“มารดาเจ้ารังแกมารดาข้าโดยไร้เหตุผล ทำไมข้าจะพูดไม่ได้”
เมิ่งหว่านชิงกล่าวยังไม่ทันจบประโยค เสวี่ยซูเหวินที่ใจเต็มไปด้วยโทสะก็พูดแทรกขึ้นมา เสวี่ยชิงเยี่ยนเห็นว่าเรื่องราวกำลังจะบานปลายจึงคิดจะอธิบายชี้แจงให้กับหลานชายเข้าใจ ทว่ากลับถูกเมิ่งหว่านชิงแตะแขน ส่งสายตาห้ามปรามเสียก่อน
“ท่านป้าไม่เคารพผู้อาวุโส นับว่าทำผิดกฎบ้าน ลงโทษให้คุกเข่าที่หอบรรพชนสามวัน สวดมนต์สร้างกุศลด้วยการกินข้าววันละมื้อ เพื่อสำนึกผิด! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฏของบ้านที่ท่านลุงใหญ่บอกเอง เหตุใดพี่ชายจึงได้กล่าวว่านี่เป็นการรังแกกันเล่า”
“หุบปาก! ก็แค่ลูกของทหารชายแดนไร้ค่าที่ตายไปแล้ว กล้าดีอย่างไรมาพูดกับข้าแบบนี้”
ได้ยินชายหนุ่มตรงหน้าพูดจาลบหลู่บิดาสีหน้านิ่งสงบของเมิ่งหว่านชิงก็เปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจัง สายตาดุดัน เอ่ยเสียงแข็งกร้าวในทันที
“ทหารชายแดนไร้ค่า อย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงเยือกเย็นที่เด็กสาวเอ่ยออกมาคล้ายมีพลังบางอย่างทำให้เสวี่ยซูเหวินที่เป็นชายหนุ่มวัยเพียงสิบหกปีรู้สึกหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผล
“ชะ... ใช่แล้วจะทำไม หรือว่าเจ้ากล้า...”
โครม! เสวี่ยซูเหวินพูดไม่ทันจบ เท้าเล็กของเมิ่งหว่านชิงก็กระแทกเข้าที่กลางอกของเขาจนร่างสูงโปร่งหงายหลัง ไม่ทันตั้งตัวกระบี่ในมือของอวี้หรุนก็ถูกเมิ่งหว่านชิงดึงออกมาจ่อที่ลำคอของเขาอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วจนแม้แต่องครักษ์ลับที่รุ่ยอ๋องส่งมาสังเกตการก็ยังมองไม่ทัน
"ข้ากล้าหรือเปล่า พี่ชายท่านอยากลองดูหรือไม่"
คงจะมีกดลงบนลำคอแกร่ง เสวี่ยซูเหวินหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านใบหน้าซีดเผือด
“จะ... เจ้า... จะทำอะไร ข้าคือพี่ชายของเจ้า คือคุณชายใหญ่ตระกูลเสวี่ยนะ!”
“คุณชายใหญ่ตระกูลเสวี่ยแล้วอย่างไร วันนี้ข้าเมิ่งหว่านชิงอยากฆ่าเจ้าก็จะฆ่า!!!”
“หยุดนะ!”
เสวี่ยเกาเยี่ยนที่เพิ่งมาถึงร้องห้ามเสียงดังลั่น ก่อนจะรีบเข้ามาประคองบุตรชายลุกขึ้นดึงตัวให้ออกห่างจากเด็กสาวตระกูลเมิ่ง
เสวี่ยซูเหวินที่กลัวจนปัสสาวะราดรีบโอบกอดบิดา พร้อมกับหมุนตัวไปหลบด้านหลัง ร่ำไห้หวาดกลัวราวกับเป็นเด็กชายสามขวบที่ยังไม่หย่านมมารดา
“ท่านพ่อ นางจะฆ่าข้า ท่านต้องไล่นางออกไปนะ”
เสวี่ยชิงเยี่ยนได้ยินอีกฝ่ายจะไล่ลูกสาวของตนออกจากจวนก็ลุกขึ้นมาจับแขนบุตรีดึงรั้งให้นางไปยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะประจันหน้ากับพี่ชายต่างมารดาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หากพี่ใหญ่จะไล่ชิงเอ๋อร์ออกจากจวน เช่นนั้นก็มอบหนังสือขับออกจากตระกูลมาให้ข้า ”
แม้จะรู้สึกผิดต่อบิดามารดาผู้ล่วงลับ แต่ถ้าจะต้องทนเห็นบุตรสาวถูกผู้อื่นรังแกเช่นนี้ เสวี่ยชิงเยี่ยนก็ยินยอมแบกรับคำประนามขาดความกตัญญู เป็นสตรีไร้คุณธรรม
"เสวี่ยชิงเยี่ยน เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าหรือ!"
