‘ทุกอย่างกลับมาเท่าเดิม… หรือว่าของทุกสิ่งที่อยู่ในคอนโดแห่งนี้ ไม่ว่านางจะหยิบจับสิ่งใดออกไปใช้ พวกมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม?’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ริมฝีปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น ‘ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอาหารหรือยาที่อยู่ในนี้จะหมดไปอีกแล้ว’ นางรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องดีเพียงสิ่งเดียวตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมายังที่แห่งนี้ หยางฉิงหยิบไข่ไก่ออกมา เปิดเตาแล้วลงมือทำอาหาร นางทำไข่น้ำและข้าวต้มขาวเพื่อให้หลี่เซิงกินเป็นมื้อเย็น เขาเพิ่งหายจากพิษไข้ ควรกินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่าย จะได้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ‘ข้าต้องบำรุงให้เขามีเนื้อหนังมากกว่านี้ ตอนนี้เขาผอมเกินไปแล้ว…’ ส่วนเรื่องขาที่บาดเจ็บนั้น นางแน่ใจว่าสามารถช่วยให้เขากลับมาเดินได้! แต่เขาคงเดินได้ไม่ปกติอีกต่อไป เพราะเส้นเอ็นที่ขาของเขาถูกตัดขาด อีกทั้งยังขาดการรักษาที่เหมาะสม คนที่นี่ก็คงไม่มีใครรู้วิธีต่อเส้นเอ็นเป็นแน่ ด้วยความล้าหลังของยุคสมัย ทำให้หลายคนต้องกลายเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัว หยางฉิงหายตัวกลับออกมา ก่อนจะเดินไปดูประตูรั้วบ้านที่พังเสียหาย นางอยากสร้างรั้วใหม่เสียจริง ไหน ๆ มันก็พังไปแล้ว หากนางหาเงินได้ จะสร้างรั้วบ้านให้ดีกว่าเดิม และจะไม่ยอมให้ใครมองเข้ามาในบ้านของนางได้อีก นางเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้เล็ก ๆ ข้างลำธาร มันตั้งอยู่ริมธารน้ำใสที่ไหลผ่านบ้านหลังนี้ สายตาของนางเหม่อมองไปยังท้องฟ้า ดวงตะวันกลมโตส่องแสงเรืองรอง ลมเย็นพัดผ่านกาย พาให้นางรู้สึกเหงาขึ้นกว่าเดิม หยางฉิงมองออกไปนอกบ้าน เห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากเรือนใกล้เคียง กลิ่นดินชื้นและกลิ่นแม่น้ำลอยมาตามสายลม นางสูดหายใจลึก รับอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด อากาศดีเช่นนี้ ไม่มีอีกแล้วในยุคที่จากมา… ภายในบ้านตระกูลหลี่ หลังจากที่หลี่เจิงเดินกลับบ้านมาด้วยสภาพย่ำแย่ นางก็แสร้งวิ่งร้องไห้เข้ามา บ้านของนางเป็นเรือนชั้นเดียวแต่ใหญ่โตกว่าบ้านอื่นในหมู่บ้าน เพราะสร้างขึ้นจากเงินที่น้องชายคนเล็กส่งมาให้ทั้งหมด นางกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาท่านแม่ แล้วก็เห็นจางเฟิงกำลังนั่งต่อว่าพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ที่โต๊ะด้านในเรือน หลี่เจิงไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปฟ้อง “ท่านแม่!” นางร้องเรียกเสียงดัง จางเฟิงหันไปมองตามเสียง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสภาพลูกสาวสุดรัก หลี่เจิงเนื้อตัวเปื้อนฝุ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง “หลี่เจิง! เจ้าไปทำอะไรมากันแน่? ข้าให้เจ้าไปดูว่านังหยางฉิงตายหรือยังไม่ใช่หรือ ทำไมกลับมาในสภาพนี้?” “ตายอะไรกัน! มันนั่นแหละที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ตาย ยังตีข้าอีกด้วย