือน้อยที่แบออกมา“ขวัญถุง”ขวัญถุง? ตัวเขายังจะมีเบี้ยอะไรติดตัวอีกเล่า ทุกอย่างล้วนมอบให้อยู่ในมือนางแล้วเขาเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือเย็นเฉียบไว้ออกแรงถูกเบาๆ ให้เกิดความร้อน “ยามนี้สามีเองไม่ต่างจากยาจกผู้หนึ่งแล้ว ถึงแบบนั้นอยากได้อะไรก็เอ่ยปากมาย่อมให้ภรรยาได้”“อยากได้อาหลง…ได้หรือไม่”ไฉ่หงถอนหายใจ ก่อนปล่อยมือเปลี่ยนเป็นคล้องกอดแขนชินอ๋องพร้อมบ่นพึมพำ “ท่านนี่นะซื่อบื้อยิ่งนัก”ผู้ใดจะกล้าเอ่ยบอกด่าชินอ๋องหากไม่ใช่ไฉ่หง“ผู้ใดได้ยินจะถูกครหาเอาได้” ชินอ๋องชะงักเอ่ยห้ามปราบ ยามอยู่ในห้องนางจะเรี
ไฉ่หงเพิ่งลืมตาตื่น ค่อยข้างสะลึมสะลือ ร่างทั้งร่างบังเกิดความปวดเหนื่อยส่วนที่เจ็บที่สุดคงเป็นศีรษะ นางไม่มีแต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นจากเตียง“ชินหวางเฟย”ชิงชิง?น้ำเสียงเล็กแหลมเช่นนี้จะเป็นใครไปได้อีก ไฉ่หงปรายตามองเห็นร่างเล็กของสาวใช้ข้างกายฉุกละหุกวิ่งออกไป ได้ยินแจ่เสียงตะโกนว่า ‘ชินหวางเฟยพื้นแล้ว’ ดังไม่ขาดสาย“ชะ ชิง ชิง” ทว่าบอกเอ่ยปากเรียกน้ำเสียงนางกับแหบแห้งประหนึ่งปลาขาดน้ำครั้นตั้งสติได้ เมื่อคืนนางฝัน คล้ายรู้สึกว่าเป็นความฝันที่เหมือนจริงเกินไป ทั้งความเจ็บปวด ทั้งความเสียใจ ยามนี้แม้กระทั่งนึกถึงขอบตากับร้อนผ่าว น้ำตาจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อหรือแต่จริงแล้วนั่นคือเจ้าของร่างก่อนที่นางจะมานางชื่อซูเม่ยมองค์หญิงแคว้นล่มสลายมารดาเป็นสนมขั้นเฟย บิดาเป็นฮ่องเต้พี่สาวต้องพระราชสมรสเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเพื่อให้รอดพ้นจาะสถานการณ์บ้านเมือง เสด็จแม่ทรงทำทุกวิธีทางเพื่อให้ท่านพี่ได้ตบแต่งออกไป แล้วข้าเล่า….จนหนึ่งปีให้หลังแคว้นล่มสลาย บุรุษถูกประหารไม่เว้นส่วน
“มันตัวใดขวางทางก็ฆ่าทิ้งซะ”ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นซื่อจื่อรนหาที่เองเพียงประโยคนี้ประโยคเดียวของชินอ๋องก็เพียงพอแล้ว องค์รักษลับล้วนพยักศีรษะเข้าใจเฟยหลงชินอ๋องชินยืนอยู่หน้าท้องพระโรง สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกยามมีสายลมเย็นโชยมาก็บิดพริ้วปลิ้วไสว ทั้งใบหน้านิ่งเย็นยะเยือก นัตย์ตาสีน้ำหมึกดุจมัจจุราชก็ไม่ปานทหารกบฎเห็นเฟยหลงชินอ๋องปรากฎกายเบื้องหน้า ตัวพลันหวั่นหวาดกลัวเพราะความสามารถของอีกฝ่ายอยู่ลึกในใจ “ท่านอ๋อง...เฟยหลงชินอ๋อง ทรงกลับไปเถอะขอรับ สายเกินไปแล้ว” แม้น้ำเสียงช่วงแรกจะตะกุตะกะหากแต่ช่วงหลังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ท้ายที่สุดแล้วบังลังก์มังกรก็ตกเป็นของซื่อจื่อ เป็นหลานของสกุลหลี่อยู่ดี“ถอยไป!” เฟยหลงชินอ๋องแค่เสียงฮึออกมาจะไม่หลีกบิดาแน่ใจแล้วหรือ เขาเบี่ยงเบนสายตาส่งสัญญาณไปยังโม่เหวินก่อนที่อีกฝ่ายจะชักคมดับออกจาฝักเดินก้าวขุมก็ตะบันคอกบฎหลุดออกจากบ่าไม่มีขอกาสได้ร้องขอชีวิตทหารรักษาหน้าประตูห้องพระโรงขาดความระมัดระวังมาก ไม่นานก็มีเสียงดาบครืนเคร้งปะทะกัน กลิ่นเลือดคละคลุ้งตามอากาศชวนอ้วกแต