"ข้าย่อมรู้ว่าท่านกล้า เจียงซินเตรียมหมึกพู่กันและกระดาษมาให้นายท่านเสวี่ย"
เสวี่ยนชิงเยี่ยนไม่ใช่คนโง่เขลา ก่อนหน้านี้ถูกคำว่าญาติพี่น้องบังตาจึงได้มองไม่เห็นความต่ำช้าของพี่ชายต่างมารดาและภรรยาของเขา เขา ทว่าตอนนี้การกระทำของอีกฝ่ายชัดเจนแล้วว่าไร้ซึ่งไมตรี ขอเพียงวันนี้เขามอบหนังสือขับไล่ออกจากตระกูลให้นาง นางก็จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตที่จวนเมิ่งได้อย่างถูกต้อง
"พี่ชายเชิญ..."
เสวี่ยเกาเยี่ยนกำมือแน่น มองหมึก พู่กัน และกระดาษตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ แน่นอนว่าตัวเขาอยากตัดขาดจากน้องสาวตรงหน้าผู้นี้ใจแทบขาด หากแต่เมื่อนึกถึงคำพูดของภรรยาก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้
รองเจ้ากรมพิธีกู้หลงใหลเสวี่ยชิงเยี่ยนมาตั้งแต่แรกรุ่น หากสามารถส่งนางไปเป็นอนุ เขาต้องช่วยท่านในการคัดเลือกเลื่อนขั้นขุนนางครั้งหน้าแน่นอน
“จะอย่างไงเจ้าก็เป็นน้องสาวของข้า ข้าจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างการขับไล่เจ้าออกไปจากตระกูลได้อย่างไร เอาเป็นว่าเรื่องในวันนี้ข้าจะไม่ถือสาหาความ ต่อไปอย่าได้สร้างปัญหาอีกก็พอแล้ว"
เมิ่งหว่านชิงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นแง่แสร้งทำเป็นพี่ชายแสนดี เห็นใจน้องสาวไม่ยอมมอบหนังสือขับไล่ออกจากตระกูลให้ ก็คับแค้นใจจนกำหนดแน่น
พี่ชายที่แสนดีอันใดกัน ล้วนเป็นงูพิษจิตใจต่ำทราม! ที่ไม่ยอมมอบหนังสือขับออกจากตระกูลให้มารดาของนางก็เพราะหมายใจใช้สถานะของพี่ชายส่งน้องสาวในจวนแต่งออกไปเป็นอนุของตระกูลกู้อย่างถูกต้องเสียมากกว่า
"พี่ชายไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ไม่โทษท่าน ขอเพียงท่านยอมมอบหนังสือขับออกจากตระกูลให้ข้า นับจากนี้พวกเราสองพี่น้องก็จะถือว่าตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง เป็นตายไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก!!"
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยนชิงเยี่ยนไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่เขาจะควบคุมได้เหมือนในอดีต เสวี่ยเกาเยี่ยนก็กลืนความโมโหทั้งหมดลงท้องก่อนจะเสแสร้งตีหน้าซื่อ เดินเข้าไปจับมือทั้งสองข้างของน้องสาวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"เยี่ยนเอ๋อร์ เหตุใดยังทำตัวเป็นน้องน้อยเอาแต่ใจของข้าเหมือนในอดีตเช่นนี้อยู่เล่า เอาเถิดวันนี้เป็นอาเหวินที่ไม่รู้ความ ข้าจะพาเขาไปอบรมให้ดีเองดีหรือไม่”
ถูกพี่ชายกล่าวถึงเรื่องราวในวัยเด็ก ภาพครอบครัวที่อบอุ่นในวันวานได้ย้อนเข้ามาในความทรงจำทำให้หัวใจของเสวี่ยนชิงเยี่ยนสั่นไหวและอ่อนลงในทันที
เสวี่ยเกาเยี่ยนเห็นท่าทีของน้องสาวเปลี่ยนไปก็รีบหันไปแสร้งตวาดลูกชาย แล้วลากเขาออกมาจากเรือน
“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงได้!...”
“หุบปาก กลับเรือนเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงดุดันตวาดลูกชายที่ไม่รู้ความของตน หากแต่สายตายังคงลอบมองน้องสาวต่างมารดาในเรือนด้วยความคับแค้นใจ เสวี่ยชิงเยี่ยน ตอนนี้ข้ายังเล่นงานเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวันหน้าจะจัดการเจ้าไม่ได้
....................................
เมื่อกู้อิงโม่อุ้มเสวี่ยชิงเยี่ยนกลับเข้าเรือนไปแล้ว เมิ่งหว่านชิงก็เชิญหยางเทียนอี้ไปที่ศาลาด้านข้าง เพียงแต่เดินมาได้ไม่ไกลร่างเล็กก็ถูกโอบอุ้มจนตัวลอยจากพื้น “ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรเพคะ” “ข้าเองก็หวาดกลัว อยากกลับเข้าห้องให้เจ้าปลอบโยนเช่นกัน” ได้ยินคนสูงศักดิ์ใช้อุบายเดียวกับบิดาเลี้ยงเมิ่งหว่านชิงก็อดที่จะขบขันไม่ได้ ก่อนจะสบตาเอ่ยถามสีหน้าจริงจัง “พระองค์ทำเช่นนี้คุ้มแล้วหรือเพคะ” “หากเจ้าหมายถึงเรื่องสละบัลลังก์ ตั้งแต่ต้นข้าก็ไม่เคยต้องการ” “เช่นนั้นพระองค์ต้องการอะไรกันพคะ” “ต้องการเป็นสวามีเพียงคนเดียวของเจ้า” ริมฝีปากบางยกยิ้มขบขันในทันทีที่ได้ยินความต้องการของคนตัวโต หากแต่หยางเทียนอี้กลับขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทีไม่ยินยอม “ชิงชิง ข้าไม่ยอมเป็นอนุหรอกนะ” คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางบอกว่าจะให้เขาเป็นอนุชาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ความสงสัยก็คลายออกในทันที “ท่านแม่ของข้าเพียงแค่เอาคืนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของท่านอารองกู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเป็นอนุจริงๆ” “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยินดี ชีวิตนี้ข้าจะมีเพียงเจ้าเป็นภรรยา และก็ไม่ยินยอม
หลังจากเดินออกจากท้องพระโรงหยางเทียนอี้ก็กลับไปที่ตำหนักส่วนพระองค์ บรรดาขุนนางต่างเดือดดาลและคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับมาขอร้องและยอมรับข้อเสนอของพวกตน จะมีบุรุษใดไม่รักอำนาจ ไม่ปรารถนาเป็นผู้นั่งบนบัลลังก์มังกร ดังนั้นพวกเขาแค่อดทนรออีกไม่กี่วันก็จะสามารถควบคุมหยางเทียนอี้เอาไว้ในฝ่ามือได้ เพียงแต่สิ่งที่เหล่าขุนนางคิดไม่ถึงก็คือ ตะวันไม่ทันตกดินหยางเทียนอี้ก็นำกำลังส่วนตัวควบม้าออกจากประตูเมืองตะวันออก"เกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ใช่ฝ่าบาทของพวกเราหรือ เหตุใดพระองค์จึงออกจากเมืองอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า""เจ้าไม่รู้หรือไร เมื่อเช้านี้พวกขุนนางบีบบังคับให้ฝ่าบาทแต่งตั้งบุตรสาวของตนเองเป็นฮองเฮาและนางสนม พระองค์ไม่ยินยอมเป็นเครื่องมืออำนาจให้คนพวกนั้นจึงได้สละราชบัลลังก์แล้ว""สละราชบัลลังก์! เช่นนี้ต้าเซี่ยของพวกเราจะทำอย่างไร"เพียงสามวันข่าวลือเรื่องขุนนางบีบบังคับฮ่องเต้จนต้องสละราชบัลลังก์ลี้ภัยออกจากเมืองก็ถูกเล่าลือไปทั่วต้าเซี่ย ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงกระทั่งบางคนยังไปรวมกลุ่มกันที่หน้าประตูจวนของขุนนางเพื่อตะโกนด่าทอและสาบแช่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่ยวายเกิดจลาจลกล
องค์ฮ่องเต้หยางเทียนจงได้ยินว่ารุ่ยอ๋องกลับเข้าเมืองมาช่วยเมิ่งหว่านชิงก็หัวเราะเสียงดังก้องอย่างพึงพอใจ น้องชายของเขาผู้นี้เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ แต่กลับเป็นเพียงบุรุษอ่อนแอ ปล่อยให้สตรีนางหนึ่งควบคุมจิตใจ หนีออกไปได้แล้วอย่างไร เขาแค่ใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ ล่อสตรีแซ่เมิ่งผู้นั้นเข้ามา น้องชายผู้โง่เขลาก็วิ่งกลับมาติดกับเช่นเดิม "บัลลังก์นี้เป็นของข้า ใครก็ไม่สามารถมาแย่งชิงไปได้" กล่าวจบหยางเทียนจงก็เดินผ่านประตูข้างตรงไปยังท้องพระโรง มองเก้าอี้บัลลังก์มังกรด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งยินดี แล้วเศร้าหมองไปพร้อมๆ กัน ภาพในวันวานสะท้อนกลับมาในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเบื้องหน้าบนเก้าอี้มังกรตัวนี้เคยมีบิดานั่งอย่างสง่า เก้าอี้หงส์ด้านข้างก็มีมารดาผู้งดงามนั่งเคียงข้าง ทอดสายตารักใคร่อ่อนโยนมองดูเขาและหยางเทียนอี้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอ่อนโยนมองไปที่พื้นกลางห้องโถง "เสด็จพี่อุ้มๆ ข้าเจ็บ" เสียงของหยางเทียนอี้ในวัยเยาว์ยามหกล้มร้องขอให้เขาโอบอุ้มยังคงชัดเจนในความทรงจำ เพียงแต่เมื่อหลับตาลงและลืมขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็ล้วนจางหายเหลือเพียงห้องโถงที่ว่างเปล่าโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวแล้ว
"นี่ไม่ใช่รุ่ยอ๋อง!"ทหารที่วิ่งนำทางเข้ามาในคุกหลวงร้องบอก เมิ่งหว่านชิงขมวดคิ้วแน่นไม่คิดว่านางวางแผนการอย่างรัดกุมถึงเพียงนี้กลับยังพลาดท่าให้กับฮ่องเต้ทรราช ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนของตนรีบถอยออกในทันที เพียงแต่ให้นางดำเนินการรวดเร็วมากมายเพียงใด ก็ยังคงช้ากว่าคนวางแผนการ ยามเมื่อออกพ้นประตูคุกหลวงมาก็พบว่าเบื้องหน้าถูกล้อมด้วยทหารจำนวนมาก อีกทั้งคนที่นำทหารมาจับกุมตนยังเป็น..."เกาอู๋ฮั่น!!"มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ในชาติก่อนหลังสงครามเมืองประจิมเสร็จสิ้น นางกลับเมืองหลวงก็ถูกเขาลอบวางแผนจับตัวและสังหารอย่างโหดเหี้ยม ไม่คิดว่าในชาตินี้เหตุการณ์ก็ยังคงวนมาให้นางถูกเขาจับกุมอีกเช่นเคย"ฮูหยินคนเก่งของข้า สามีมารับกลับจวนแล้ว""ผู้ใดเป็นฮูหยินของเจ้ากัน!!"เมิ่งหว่านชิงโต้กลับเสียงแข็งกร้าวดุดัน ยิ่งคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน สายตาคมเรียวก็มองชายตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ"เมิ่งหว่านชิง เจ้าใช้สถานะฮูหยินของข้าทูลขอตรานำทัพจากฝ่าบาท เท็จทูลเอาความดีความชอบใส่ตน กล่าวหาว่าข้าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหนีทัพ หากไม่เพราะฮ่องเต้ทรงปรีชาและเชื่อใจตระกูลเกาตอนนี้ตระกูลเกาของข้าถูกประหารทั้งตระกูล
