“ฝ่าบาทมีรับสั่ง เจิ้นเป่ยอ๋องซูจิ่งสิงคิดก่อกบฏ หลักฐานชัดเจน!”“นับแต่นี้ไปปลดออกจากตำแหน่ง เป็นสามัญชน ยึดทรัพย์เนรเทศไปยังหนิงกู่ถ่า ผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ฆ่าได้ไม่ละเว้น!”ฮูหยินผู้เฒ่าทุบอกกระทืบเท้า “สกุลซูของข้าซื่อสัตย์ภักดี ไฉนเลยจะก่อกบฏได้?”หัวหน้าหน่วยยึดทรัพย์เจียงเต๋อจื้อสบถเสียงเย็น “ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เจ้ากำลังกล่าวหาว่าฝ่าบาท ทรงวินิจฉัยผิดพลาดงั้นหรือ?”ทุกคนไม่กล้าโวยวายอีก กอดกันร่ำไห้โอดครวญทหารหลวงหลั่งไหลเข้ามา ถีบเปิดประตูเรือน ทุบทำลายข้าวของทั่วทุกสารทิศคล้ายโจรก็มิปาน ไม่ว่าที่ผ่านมาเจ้ามีตำแหน่งสูงส่งเยี่ยงไร หากถูกลงโทษยึดทรัพย์ นั่นก็คือคนต่ำต้อยมองภาพวุ่นวายภายในจวนอ๋อง ฮูหยินผู้เฒ่าคิดห้าม แต่กลับถูกเจียงเต๋อจื้อผลักล้มลงกับพื้น กระดูกของหญิงชราเกือบหักถัดมา เจียงเต๋อจื้อหรี่ตามองทางญาติฝ่ายหญิงของจวนอ๋อง“เพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้านำทรัพย์สินส่วนตัวออกไป ญาติฝ่ายหญิงทั้งหมดต้องเปลื้องผ้าตั้งแต่ใต้สะดือลงมาเพื่อตรวจสอบหนึ่งรอบ!”“ไม่ได้!”สีหน้าเหล่าญาติฝ่ายหญิงทั้งโกรธทั้งอายฮูหยินผู้เฒ่าก่นด่าออกมา “เจียงเต๋อจื
“กบฏ ไม่ตายดี!”“สมรู้ร่วมคิดกับทูเจวี๋ย คลอดลูกชายไม่สมประกอบ!”ซูจิ่งสิงนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนกระดานเกวียน รับก้อนหิน มูลแพะและผักเน่าที่โยนเข้ามาทุกทิศทาง...ยามรบชนะกลับมา เขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องแคว้น ราษฎรล้วนโห่ร้องแสดงความยินดีบัดนี้เขาถูกใส่ร้ายข้อหากบฏ ไม่เพียงไม่มีคนขอความเป็นธรรมแทนเขา ทุกคนยังร้องตะโกนใส่ กลายเป็นคนบาปที่ทุกคนตราหน้าหันมองไปที่คนอื่น ๆ ของสกุลซู แต่ละคนเกือบซุกหน้าลงบนบ่าแล้วฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง “เวรกรรม สกุลซูของข้าตกต่ำถึงขั้นนี้เชียวหรือ...”นายท่านบ้านรองซูหัวหลินอดตำหนิไม่ได้ “ล้วนต้องตำหนิจิ่งสิง อยู่ดีๆ ก็คิดไม่ตก ไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏขายบ้านเมือง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า ทั้งครอบครัวล้วนต้องเดือนร้อนเพราะเขา ข้าเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด ถูกราษฎรกลุ่มนี้สบถด่า หน้าก็ไม่กล้าเงยขึ้นมาแล้ว ภายภาคหน้าจะใช้ชีวิตเยี่ยงไร!”นับตั้งแต่ยึดทรัพย์จนถึงตอนนี้ เริ่มแรกทุกคนยังงุนงง จนถึงตอนนี้แต่ละคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้ว มีทั้งคนเชื่อว่าซูจิ่งสิงมิได้ก่อกบฏ และมีคนที่ไม่เชื่อ นายท่านรองเป็นคนแรกที่มิอาจอดกลั้นบ้านอื่นสบตากันแวบ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นภายในสมอง ทำให้กู้หว่านเยว่ตกใจแทบแย่“เจ้าเป็นใคร?”