ฟู่ลี่อิ๋งไม่ได้คาดหวังให้เด็กชายกลับมาช่วย แค่เขาเอาตัวเองให้รอดจากคนพวกนี้ไปได้ นางก็พึงพอใจมากแล้ว เด็กตัวแค่นั้นจะเอาอะไรมาช่วยนางกัน ดิ้นรนสู้แรงบุรุษตัวใหญ่กว่านาหลายเท่าอยู่พักใหญ่ ฟู่ลี่อิ๋งก็หมดแรง ยอมให้คนพวกนี้จับนางมัดแขนมัดขาโยนเข้าไปในห้องเก็บของเหม็น ๆ อย่างว่าง่าย
ทั้งมือทั้งเท้าถูกคนพวกนั้นจับมัดจนแน่น พวกนั้นคงกลัวว่านางจะหนีไปได้ ร่างเล็กได้ยินพวกมันพูดคุยกันทุกประโยค นางเวียนหัวตาลายเพราะกลิ่นในห้อง หิวก็หิวตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้กินข้าวสักคำ ถ้ารู้ว่าจะถูกจับตัวโยนเป็นหมูเป็นหมา คงยอมกินอาหารพวกนั้นอย่างน้อยก็ให้ตัวเองได้อิ่มท้อง มีเรี่ยวแรงเอาไว้คิดหลบหนี
โชคดีหนึ่งสิ่งที่อย่างน้อย ๆ ในเวลานี้พวกมันก็จะยังไม่ทำอะไรนาง ให้นางเจ็บตัวน้อยที่สุดเพื่อที่จะได้เอาไปขายให้ได้ราคาดี ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หากนางโดนคนในหอนางโลมย่ำยีสู้ให้นางฆ่าตัวตายเสียยังจะดีกว่า ในเวลานี้นางได้แค่หวังให้ท่านพ่อ ท่านพี่ นึกเป็นห่วงนาง คุณหนูใหญ่จวนโหวออกจากบ้านมานานขนาดนี้พวกเขาควรเป็นกังวลกันบ้างสิ
--------------------------
ตั้งแต่วันที่รู้ว่าขบวนเดินทางของบุตรชายเพียงคนเดียวถูกคนลอบโจมตี เว่ยเจิ้งหยางก็ร้อนรนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาไม่น่าตามใจเด็กชายจนเกิดเรื่องเช่นนี้ หากในวันนั้นเขาออกเดินทางมาด้วย คงจะสามารถปกป้องบุตรชายให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอน
ตั้งแต่หวางเฟยจากไป คนที่เขารักและหวงแหนที่สุดก็คือเด็กชายผู้นี้ เขาผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ มีสตรีมากมายอาสาจะเข้ามาทำตัวเป็นมารดาให้กับเด็กชาย อ๋องหนุ่มก็ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงไปเสียทั้งหมด
“ท่านอ๋อง หากเราไม่เจออ๋องน้อยที่เมืองนี้เราจะทำอย่างไรดี” ลู่เจียงองครักษ์คู่ใจเป็นกังวล เกือบสองสัปดาห์แล้วที่ตามหาเด็กชายแต่ก็ยังไร้วี่แวว เวลาผ่านมานานเช่นนี้เขาเกรงว่า...อ๋องน้อยอาจจะไม่รอด
“อย่างไรก็ต้องหาเขาให้เจอ หากหาไม่เจอก็หาซ้ำจนกว่าจะเจอ” เว่ยเจิ้งหยางกล่าวหนักแน่น เขาไม่เชื่อว่ากำลังพลของเขามากมายเช่นนี้จะหาเด็กชายตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวไม่เจอ และยังเชื่อว่าสวรรค์จะปกป้องเด็กชายผู้บริสุทธิ์
“ท่านพ่อ”
ทันทีที่เด็กชายเห็นเงาของบุรุษผู้หนึ่งเขาก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร เด็กชายตัวน้อยวิ่งหน้าตาตื่น ตามหลังผู้เป็นบิดาออกมาจากร้านอาหาร
“ท่านพ่อ” เด็กชายตะโกนดังขึ้นอีก “ท่านพ่อข้าเองไคไค ท่านพ่ออย่าเพิ่งไป อย่าทิ้งข้าไปอีกครั้ง ท่านพ่อ!!”