ไฉ่หงรูม่านตาหดเล็ก หลี่มองชินอ๋องที่เดินมาแต่ไกลใบหน้าอิดโอย “อาหลง…” ยังไม่ทันได้เอ่ยอันได้ออกไปนางก็ถูกรวบเข้าอ้อมกอดนัตย์ตาสีน้ำหมึกพลันคลายความตึงเครียดลงเมื่อเห็นนางยืนอยู่เบื้องหน้าตนผ่านมาครึ่งปีแล้วที่นางย้ายนำพักมาอาศัยอยู่เมืองหลวงและผ่านมาเกือบจะหนึ่งปีแล้วที่สถานการณ์ภายในวังหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ไม่เว้นวันต่อวันที่มีขุนนางใหญ่ถูกฆ่าปิดปากนางเม้มปาก มือลูบหลังเขาเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่ดีขึ้นเลยหรือ”“ไม่” น้ำเสียงพูดขึ้นห้วนๆ แผ่วเบา เว้นช่วงจึงพูดว่า “สมควรตาย” บิดาอยากจะหยิบดาบขึ้นไปตะบั่นคอกบฎผู้นั้นให้แล้วสิ้นไป เพียงแต่เขาไม่ใช่แม่ทัพแคว้นและจะทำเรื่องเช่นนี้ข้ามหน้าข้ามตาฮ่องเต้ได้อย่างไรบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบได้ยินแต่เสียงลมหายใจฟืดฟัดของเขาเท่านั่นเฟยหลงชินอ๋องกระแอ่มไอกลบเกลือนทีหนึ่ง ได้สติว่าตนพลั้งปากสถบออกไปด้วยความเคยชิน “นั่นไม่ใช่ข้า…”ไม่ใช่ท่านแล้วจะใครอีกล่ะ“นั่นไม่ใช่ท่านจริงแท้ อาหลงของข้านั่นสุภาพกับสตรี อ่อนโยนต่อผู้อื่นยิ่งนัก”“ไฉนจึงเพ้อเจ้อ” ถึงแบบนั้นเขาก็ฟังจนจบประโยค รู้สึกว่าไม่ถูกนัก เพียงแต่นางพูดอะไรเขาย่อมเชื่อโดยไม่เอ๊ะใจไ
ไฉ่หงยืนรออยู่เนินนานจนกระทั่งยามโหย่ว(17.00-18.59) ก็ยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของเจ้าของจวน สถานการณ์ในวังหลวงยามนี้จากคำบอกเล่าของชินอ๋องน่าจึงรู้สึกเป็นกังวลใจ“เรากลับไปรอในจวนดีไหมเพคะ” ชิงชิงแอบสังเกตอยู่เงียบๆ นายท่านได้เข้าวังหลวงในสถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าจะปลีกตัวออกมายากนางเหลือบตามองแวบหนึ่งเอ่ยตอบ “รอเพียงนี้แล้วก็รออีกหน่อยเถิด”สองสามเดือนที่ผ่านมาสิ่งที่มองออกคือหวางชินใจเย็นรอคอยผู้อื่นแน่วแน่โดยมิปริปากชิงชิงเป็นเพียงบ่าวไพร่นายว่าเช่นไรก็ตามนั้น“สตรีบำเรอในหลังจวนชินอ๋องมีมากมายเพียงนี้ หากเราใช้โอกาสในยามเทศกาลปล่อยพวกนางไปจะได้หรือไม่”“ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าของจวนเพคะ”เช่นนั้นก็หมายความว่าได้ทว่าไฉ่หงได้ยินแล้วกลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเรื่องที่ข้องคาใจ “จะตรวจร่างกายประจำเดือนอีกเมื่อใด”เหตุใดบุตรของนางยังไม่มาไม่อยากเกิดมาใช้เงินจวนชินอ๋องให้หมดคลังรึ มีมากมายกลายกองเพียงนี้มาเถิดสักสิบคน“ทำมารดายังไม่ท้อง” ไฉ่หงพิมพำชิงชิงมองไฉ่หงด้วยความตกตะลึง กระพริบตาปริบๆครู่หนึ่งพลันได้ยินเสียงรถม้าเคลื่อนที่มาแต่ไกลโพ้น แสงตะเกียง