“สวัสดีเจ้านาย ข้าเป็นผู้ดูแลระบบมิติ รับผิดชอบตอบปัญหาที่ท่านสงสัยโดยเฉพาะ”มิติคือพลังวิเศษที่นางมีตั้งแต่ชาติก่อน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ดูแลระบบอันใด“ก่อนนี้เจ้านายอยู่ในขั้นเริ่มต้น จึงไม่ได้เปิดใช้งานฟังก์ชันของระบบ แต่อิงตามการกักตุนสินค้าเต็มพื้นที่ของท่านในวันนี้ มิติได้เปิดใช้งานผู้ดูแลระบบและอาคารทางการแพทย์ให้ท่านแล้ว”กู้หว่านเยว่หลับตาลง เพียงนึกคิดก็เข้าสู่มิติได้แล้ว ดังคาด ภายในพื้นที่กักตุนสินค้า นอกจากสิ่งของที่นางเก็บมา ก็มีอาคารทางการแพทย์เครื่องมือล้ำสมัยหลังหนึ่งทว่า เหตุใดเป็นอาคารทางการแพทย์เล่า?“ซูจิ่งสิงต้องการอาคารทางการแพทย์ เจ้าก็เปิดการใช้งานอาคารทางการแพทย์ ตกลงเจ้าของร่างคือข้าหรือซูจิ่งสิงกันแน่?”กู้หว่านเยว่ไม่สบอารมณ์อย่างมากในใจ“...” ผู้ดูแลระบบแกล้งตายไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำเพียงสำรวจการเปลี่ยนแปลงภายในมิติ นอกจากอาคารทางการแพทย์ นางยังพบหน้าจอคล้ายศูนย์ควบคุมทำนองนั้นเพิ่มขึ้นมาในระบบอย่างหนึ่ง ข้างบนเขียนการเปิดใช้งานอาคารใหม่หลากหลายแบบอ
มีนางเป็นตัวอย่าง ทุกคนล้มเลิกความคิดแล้ว แต่ละคนกัดฟันเดินไปข้างหน้าเดินออกมาอีกราวห้าลี้ กู้หว่านเยว่เห็นนางหยางเหนื่อยจนคล้ายลาแก่ ต้องการขยับขึ้นไปช่วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ “หว่านเยว่ เจ้า เจ้าเหนื่อย ข้าเข็น...”“ใช่แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเพิ่งแต่งเข้ามาก็ต้องถูกเนรเทศไปกับพวกเรา จะยังให้ท่านลำบากอีกได้เยี่ยงไร” ซูจื่อชิงรู้ความ เรียกซูจิ่นเอ๋อร์น้องสาวมาช่วยเข็นด้วยกันใครรู้ซูจิ่นเอ๋อร์ตัวเล็กแต่อารมณ์ร้าย ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ไม่พอใจ “ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว เข็นไม่ไหว ก็ควรให้กู้หว่านเยว่เข็น ใครให้นางเป็นดาวหายนะทำให้พวกเราต้องถูกเนรเทศกันเล่า”“น้องหญิง เจ้าพูดส่งเดชอันใด เรื่องนี้ตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้”ซูจื่อชิงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เหตุใดน้องหญิงคิดเห็นเฉกเดียวกันกับบ้านเหล่านั้นได้เล่า?สีหน้าซูจิ่นเอ๋อร์กลับเปลี่ยนไปแล้ว รู้สึกเกลียดกู้หว่านเยว่เพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วนอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่คร้านจะตามใจอารมณ์ของคุณหนูใหญ่ “เจ้าเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเอ็นดูเจ้าที่สุด บัดนี้เขาหมดสติยังไม่ฟื้น ปรากฏว่าแม้แต่เข็นเกวียนของเขาสักเล็กน้อยเจ้าก็ไม่ยินดี ช่างเอ็นดูอย่างเสียเปล่า
ซูจิ่งสิงไม่รู้ว่าตนตื่นตั้งแต่เมื่อไร“ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”ซูจื่อชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพี่ใหญ่ตื่นแล้ว ในที่สุดเรื่องพี่สะใภ้ใหญ่ก็มีกำลังหนุนแล้ว“พยุงข้าหน่อย” ซูจิ่งสิงยื่นมือออกมาอย่างอ่อนแรง พอนั่งพิงหัวเตียงได้แล้ว เขาก็มองดูกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่คนเดียวด้วยสายตารู้สึกผิด“ขอโทษนะ”ไม่เพียงแต่ทำให้นางเดือดร้อน แต่ยังทำให้นางถูกตระกูลซูหยามเหยียดกู้หว่านเยว่สบตาเขา ตกตะลึงไปเล็กน้อยแล้วรีบร้อนพูดว่า “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่สนใจวาจาของพวกคนขยะแต่นางไม่คิดว่า ซูจิ่งสิงจะปกป้องนางทว่ากลับเป็นคนอื่นๆ ในห้องที่อดกลั้นไว้ไม่ไหว และไม่สนว่าบาดแผลของซูจิ่งสิงเป็นอย่างไร กระโจนเข้ามาถามว่า“จิ่งสิง เจ้าขอโทษนางมันหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคิดว่าพวกเราเหล่าผู้เฒ่าทำผิดหรือ?”หากไม่หย่าภรรยา หรืออยากเห็นนางทำลายตระกูลหรือ?!“รีบหย่ากับนางเสีย ขอเพียงเจ้าหย่ากับนาง พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน”“...”ครอบครัวเดียวกัน?ฮะๆ... ช่างเป็นครอบครัวเดียวกันที่แสนประเสริฐยามเขายังเป็นเจิ้นเป่ยอ๋อง ไม่เ
เมื่อซูจิ่นเอ๋อกลับมา น้ำตาบนใบหน้าของนางก็เริ่มแห้ง มุมปากยังขดเม้มอย่างไม่ชอบใจอยู่เมื่อเดินผ่านกู้หว่านเยว่ นางจงใจแค่นเสียงตะคอก ก่นด่าไปหลายคำ“ดาวไม้กวาด[footnoteRef:1] บ่างช่างยุ สุนัขจิ้งจอก!” [1: หรือดาวหาง คติชนจีนบอกว่าดาวหางจะกวาดล้างผู้คน หากพบเห็น จะเกิดสงครามหรือภัยธรรมชาติ ส่วนความหมายของสมัยใหม่คือ เป็นคำสาปแช่งบุคคลที่จะนำภัยพิบัติหรือโชคร้ายมาสู่ตน มักใช้กับผู้หญิงเป็นหลัก] สุนัขจิ้งจอกนางยอมรับ แต่อีกสองคำนั้นนางไม่ยอมรับกู้หว่านเยว่เหลือบมองหญิงสาว ได้กลิ่นซาลาเปาเนื้อบนตัวของนางโชยมา พลันพูดเสียงดังว่า “ซูจิ่นเอ๋อ เหตุใดปากเจ้าจึงมันเยิ้มเช่นนั้น? เศษเนื้อเองก็ติดอยู่ที่ปาก เจ้าแอบไปกินซาลาเปาเนื้อลับหลังพวกเราหรือ?”“ไม่ ไม่ใช่เสียหน่อย!”ซูจินเอ๋อรู้สึกผิด รีบเช็ดมุมปากทันที สายตามองไปที่ซูจิ่งสิงและคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะได้ยินกู่หว่านเยว่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา“เจ้าหลอกข้า?”ใบหน้าของซูจิ่นเอ๋อเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ นางกัดฟันแล้วพูดว่า“เจ้าบ่างช่างยุ รอก่อนเถอะ เจ้าจะได้มีความสุขเช่นนี้อีกไม่กี่วันแล้ว!”พี่หญิงซือซือรับปากกับนางแล้ว
“นั่นน่ะสิ หัวหน้าใกล้จะหมดลมแล้ว นางยังพิรี้พิไรอยู่อีก”“รู้วิชาแพทย์อันใดกัน? ข้าว่านางเสแสร้งเสียมากกว่า” ชายคางแหลมคนหนึ่งกะพริบตาเล็กน้อย หยิบแส้ออกมา ตั้งใจฟาดไปที่กู้หว่านเยว่ทว่าจางเอ้อคว้าแส้ไว้ได้อย่างรวดเร็ว“เหล่าหลี ให้นางดูก่อนเถิด”เขารู้สึกว่ากู้หว่านเยว่ทำได้“นางยังเยาว์ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นอิสตรี จะรู้วิชาแพทย์ได้อย่างไร?” เหล่าหลี่ยังคงไม่ปล่อยมือกู้หว่านเยว่เลือกเซรุ่มที่ต้องการมาจากหอแห่งโอสถแล้ว เมื่อได้ยินคำเมื่อครู่ จึงมองไปหาและแดกดันว่า“เจ้ารีบห้ามข้าเช่นนี้ หรือว่าไม่อยากให้ข้ารักษาหัวหน้าของพวกเจ้าให้หายหรือ?”