ในครั้งแรกเว่ยเจิ้งหยางคิดว่าตัวเองหูแว่ว จึงไม่ได้สนใจ แต่พอได้ยินอีกครั้งจึงหันหลังกลับไปดู
“ท่านพ่อ” เด็กชายปรี่ถลาเข้ามากอดขาเอาไว้ “ฮื้อ ท่านพ่อ ข้าได้เจอท่านแล้ว” เขาร้องไห้จนใบหน้าเล็ก ๆ เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
“ลูกไค” เว่ยเจิ้งหยางรีบอุ้มบุตรชายตัวน้อยขึ้นแนบอก ถึงแม้เนื้อตัวเขาจะสกปรกก็ไม่คิดรังเกียจ
“ท่านพ่อข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ฮื้อ”
“พ่อก็คิดถึงเจ้า” ร่างสูงกอดบุตรชายเอาไว้แนบแน่นไม่ยอมปล่อย
“ท่านพ่อ ข้าเจอท่านก็ดีแล้ว ช่วยพี่สาวด้วย” แม้ดีใจที่ได้เจอบิดาแต่ก็ยังไม่ลืมพี่สาวแสนสวยที่เคยช่วยเหลือเขาเอาไว้ ซึ่งตอนนี้นางกำลังตกอยู่ในความลำบาก
“พี่สาว”
“ใช่ขอรับ พี่สาว พี่สาวที่พาข้าไปเลี้ยงข้าวนางกำลังลำบาก คนพวกนั้นบอกว่าพี่สาวไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารให้ข้า และจะจับนางไปขายที่หอนางโลม ท่านพ่อได้โปรดช่วยนางด้วย” เด็กชายร้องไห้จ้า
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยงั้นหรือ”
ได้ฟังสิ่งที่บุตรชายร้องขอ ขบวนของเว่ยอ๋องก็เปลี่ยนเป้าหมาย รีบมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่เกิดเรื่องในทันที
กองทหารกว่าร้อยนายปิดล้อมร้านอาหาร ที่เด็กชายไปกินอาหารกับพี่สาวเมื่อครู่ พร้อมกับประกาศให้ชาวบ้านทุกคนที่อยู่ในร้านวันนี้ออกไปให้หมด
เสี่ยวเอ้อเห็นเด็กชายมอมแมมเมื่อครู่อยู่ในอ้อมอกของบุรุษท่าทางสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก็รู้สึกหวาดกลัว เมื่อกี้เด็กชายผู้นั้นยังดูสกปรกไม่ต่างอะไรจากพวกขอทาน แต่เวลานี้กลับเต็มไปด้วยรัศมีแห่งความน่าเกรงขาม
“นะ นายท่านข้าน้อยทำอะไรผิดหรือขอรับ”
“ปล่อยพี่สาวออกมาเดี๋ยวนี้”
“พะ พี่สาวของเจ้าเหรอ” เสี่ยวเอ้อคิดออกแล้วว่าสิ่งที่เด็กชายพูดหมายถึงสิ่งใด แต่ก็ยังทำเฉไฉ “ข้าไม่เห็นรู้เรื่อง เมื่อครู่เจ้ามาคนเดียวไม่ใช่หรือ ข้ายังให้ข้าวให้น้ำเจ้าดื่มอยู่เลย”
“ข้าไม่ได้โกหกเสียหน่อย”
“พวกท่านเป็นผู้มีอำนาจ เชื่อฟังแต่คนของตัวเองใส่ร้ายประชาชนตาดำ ๆ ใช้ได้ที่ไหน เอาเลย ข้าจะไปร้องทุกข์กับเว่ยอ๋องให้จัดการพวกเจ้าเสีย รู้ไหมว่าร้านอาหารแห่งนี้เจ้าของร้านเป็นใครและสนิทกับเว่ยอ๋องมากแค่ไหน”
เว่ยเจิ้งหยางฟังสิ่งที่คนสารเลวสำรอกออกมา ก็แทบกลั้นโทสะเอาไว้ไม่อยู่ คนประเภทไหนกันที่กล้าเอาเขาไปแอบอ้าง พวกมันไม่อยากตายดีหรืออย่างไร ชายหนุ่มผินหน้าไปทางลู่เจียงหนึ่งครั้ง อีกฝ่ายก็ลงมืออย่างรู้หน้าที่
“อยู่ต่อหน้าเว่ยอ๋องยังคิดโกหก เหิมเกริมเกินไปแล้ว เห็นทีจะต้องตรวจสอบที่นี่เสียแล้วว่า มีเรื่องลับลมคมในอีกอะไรอีกหรือไม่” ลู่เจียงเป็นผู้พูดแทน เจ้านายของตัวเอง เขาเดาจากท่าทางคนตรงหน้าที่ท่าทางมีพิรุธ คงจะมีอะไรมากกว่าการจับตัวสตรีไปกักขังเอาไว้อย่างแน่นอน
“วะ เว่ยอ๋อง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไอ้หมอนี่คือเว่ยอ๋อง” เขาไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าคือเว่ยอ๋อง ได้ยินว่าเว่ยอ๋องกลับไปเมืองหลวงนานแล้ว จะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน
“สารเลว” ลู่เจียงเตะคนสามหาวไปหนึ่งที ก่อนจะแสดงตราหยกที่บ่งบอกว่าบุรุษที่ยืนอุ้มเด็กชายเป็นใคร “ถ้าไม่เชื่อให้ข้าตัดคอของเจ้าเสียตอนนี้ก็ยังได้” กระบี่สีเงินคมกริบถูกชักออกมาจากฝักชี้ไปที่คอของเสี่ยวเอ้อ
ครั้นพอคนในโรงเตี๊ยมเห็นตราประทับสลักเอาไว้ชัดเจนว่าเป็นผู้ใด ก็อกสั่นขวัญแขวนเป็นลมสลบกันไปแถบ ๆ
เด็กชายเห็นคนของท่านพ่อกำลังลีลาก็รู้สึกร้อนใจ
“ท่านพ่อช่วยพี่สาวก่อน ตามหาพี่สาวก่อน” เว่ยเจี้ยนไคกระตุกคอเสื้อของผู้เป็นบิดา เพราะเกรงว่านางจะถูกทำร้าย
ลู่เจียงเองก็ได้ยินสิ่งที่อ๋องน้อยเอ่ย แค่เพียงเท่านั้นกองทหารกว่าร้อยนายก็เร่งรีบตามหาพี่สาวที่เด็กชายเอ่ยอ้างในทันที
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสี
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!!
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำร
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของ