อาคารเอ็นพลัส
“พี่โทรถามเลขาของคุณนครินทร์แล้วเธอบอกว่าวันนี้คุณนครินทร์ไม่ได้นัดใครไว้เพราะฉะนั้นน้องจะขึ้นไปพบไม่ได้หรอกค่ะ” ประชาสัมพันธ์สาวบอกกับเด็กสาวสองคนที่เข้ามาขอพบคุณนครินทร์ประธานบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ซึ่งเขาเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์สูง 20 ชั้นแห่งนี้ด้วย
“แต่หนูมีเรื่องสำคัญจะต้องแจ้งคุณนครินทร์จริงๆ นะคะพี่ช่วยบอกเลขาของเขาหน่อยได้ไหมว่ามีคนที่ชื่อริณเรณูมาขอพบ” เด็กสาวนัยน์ตาเศร้าอ้อนวอนอีกครั้ง
“เมื่อกี้พี่ก็บอกเลขาคุณนครินทร์ไปแล้วว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาขอพบ แต่เธอก็ยืนยันว่าวันนี้เจ้านายไม่ได้นัดใครให้มาเจอที่นี่”
“หนูไม่ได้นัดก็จริงค่ะ แต่หนูก็มีธุระสำคัญจะคุยกับเขาจริงๆ นะคะ พี่ลองโทถามเลขาของเข้าอีกทีนะว่าหนูขอเข้าพบได้ไหม”
“พี่จะโทรให้อีกครั้งเดียวนะ ถ้าครั้งนี้ถูกปฏิเสธมาอีกน้องจะต้องออกไปจากที่นี่”
“ได้ค่ะ แต่พี่อย่าลืมบอกเขานะคะว่าคนที่มาขอพบชื่อริณเรณูหนูเชื่อว่าถ้าคุณนครินทร์ได้ยินชื่อนี้เขาจะต้องให้หนูขึ้นไปพบแน่ๆ” เลยค่ะเด็กสาววัย 16 ปีบอกกับพนักงานประชาสัมพันธ์ของตึกแห่งนี้ด้วยความมั่นใจ
ประชาสัมพันธ์สาวต่อโทรศัพท์สายตรงไปยังหน้าห้องของคุณนครินทร์อีกครั้งแต่ก็ได้รับการปฏิเสธมาอย่างเดิมอีกทั้งตอนนี้คุณนครินทร์เพิ่งเข้ามีประชุมจึงไม่สามารถมารับสายหรือมาคุยเป็นการส่วนตัวได้
“มันไม่ได้ผลหรอกคะน้อง พี่บอกเลขาของเขาไปแล้ว”
“แต่พี่ยังไม่ได้คุยกับคุณนครินทร์เลยนะคะ”
“ตอนนี้คุณนครินทร์กำลังประชุมอยู่น่ะและเลขาก็เป็นคนที่รู้เรื่องของเจ้านายมากที่สุด”
“แล้วหนูจะได้เจอคุณนครินทร์ไหมตอนไหน”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันน้องทิ้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ไว้เดี๋ยวพี่จะเอาไปให้เลขาของคุณนครินทร์เองตกลงไหม”
“ได้ค่ะ”
“แต่หนูขอนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนได้ไหม พี่รู้มั้ยคะว่าคุณนครินทร์เขาจะประชุมเสร็จกี่โมง”
“เรื่องนี้พี่ไม่รู้แต่พี่ว่าน้องอย่ารออยู่ที่นี่เลยนะ ที่นี่มันไม่ใช่ที่สำหรับเด็กใครเดินผ่านไปผ่านมาเขาจะมองไม่ดีเอานะเพราะนี่มันเป็นเวลาเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“แต่หนูอยากเจอคุณนครินทร์จริงๆ นะคะพี่ให้หนูนั่งรอตรงนั้นก็ได้หนูจะอยู่เงียบๆ และไม่รบกวนใครค่ะ” เด็กสาวพยายามร้องขอเพราะเธอมีเรื่องสำคัญที่จะมาบอกผู้ชายที่ชื่อนครินทร์มากๆ และเธอมีแค่โอกาสนี้โอกาสเดียวเท่านั้น
“พี่คะให้หนูกับเพื่อนรอที่นี่นะคะ” เด็กสาวอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกันหรอกขอร้องกับพนักงานประชาสัมพันธ์ของตึกใหญ่
“น้องคะพี่ว่ากลับไปก่อนดีกว่านะ”
“หนูขอร้องนะคะพี่”