“เจ้า เจ้าเหลวไหล ข้าเปล่าเสียหน่อย!”เหล่าหลี่ที่ถูกคำพูดแทงก็โกรธมากเขาอายุมากกว่าซุนอู่ มีคุณสมบัติสูงกว่าซุนอู่ การคุ้มกันครั้งนี้ควรเป็นเขาที่เป็นหัวหน้า แต่เบื้องบนกลับมอบหมายงานนี้ไปให้ซุนอู่แทน...กู้หว่านเยว่มองเขาอย่างหยอกล้อ ไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับเขา ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุเซรุ่มออกมาจากกระเป๋าสะพายหลังแล้วปักลงไปที่แขนของซุนอู่โดยไม่ลังเลการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นวิธีล้างพิษที่มีประสิทธิภาพที่สุดจางเอ้อไม่เคยเห็
“ทำไมเจ้ายังไม่นอน?” “เหตุใดท่านยังไม่นอน?”ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันกู้หว่านเยว่เขย่างานเย็บปักในมือ “ข้าเอาผ้าขี้ริ้วมาเย็บเป็นถุงหอมเล็กๆ สักสองสามถุง แล้วจะใส่สมุนไพรป้องกันแมลงลงไปเจ้าค่ะ”ระหว่างทางเนรเทศ ผู้คนกินนอนในที่โล่ง งูเงี้ยวเขี้ยวขอมีให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆแมงป่องพิษวันนี้มันด้วยมิใช่หรือ?พกถุงหอมป้องกันแมลงไว้สักหน่อย จะได้ไม่โดนแมลงพิษกัดเอาพูดจบ กู้หว่านเยว่ก็ก้มหน้าเย็บถุงหอมต่อทว่าฝีมือการเรือนของนางไม่ค่อยดีนัก นางพลางเย็บพลางมุ่ยหน้า ราวกับว่ากำลังเจอกับปัญหาใหญ่ไร้ทางแก้ซูจิ่งสิงมองแล้วก็อยากจะช่วยขึ้นมา“ข้าช่วยเจ้าเย็บดีกว่า”กู้หว่านเยว่ถามเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านไม่กลัวอับอายหรือ?”นางคิดว่าหากเขากล้าแสดงสีหน้ารังเกียจ นางจะหันหลังจากไปแน่นอน“สิ่งนี้มีอะไรน่าอับอายกัน?” ซูจิ่งสิงพูดอย่างเถรตรง “ข้าได้แต่นอนอยู่บนรถเข็น ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ หากเรื่องเย็บปักเล็กน้อยเช่นนี้ยังรังเกียจ เช่นนั้นถึงจะเรียกว่าน่าอับอาย”อื้ม เป็นคำตอบที่สุภาพบุรุษมาก!เจอปัญหาไม่คิดกลัว กลัวเพียงยามบุรุษเจอปัญหาแล้วยังนอนอยู่บนเตียงทำตัวเป็นนายท่าน รังเกียจนั่น รั
หากกู้หว่านเยว่ไม่ได้คำนึงถึงขบวนที่อยู่ข้างหลัง นางถึงขั้นอยากเอาเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ในมิติออกมา และนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปพบซูจิ่งสิงที่เมืองหลวงโดยตรง“ใช่ อีกสองวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”เกาเจี้ยนร่วมวงสนทนากับกู้หว่านเยว่อย่างมีไม่บ่อยนักเขาก็ไม่ได้เจอลั่วยางมาสักพักแล้ว ไม่รู้ว่าช่วงนี้ลั่วยางทำงานในกองหมอหลวงเป็นอย่างไรบ้าง มีหนุ่มหล่อตาบอดคนไหน ฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ไปจีบนางหรือไม่แต่ว่าเขาค่อนข้างเชื่อใจลั่วยางจู่ๆ เวลานี้เขาก็รู้สึกว่าการมีคนรักที่มุ่งมั่นในหน้าที่การงานเป็นเรื่องที่ดีอย่างไรอย่างเช่นเขาไม่อยู่เป็นเวลานาน แต่เขากลับไม่กังวลว่าข้างกายลั่วยางจะมีคนอื่นรายล้อม