เหตุการณ์รุ่ยอ๋องสังหารเหอไทเฮาแพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าเซี่ย เมิ่งหว่านชิงที่ได้รับข่าวขบกรามแน่น ตั้งแต่ต้นตัวนางก็ไม่ไว้ใจองค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว หากแต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนการใส่ความร้ายแรงเช่นนี้ "ท่านแม่ทัพไม่ทราบว่าท่านเรียกประชุมด่วนเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือขอรับ"รองแม่ทัพฉาง ที่ตอนนี้ยอมรับในตัวเมิ่งหว่านชิงแล้วเอ่ยถามด้วยความเคารพ หญิงสาวจึงหยิบป้ายบัญชาการทหารออกมาวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า สร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่งคืนป้ายบัญชาการ นี่ไม่เท่ากับนางกำลังถอนตัวจากกองทัพหรือ"ท่านแม่ทัพ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร"รองแม่ทัพตงเอ่ยถามด้วยความร้อนรน ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าดูแคลนที่นางเป็นสตรี แต่หลังจากได้ร่วมทัพแม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กลับทำให้เขานับถือนางจากใจจริง“ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการ ตำแหน่งแม่ทัพนี้จึงไม่อาจรับผิดชอบได้อีก"เพราะตัดสินใจที่จะเข้าเมืองไปช่วยหยางเทียนอี้ ดังนั้นเมิ่งหว่านชิงจึงไม่อาจครองตำแหน่งแม่ทัพนี้เอาไว้ได้ ดวงตาเรียวหันไปทางเซี่ยหลิงซางก่อนจะมอบจี้หยกประจำตระกูลเมิ่งและป้ายบัญชาการกองทัพบูรพาให้กับเขา"พี่ชายหลิงซาง ต่อจากนี้ขอฝากกองกำลั
“ไทเฮาเสด็จ!”เสียงรายงานดังมาจากด้านหน้าตำหนักรับรอง หยางอี้เทียนขมวดคิ้วหนา แน่นอนว่าเขาในฐานะอดีตองค์ชายการพบปะกับไทเฮานั้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนสั่งการลงทัณฑ์สังหารต้วนอ๋อง พระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเหอไทเฮา แน่นอนว่าด้วยเหตุและผลการพบปะครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายในภายหลัง รุ่ยอ๋องจึงให้คนออกไปปฏิเสธการเข้าพบของเหอไทเฮา“ไปทูลไทเฮาว่าข้าไม่สะดวกพบพระองค์”สายตาคมมองบรรดาขันทีนางกำนัลที่ถูกส่งมายืนนิ่งไม่ไหวติง ก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่านี่ต้องเป็นแผนการยืมมือฆ่าคนแน่ๆ และเป็นเช่นที่เขาคาดการณ์ เมื่อประตูตำหนักรับรองถูกเปิดออก ร่างของสตรีในชุดสูงศักดิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า“ไทเฮามีเรื่องต้องการสนทนากับรุ่ยอ๋องตามลำพัง พวกกระหม่อมไม่ขออยู่รบกวน ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบคนทั้งหมดก็ออกไปยืนที่ด้านนอกตำหนัก ปากบอกว่าไม่ต้องการรบกวน แต่การกระทำชัดเจนว่าเป็นการควบคุมให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันในตำหนัก“ถวายพระพรไทเฮา”“เจ้าสังหารลูกของข้ายังต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกทำไมกัน”เหอไทเฮากัดฟันเอ่ยเสียงสั่น สองแก้มอาบไปด้วยหยาดน้ำ สองตาแ