ประชาสัมพันธ์สาวถอนหายใจอย่างหนักใจหนึ่งก็รู้สึกเห็นใจเด็กสาวทั้งสองคนแต่ถ้าเธอยอมให้เด็กนักเรียนมานั่งรอก็กลัวจะเกิดปัญหาเพราะเด็กสาวสองคนยังอยู่ในชุดพละของโรงเรียนและเวลานี้มันก็เป็นเวลาที่เด็กควรจะอยู่ในโรงเรียน
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทางด้านหลังมี
“อะไรหรือเปล่าแหม่ม” เขาถามประชาสัมพันธ์สาวด้วยความคุ้นเคยเพราะตนเองก็เช่าตึกแห่งนี่เป็นออฟฟิศมาหลายปีแล้ว
“คุณรามัญมาก็ดีเลยค่ะ เด็กสองคนนี้จะขอเข้าพบคุณนครินทร์แต่แหม่มโทรไปถามเลขาของคุณนครินทร์แล้ว เธอบอกว่าไม่ได้นัดใครไว้และตอนนี้คุณนครินทร์ก็ยังประชุมอยู่ค่ะ”
“หนูสองคนมาหาคุณนครินทร์เหรอมีธุระอะไรกับเขา” รามัญหันมาถามเด็กสาวสองคนที่ยืนทำหน้าเศร้าอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“คุณลุงรู้จักคุณนครินทร์เหรอคะ”
“เดี๋ยวๆ อย่างเรียกว่าลุงสิ ฉันไม่ได้อายุเยอะขนาดนั้น หนูสองคนมาคุยกับฉันตรงนี้ก่อน” ชายหนุ่มพาเด็กสาวทั้งสองคนมานั่งโซฟารับแขกของตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“เอาล่ะมีเรื่องอะไรถึงอยากเจอกับคุณนครินทร์”
“คุณลุงรู้จักคุณพ่อใช่ไหม”
“อะไรนะ เมื่อกี้หนูเรียกคุณนครินทร์ว่าอะไรนะ ฉันได้ยินไม่ถนัด”
“พ่อค่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หนูเป็นลูกของพ่อนครินทร์จริงๆ”
“แต่ฉันรู้จักคุณนครินทร์มานานเกือบยี่สิบปีแล้วและก็รู้จักกับลูกสาวของเขาดีด้วย”
“ก็นั่นมันลูกสาวที่คุณลุงรู้จักนี่คะ แต่หนูก็เป็นลูกอีกคนหนึ่งของพ่อ”
“ฉันว่าก่อนที่เราจะเคลียร์กันเรื่องพ่อของหนูเรามาเคลียร์เรื่องของเรากันก่อนดีไหม”
“เคลียร์เรื่องอะไรคะ” เด็กสาวถามด้วยความสงสัยเพราะเธอกับเขาก็เพิ่งเจอกันครั้งแรก
“ก็เรื่องที่หนูเรียกฉันว่าลุงยังไงล่ะ ต่อไปนี้หนูห้ามเรียกฉันว่าลุงเด็ดขาด”
“แล้วจะให้หนูเรียกคุณว่าอะไรล่ะคะ เรียกพี่เหรอ” เด็กสาวมองดูด้วยสายตาแล้วเดาว่าเขาน่าจะอายุมากกว่าเธอหลายปีมากๆ
“ไม่ขนาดนั้นหรอกเรียกแค่อาก็พอ ถ้าหลุดเรียกว่าลุงมาอีกฉันจะไม่ช่วยหนูตกลงไหม”
“ตกลงค่ะคุณอา”
“แล้วคุณอาชื่ออะไรคะ” เด็กสาวอีกคนหนึ่งถาม
“ฉันชื่อรามัญ หนูสองคนเรียกว่าอารามก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นกันเองเพราะเห็นว่าเด็กสาวสองคนค่อนข้างจะเครียดและดูเป็นกังวลมาก
“ได้ค่ะอาราม” เด็กสาวสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ทีนี้หนูสองคนแนะนำตัวให้อารู้จักว่าว่าหนูเป็นใคร ชื่ออะไรและมาจากไหน” รามัญอยากรู้ข้อมูลของเด็กสาวสองคนนี้ก่อนที่จะคุยเรื่องของคุณนครินทร์