แค่คิดก็รู้ว่าด้วยนิสัยของลั่วยาง ช่วงนี้ถ้าไม่เอาแต่หมกตัวอ่านตำราแพทย์อยู่ในสำนักหมอหลวง ก็ไปศึกษาอาการป่วยไม่มีเวลาไปเที่ยวสนุกแน่นอนเกาเจี้ยนหัวเราะคนเดียวระหว่างที่พวกเขากำลังเร่งเดินทาง ตอนนี้เองที่ทุกคนพบว่าฝั่งตรงข้ามของถนนมีหนึ่งคนหนึ่งม้ากำลังวิ่งเข้ามา“ใครกันที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งสวนทางกับพวกเรา ไม่รู้หรือว่าเห็นทัพใหญ่ต้องหลบ?”เกาเจี้ยนขมวดคิ้วพึมพำเมื่อเห็นหนึ่งคนหนึ่งม้าเข
กู้หว่านเยว่มองดูมงกุฎดอกไม้ในมือ มีรอยยิ้มที่งดงามปรากฏบนใบหน้านางสวมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะ ดวงตาโค้งงอ“ขอบคุณ”“ไม่ต้องเกรงใจ” ชวีอวี้ส่ายศีรษะนางรู้ว่ากู้หว่านเยว่ต้องไปวันนี้แล้ว ดังนั้นหลังจากมอบมงกุฎดอกไม้ให้นาง ก็หลบไปยืนที่ข้างถนนอย่างรู้ตัวแล้ว“ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ เทพธิดาไหมจะคุ้มครองท่านแน่นอน”“ได้”นี่คือเจตนาดีที่กู้หว่านเยว่รู้สึกได้ไม่บ่อยในหนานเจียงนางถอดมงกุฎดอกไม้ที่อยู่เหนือศีรษะลงมาดูอย่างละเอียด จากนั้นฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนสนใจ นำมงกุฎดอกไม้เข้าไปเก็บรักษาในมิติ เวลานี้ ภายในเมืองหลวงร่างเงาที่สวมเพ้ามังกรสีเหลืองสดกำลังเดินไปเดินมาในตำหนักอย่างร้อนใจ“ทัพใหญ่ถึงไหนแล้ว ใกล้จะถึงเมืองหลวงหรือยัง?”ซูจื่อชิงที่เพิ่งแต่งงานเสร็จร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก“พี่ใหญ่ จะเร็วเช่นนั้นที่ไหนล่ะ ทัพใหญ่มาจากหนานเจียงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน ลองคำนวณเวลาดู นี่เพิ่งจะผ่านไปสิบวันเอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกห้าวัน พี่สะใภ้ใหญ่จึงจะมาถึง”เขาส่ายศีรษะปกติพี่ใหญ่สุขุมใจเย็น ไม่ว่าเรื่องการปกครองจะยากแค่ไหน เขาก็สามารถสงบไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่หลังจากไ
ทันใดนั้นนางก็กระอักเลือดออกมา ก่อนจะล้มลงไปบนพื้น เพียงเสี้ยววินาทีก็สิ้นลมหายใจ เกาเจี้ยนรุดหน้าเข้าไปตรวจสอบ หลังจากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับกู้หว่านเยว่ “นางตายแล้ว” “เผาเถอะ” กู้หว่านเยว่กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ตอนอยู่ไม่ทำความดี ตายไปก็คงกลายเป็นเพียงกองปุ๋ย “ขอรับ” เกาเจี้ยนชำเลืองมองเฟิ่งอู๋ชีแวบหนึ่ง ดูเหมือนเฟิ่งอู๋ชีจะไม่สนใจจริง ๆ สายตาไร้เยื่อใย เงียบตลอดจนถึงตอนนี้ กู้หว่านเยว่มองไปยังรูปปั้นเทพธิดาไหมอ้วนฉุองค์นั้น “นี่คือเทพธิดาไหมที่ชาวหนานเจียงอย่างพวกเจ้าเอ่ยถึงสินะ?” “ถูกต้อง” เฟิ่งอู๋ชีพยักหน้าเล็กน้อย สายตาที่มองรูปปั้นของเทพธิดาไหมนั้นแฝงไปด้วยความหวาดกลัว “พวกเราจะจัดเทศกาลไหว้เทพธิดาไหมทุกปี ขอให้เทพธิดาไหมคุ้มครองพวกเรา ให้ฟ้าฝนตกตามฤดูกาล ธรรมเนียมนี้ได้รับการปฏิบัติสืบทอดมาหลายพันปีแล้ว” กู้หว่านเยว่พยักหน้า แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมหนานเจียงจะต้องเชื่อเทพธิดาไหม แต่ด้วยความเคารพ นางยังกราบไหว้รูปปั้นเทพธิดาไหมก่อนออกเดินทาง ฮองเฮาหนานเจียงสิ้นพระชนม์แล้ว ราชวงศ์ที่เหลือยู่ก็เป็นเพียงกองทราย เวลาสั้น ๆ เพียงสองวัน ทุกอย่างก็กระจ่า
น้ำเสียงของเฟิ่งอู๋ชีปนสะอื้นเล็กน้อย เขาพยายามควบคุมอารมณ์อย่างมาก นี่คือเรื่องที่ซ่อนอยู่ภายในใจและไม่มีใครรู้ ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ ก็ไม่เคยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่เลยสักวัน ยามที่เขาร้องไห้ ฮองเฮาหนานเจียงทำได้แค่ผลักไสเขาอย่างเบื่อหน่าย ยามเขาบาดเจ็บ สิ่งที่ได้รับมีเพียงแค่ความเย็นชา เขาเคยคิดว่า เป็นเพราะท่านแม่ครองตำแหน่งฮองเฮาอยู่ จึงทำได้เพียงหักห้ามความรู้สึก กระทั่งเห็นนางแสดงออกที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับเฟิ่งหมิงกวง แต่เฟิ่งหมิงกวงไม่เคยเห็นเขาเป็นน้องชาย การมีอยู่ของเขา สำหรับฮองเฮาหนานเจียงแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่อยากเอ่ยถึง สู้องค์ชายที่ไม่ใช่บุตรชายของนางแท้ ๆ ก็ไม่ได้ ภายใต้คำถามของเฟิ่งอู๋ชี เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฮองเฮาหนานเจียงเปลี่ยนไป แสดงออกถึงความรู้สึกผิดที่ถูกปลดปล่อยออกมา “หากเลือกได้ ข้าไม่ให้เจ้าเกิดมาเสียดีกว่า” นางโพล่งออกไป ราวกับรู้ว่าจะไม่มีชีวิตยืนยาว จึงอยากพูดความในใจ “เจ้ารู้หรือไหมว่าข้าเกลียดเจ้ามากเพียงใด?” “ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของเจ้า ก็มักจะนึกถึงผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยสนใจเจ้า” นัยน์ตาของนางเย็นยะเยือก
“ลูกทรพี คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าพาคนอื่นมาถึงที่นี่ เทพธิดาไหมลงโทษเจ้าอย่างแน่นอน” เกาเจี้ยนที่กำลังร้อนใจโฉบบินมาตรงหน้า “หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ท่านหมดหนทางหนีแล้ว เหตุใดยังไม่ยอมแพ้อีก” นัยน์ตาของฮองเฮาหนานเจียงเลื่อนมาหยุดตรงหน้าของกู้หว่านเยว่ “เจ้าคือพระมเหสีแห่งต้าฉีสินะ เจ้าไม่เหมือนสักนิด” กู้หหว่านเยว่เลิกคิ้วสูง ฮองเฮาหนานเจียงมองพิจารณานาง ในขณะเดียวกันนางเองก็มองพิจารณาคนที่อยู่ตรงข้ามด้วย “ท่านไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้เช่นกัน” นางคิดว่าฮองเฮาหนานเจียงจะเป็นสตรีที่มักใหญ่ใฝ่สูง ใบหน้าคงเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเจ้าแผนการ แต่เวลานี้กลับพบว่ารูปร่างของฮองเฮาหนานเจียงดูอ่อนแอมาก หากไม่ใช่เพราะเห็นสายตาที่เฉลียวฉลาดคู่นั้น ก็คงคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นคนทะเยอทะยานเช่นนี้ “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร คำกล่าวนี้ฮองเฮาทรงเข้าใจเป็นอย่างดี บัดนี้หนานเจียงพ่ายแพ้ ข้าเองก็ตกอยู่ในมือของพวกเจ้าแล้ว จะฆ่าจะแกงยังไงก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ” ฮองเฮาหนานเจียงหลับตาก่อนหมุนตัวกลับไปคุกเข่าตรงหน้าของเทพธิดาไหม ปากขยับบ่นพึมพำ กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟัง ซึ่งโดยส่วนใ