ระยะเวลาที่คบกันนานถึงสามปีทำให้ริณเรณูและรามัญเรียนรู้กันมากขึ้นครอบครัวของหญิงสาวยอมรับชายหนุ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครัวด้วยความเต็มใจแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงงานแต่งงานของทั้งสองถูกจัดขึ้นที่บ้านของคุณย่านารีโดยช่วงเช้าเป็นพิธีตักบาตรและพิธีหมั้นส่วนตอนเย็นก็มีการฉลองมงคลสมรสที่โรงแรมหรูเมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงตอนนี้คู่บ่าวก็อยู่กันตามลำพังในห้องของโรงแรม“วันนี้หนูริณของอาสวยที่สุดเลยนะครับ” รามัญมองเจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานสีขาวด้วยความภูมิใจ“แล้ววันอื่นหนูไม่สวยเหรอคะอาราม” หญิงสาวพูดแล้วคล้องแขนไปบนลำคอของเขาแล้วส่งสายตาอ้อนเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ“หนูริณของอาสวยทุกวันนั่นแหละแต่ที่อาบอกว่าวันนี้สวยที่สุดก็คงจะเป็นชุดเจ้าสาวที่หนูใส่อยู่”“อารามของหนูก็หล่อที่สุดเหมือนกันค่ะ ยิ่งใส่ชุดเจ้าบ่าวแบบนี้ก็หล่อมาก เพื่อนของหนูชมกันใหญ่เลยว่าอารามหล่อ”“แล้วพวกเขาว่าอะไรไหมที่หนูริณแต่งงานกับคนอายุมากกว่าแบบอา”“ไม่เลยพวกเขาดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าอารามอายุเท่าไหร่อารามของหนูดูเป็นวัยรุ่นอยู่เลยค่ะ”“หนูริณช่างพูดแบบนี้มันทำให้หัวใจคนแก่อย่างอาเต้นแรงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้หนูเล่นเลยนะ
“เจ็บแผลมากไหมคะคุณย่า” ริณเรณูถามคุณย่านารีหลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว“ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่จ้ะ น่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาชา”“ถ้าคุณย่าเจ็บแผลหรือปวดแผลต้องรีบบอกหนูนะคะหนูจะได้กดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาดู”“จ้ะลูก หนูริณเพิ่งกลับจากคอนโดยังไม่ได้เอาของเก็บก็ต้องมานอนเฝ้าย่าที่โรงพยาบาลแล้ว เหนื่อยไหมลูก”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ หนูเต็มใจจะอยู่เฝ้าคุณย่า คุณย่าคะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นความจริงใช่ไหม”“ใช่จ้ะมันเป็นความจริงทั้งหมดที่ย่าก็เพิ่งรู้มาได้ไม่นาน หนูโกรธไหมที่คุณศิตาเขาทำแบบนั้นจนทำให้หนูกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ”“หนูยอมรับนะคะว่าโกรธมากเลยค่ะแต่หนูก็คิดว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะคุณย่า ถึงแต่ก่อนหนูกับแม่จะถูกทอดทิ้งเพราะความเข้าใจผิดแต่ตอนนี้แต่ตอนที่หนูไม่เหลือใครคุณพ่อกับคุณย่าก็รับหนูมาอยู่ด้วยมันทำให้ หนูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากอย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวหนู”“เป็นคนจิตใจดีมากเลยนะลูกย่าก็นึกเสียดายถ้าหากแม่ของหนูได้มาเป็นสะใภ้คงย่ามันคงดีมากๆ”“หนูคิดว่าตอนนี้แม่กำลังมองดูอยู่ข้างบนและคงมีความสุขมากที่รู้ว่าเรื่องทุกอย่างในอดีตมันเกิดจากความการเข้าใจผิด
คุณย่านารีนั่งพิงหัวเตียงอยู่ในห้องพักวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งบนศีรษะมีผ้าพันแผลสีขาวขนาดเกือบสามนิ้วติดอยู่ขณะที่รอบเตียงรายล้อมไปด้วยลูกหลานครบทุกคนสีหน้าของผู้สูงไว้ดูเครียดถึงแม้คุณหมอจะแจ้งว่าศีรษะมีเพียงแค่บาดแผลและไม่ได้มีอาการอะไรอื่นแต่ความเครียดของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยเพราะตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลและเป็นห่วงหลานสาวที่เพิ่งรับมาอยู่ด้วยเพียงหนึ่งปีอย่างริณเรณูเป็นอย่างมาก“คุณย่าคะริต้าขอโทษนะคะ ริต้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณย่าเลยแต่คุณย่ามาพูดแบบนั้นกับริต้าเองริต้าก็เลยโมโหและดึงแขนคุณย่าแรงไปหน่อยค่ะ” รวิตายกมือไว้คุณย่านารีแต่ท่าทางของเธอก็เหมือนไม่สำนึกผิดอะไรเลย“ริต้าพ่อว่าหนูไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ ยิ่งพูดมันก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง” คุณนครินทร์ดุลูกสาวหญิงสาวหันมามองผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะน้อยครั้งมากที่เธอจะถูกบิดาดุและครั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นการดุตามลำพังแต่เธอถูกดุต่อหน้าทุกคนในครอบครัว“ก็มันจริงนี่คะคุณพ่อ จู่ๆ คุณย่าก็มาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ริต้าจะไม่ใช่ลูกของคุณพ่อจะไม่ใช่หลานของคุณย่าได้ยังไง คุณย่าคงจะหลงยัยริณมากเกินไปจนมองไม่เห็นหัวริต้าแล้วล่
“นั่นสิคะคุณแม่ให้ริต้าเขาไปอยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยไหมจะได้ไม่เหนื่อยกับการเดินทางมาก” ศิตาพูดเสริมให้กับลูกสาว“แต่คอนโดแถวนั้นราคาสูงมากเลยนะ ย่าว่ามันจะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ อีกอย่างมหาวิทยาลัยของหนูกับที่บ้านก็ไม่ได้ไกลกันมากขนาดนั้น ถ้าเหนื่อยกับการขับรถจริงๆ ให้ลุงสนั่นคอยขับรับส่งไหม”“ไม่ค่ะคุณย่าริต้าอยากได้คอนโดริต้าไปดูมาแล้วราคาแค่เก้าล้านเองนะคะ”“ตั้งเก้าล้านย่าว่ามันแพงไปและมันไม่จำเป็นเลยนะริต้า หนูขับรถจากบ้านไปถึงมหาวิทยาลัยไม่ถึงยี่สิบนาทีเองนะ”“ไม่แพงหรอกค่ะคุณย่าซื้อให้หนูนะคะ หนูสัญญาเลยว่าจะตั้งใจเรียน” รวิตาอยากออกไปอยู่คอนโดเพราะอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระและไม่ต้องรีบกลับบ้านเหมือนกันที่ผ่านมา“คุณย่าครับผมว่าต่อให้คุณย่าซื้อคอนโดราคายี่สิบล้านให้พี่ริต้า พี่เขาก็คงเรียนดีไม่ได้ครึ่งของพี่ริณหรอกครับ” มาวินพูดแทงใจดำของพี่สาวยังจังเขารู้ว่าที่ริต้าอยากย้ายไปอยู่คอนโดเพราะเธออยากจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่า“นี่นายมาวินนายได้ไปเรียนต่างประเทศใช้เงินตั้งมากและได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระพี่ขอแค่คอนโดแค่นี้นายจะมาขัดทำไม” รวิตามองน้องชายด้วยสายตาขุ่นเคือง“ก็ผมสงสารคุณย่านี่คร