“แย่แล้ว นางคงไม่ได้หนีไปแล้วหรอกนะ?” เกาเจี้ยนตบหน้าตักของตัวเอง ฮองเฮาหนานเจียงผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญ ทางที่ดีควรจับนางให้ได้ ถึงจะสามารถยุติสงครามได้ หากปล่อยให้นางหนีไป ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่านางจะไม่มีวันย้อนกลับมาอีกในสักวันหนึ่ง ถึงอย่างไรฮองเฮาหนานเจียงก็เป็นฮองเฮาของหนานเจียงมายี่สิบกว่าปีแล้ว ในหนานเจียงนางยังพอมีอำนาจอยู่บ้าง แค่นางปรากฏตัวและเอื้อนเอ่ย ถึงตอนนั้นอาจจะมีคนในความลับที่ซื่อสัตย์ต่อนางกลับไปหานาง ทำให้นางกลับมาชีวิตชีวาอีกครั้งก็เป็นได้ กู้หว่านเยว่เกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย นางอยากให้ระบบค้นหาว่าฮองเฮาหนานเจียงอยู่ที่ใด แต่นางไม่เคยเจอฮองเฮาหนานเจียงมาก่อน ดังนั้นระบบจึงค้นหาไม่ได้ “นางหนีไปไม่ได้หรอก” เฟิ่งอู๋ชีโพล่งออกไปทันที แววตาของทั้งสองคนเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเขา เขาหัวเราะอย่างข่มขืนหนึ่งเสียง แล้วเดินมาตรงหน้าของกู้หว่านเยว่ “พระมเหสี หากท่านเชื่อข้า โปรดตามข้าไปยังที่ที่หนึ่ง ข้ารับรองว่านางอยู่ที่นั่น” “ที่ไหน?” กู้หว่านเยว่กล่าวถาม อธิษฐานชีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตามข้ามาเดี๋ยวก็รู้เอง แต่ที่แห่งนี้เป็นดินแ
เฟิ่งอู๋ชีดูซีดเซียวลงมาก ในช่วงแรก ๆ เขามีจิตใจฮึกเหิมและมีชีวิตชีวา แววตาคู่นั้นเจือไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ บัดนี้กลับปล่อยให้หนวดเครารกรุงรัง ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าที่ผ่านมาในใจของเขาต้องดิ้นรนมากเพียงใด “ข้าคิดดีแล้ว” นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววเคร่งขรึม “ในช่วงที่ข้าอยู่ต้าฉี มีคนเคยถามถึงความเป็นอยู่ของข้างบ้างหรือไม่? เคยมีคนสนใจว่าข้าจะเป็นหรือจะตายบ้างหรือไม่ ท่านแม่ผู้สูงศักดิ์ของข้าผู้นั้นไม่เคยเห็นข้าเป็นบุตรชายของนาง นัยน์ตาของพวกเขามีเพียงพี่หญิงใหญ่ของข้าเพียงผู้เดียว” ในขณะเดียวกัน เฟิ่งหมิงกวงก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นน้องชาย เฟิ่งอู๋ชีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าขอเพียงเรื่องเดียว หวังว่าท่านจะตอบรับข้า” กู้หว่านเยว่พยักหน้า “ว่ามาสิ” เฟิ่งอู๋ชีกล่าวอย่างจริงใจ “ราษฎรแห่งหนานเจียงล้วนแต่เป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น ข้าหวังว่าท่านจะปล่อยพวกเขาไป อย่าให้พวกเขาต้องไร้บ้าน และอย่าให้หนานเจียงต้องเจอกับการสูญเสียนับไม่ถ้วนอีกเลย” หนานเจียงคือบ้านเกิดเมืองนอนของเขา และเป็นสถานที่ที่งดงามมากแห่งหนึ่ง เขาไม่อยากเห็นบ้านเกิดของตัวเองกลายเป็นร่องรอยแห่งความเจ็บปวดจากสงคราม