ความรู้สึกที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วมีคนนอนอยู่ข้างๆ มันเป็นความรู้สึกที่ริณเรณูโหยหามาตลอดหลายปี แต่ก่อนเธอกับมารดาก็นอนด้วยกันแบบนี้ จนกระทั่งมารดาป่วยและเข้าไปนอนในพยาบาล จากนั้นหญิงสาวก็นอนคนเดียวมาตลอดและพอวันนี้ได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของรามัญก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ริณเรณูอยากให้มันเป็นแบบนี้ทุกวันหญิงสาวพกอดเขาแน่นขึ้นแล้วซุกใบหน้ากับแผงอกของชายหนุ่มเหมือนกับลูกแมวน้อยทำให้คนที่ตื่นมานานแล้วยิ้มกับท่าทางของเธอ“ตื่นแล้วเหรอ”“ยังคะ”“คนหลับที่ไหนจะตอบได้” รามัญพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเขาไม่เคยนอนกับใครจนถึงเช้าแบบนี้เลยสักครั้ง“ก็หนูยังไม่อยากตื่น เมื่อคืนหนูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”“ให้อาทบทวนให้ไหมว่าใช่ฝันหรือเปล่า”“ไม่ดีกว่าคะ แค่นี้หนูก็ไม่มีแรงลุกไปไหนแล้ว อารามคะอาเสียใจไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน” หญิงสาวถามโดยว่าลืมคิดไปว่าคนที่น่าจะถามคำถามนี้น่าจะเป็นฝ่ายชายมากกว่า“หนูริณลืมอะไรไปหรือเปล่า อาต่างหากที่จะต้องถามเรื่องนี้กับหนู หนูเสียใจหรือเปล่า”“หนูก็บอกอาแล้วนะคะว่าหนูไม่เสียใจเลยค่ะก็หนูรักอา”“อาก็รักหนูนะ แต่เราจะทำเรื่องแบบนี้กันอีกไม่ได้”“ทำไมเหรอค
“หนูริณของอาหัวไวมากจูบเป็นแล้ว”“ดีมั้ยคะอาราม”“ดีที่สุดเลย”“ถ้าอารามอยากให้หนูจูบเก่งอารามต้องสอนหนูนะคะ”หญิงสาวพูดออกไปตามอารมณ์และความรู้สึกเพราะเธออยากให้เขามีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น“แน่ใจนะหนูริณว่าจะยอมเป็นของอาจริงๆ”รามัญถามหญิงสาวอีกครั้ง แม้รู้ว่าถ้าหากริณเรณูเปลี่ยนใจตนเองจะต้องจะทรมานมากแน่ไหน แต่ก็ไม่อยากจะหักหาญน้ำใจของคนที่ตัวเองรักเหมือนกัน แม้เขาจะไม่เคยบอกเธอว่าเขาเองก็รักเธอแต่คิดว่าหญิงสาวก็น่าจะเข้าใจดีเพราะถ้าหากเขาไม่รักไม่ได้รู้สึกอะไรก็คงไม่ตามดูแลเธอมาตลอดหลายปีแบบนี้“หนูไม่เสียใจค่ะอาราม” หญิงสาวยืนยันอย่างหนักแน่น“อาจะทำให้ครั้งแรกของเรามีแต่ความสุข”เขากระซิบข้างหูก่อนที่ปลายลิ้นร้อนจะลากไล้ไปตามหน้าอกอิ่มดูดดุนยอดถันกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาว รามัญตวัดปลายลิ้นรัวลงบนยอดถันสลับกับดูดเข้าปากจนแก้มตอบ เมื่อเห็นหญิงสาวแอ่นโค้งหน้าอกอิ่มเข้าหาเขาก็เข้าใจว่าเธอต้องการให้ตนเองทำแบบไหนฝ่ามือร้อนบีบขย้ำอย่างหนักหน่วง ปากร้อนก็ลากไล้สลับไปมาทั้งสองข้างจนเปียกชุ่ม มืออีกข้างลากต่ำลงมายังเอวนวดเฟ้นสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วจะไล้เข้าหาเนินเนื้อเบื่องล่างอีกครั้ง“อ๊ะ