ระหว่างเดินทางกลับ ภายในใจกู้หว่านเยว่เกิดความคิดมากมายได้เห็นจดหมายของซูจิ่งสิง จู่ๆ นางก็ไม่ร้อนใจแล้วถือกล่องกลับเข้ากระโจมของตน อีกทั้งยังเข้าไปอาบน้ำภายในมิติ ถึงออกมาเปิดจดหมายอ่านอย่างละเอียด“เห็นอักษรดุจได้พบหน้า น้องหญิง ราชสำนักสงบเรียบร้อยดี”“เรื่องแต่งงานของจื่อชิง กำหนดไว้วันที่ห้าเดือนหน้า”“หนานเจียงเป็นเช่นไร ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้หรือไม่?”“หวังว่าจะกลับมาในเร็ววัน ข้ามีเรื่องสำคัญต้องการปรึกษากับน้องหญิง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่”เดิมทีมุมปากกู้หว่านเยว่ผลิยิ้มอ่อนหวาน จู่ๆ ก็นิ่งเงียบไป นางอ่านจดหมายอย่างละเอียดหนึ่งรอบสุดท้ายแน่ใจว่าเนื้อความในจดหมายไม่ผิดไป อาจเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่ของนางแล้ว“ครั้งก่อนตอนแยกจากกัน แม้พี่ใหญ่ไม่พูดออกมาให้ชัดเจน แต่ข้าเองก็ฟังออกว่าพี่ใหญ่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาบางอย่าง”กู้หว่านเยว่เก็บจดหมาย ขมวดคิ้วแน่น หรือว่าจะเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่แล้ว?จงลี่วิชายุทธ์สูง องค์รักษ์ข้างกายล้วนเป็นปรมาจารย์ทั้งสิ้น มีเรื่องอะไรทำให้เขารับมือยากกันนะกู้หว่านเยว่ใคร่ครวญครู่หนึ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ“ข้าจะรีบย
ทันทีที่เข้ามา เกาเจี้ยนก็เอ่ยถามอย่างทนรอแทบไม่ไหวกู้หว่านเยว่ดื่มน้ำก่อนหนึ่งแก้ว กระแอมไล่เสียง“อย่าเพิ่งรีบ ข้าจะเล่าให้พวกเจ้าช้าๆ เรื่องนี้ยาวยิ่งนัก”จากนั้นนางให้ทั้งสองคนขยับขึ้นมาข้างหน้า เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอุโมงค์เหมืองให้พวกเขาทั้งคู่ฟัง แน่นอนว่าส่วนของมิตินั้น นางหลีกเลี่ยงไปได้อย่างแนบเนียน“ศาสตร์ความเป็นอมตะ?”เกาเจี้ยนได้ยินมุมปากก็กระตุกริกกู้หว่านเยว่มองเขาอยากแปลกใจ “ท่านยิ้มอันใด?”“ข้าแค่ยิ้มที่คนเหล่านี้คิดเพ้อฝัน พวกเราเป็นคนมีกายเนื้อ ไฉนเลยจะมีความเป็นอมตะ? มากที่สุดก็อายุยืนมากหน่อยเท่านั้น”“ยิ่งไปกว่านั้นทางที่พวกเขาเลือกเดิน เพียงได้ยินก็รู้ว่าชั่วร้าย เพียงแค่ไม่ได้รับผลกระทบก็ดีมากแล้ว”เขาส่ายหน้า สีหน้าหมิ่นแคลนกู้หว่านเยว่ลอบถอนหายใจ คนผู้นี้สมเป็นสหายที่ดีของซูจิ่งสิงคนทั่วไปได้ยินศาสตร์ความเป็นอมตะ ใบหน้าล้วนเผยแววกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งแม้แต่ตอนที่ชวีเฟิงได้ยินเจ้าสิ่งนี้ ชั่วขณะนั้นก็เผยความละโมบออกมาจนนางจับได้ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบสายตาเกาเจี้ยนแหลมคม ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ส่วนทางด้านอวิ๋นมู่เองก็ไม่ใส่ใจในเรื่อง