ท่านแม่ต้องไปจัดการมันให้ข้านะ!” นางร้องฟ้อง น้ำเสียงแฝงความอาฆาต พลันเหลือบไปเห็นบิดาเดินออกมาจากตัวเรือน สีหน้าของเขาดูไม่พอใจนัก ภายในบ้านหลังนี้ หากถามว่านางกลัวใครที่สุด ก็คงเป็นท่านพ่อ เพราะเขาเป็นคนที่ห่วงหน้าตาชื่อเสียงของตระกูลมาก “ตอนนี้บ้านของเราแยกออกมาแล้ว เจ้ายังจะไปบ้านนั้นทำไม? วัน ๆ เอาแต่หาเรื่อง ถึงได้ไม่มีใครมาสู่ขอเช่นนี้!" หลี่เฉากล่าวเสียงเข้ม "อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้ายังไปวุ่นวายกับบ้านหลี่เซิงอีก! อย่าให้ชาวบ้านนินทามาถึงข้า! แค่นี้ข้าก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!” “แต่ท่านพ่อ! ท่านไม่คิดจะทวงความเป็นธรรมให้ลูกเลยหรือ ท่านจะปล่อยให้นางหยางฉิงทำร้ายลูก…” “หุบปาก! โตป่านนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้ ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่!” เสียงตวาดของหลี่เฉาทำให้หลี่เจิงสะดุ้ง นางรู้ดีว่าบิดาเป็นคนเคร่งครัดและหัวโบราณ เขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศของตระกูลมากกว่าสิ่งใด ทั้งยังไม่พอใจที่ลูกสาวของตนหาคู่แต่งงานไม่ได้ “ท่านก็พูดแรงเกินไปหรือไม่ ลูกของเรากำลังเสียใจนะ” จางเฟิงกล่าวขึ้น “เจ้าก็เลิกตามใจลูกได้แล้ว! เลี้ยงกันแบบนี้ ถึงไม่มีใครมาสู่ขอไง เอาเวลาไปหาคนแต่งงานให้ลูกยังจะดีเสียกว่า!” หลี่เฉาหันไปทางภรรยา “ภายในเดือนหน้า เจ้าต้องหาชายหนุ่มมาแต่งกับนางให้ได้ ปล่อยไว้อีกไม่นานคงไม่มีใครเอาแล้ว!” หลี่เฉาพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเดินจากไป “ท่านแม่ ดูสิว่าท่านพ่อพูดกับข้าเช่นไร! ท่านแม่จะไม่ไปจัดการนังหยางฉิงให้ข้าหรือ?” จางเฟิงมองลูกสาวที่ร้องไห้ฟูมฟาย แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “เจ้าคิดหรือว่าข้าจะทำอะไรได้? เจ้าดูพ่อของเจ้าสิ คำพูดของเขาข้าจะขัดได้หรือ? ถ้าเรื่องบานปลาย เจ้าจะเดือดร้อนเสียเอง” “แต่ท่านแม่...” “ตอนนี้ เจ้าควรดูแลตัวเองให้ดี แต่งตัวให้สวยเข้าไว้ ข้าจะหาชายหนุ่มฐานะดีจากหมู่บ้านอื่นให้แต่งงานกับเจ้า ดีหรือไม่?” พอได้ยินเช่นนั้น หลี่เจิงก็หยุดร้องไห้ทันที “จริงหรือ? ท่านแม่ต้องหาคนดี ๆ ให้ข้านะ!” ขณะเดียวกัน สายตาของหลี่เจิงก็เหลือบไปเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยืนก้มหน้าฟังพวกนางพูดกันอยู่ “พี่สะใภ้ จะยืนฟังพวกข้าอีกนานไหม?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ไม่ได้ยินที่ลูกของข้าพูดหรือ? ไป! จะไปไหนก็ไปได้แล้ว! พวกข้าหิวข้าวจะตายอยู่แล้ว ยังจะมายืนเอ้อระเหยอะไรอีก รีบไปทำอาหารเสีย!” อู๋เจิงได้ยินคำสั่งของแม่สามี นางก็รีบเดินไปยังห้องครัว บางครั้ง นางก็อดอิจฉาน้องสะใภ้เล็กไม่ได้ อย่างน้อยหยางฉิงก็ได้แยกบ้านออกไป ไม่ต้องทนลำบากเช่นนาง… หยางฉิ่งนั่งอยู่หน้าบ้านไม่นานเท่าไหร่นัก นางเดินเข้าไปตรงที่ดินด้านหลังบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างขาดคนดูแลเอาใจใส่ นางมองพื้นที่ว่างเปล่าประมาณสองไร่ ถ้ามองจากพื้นที่ด้านหลังบ้านก็จะสามารถมองเห็นหน้าต่างที่เปิดอ้าออกของห้องนอนหลี่เซิงพอดี ‘นี่เขามองวิวแบบนี้มาตลอดเลยสินะ’ นางอยากทำอะไรบางอย่างให้เขาได้รู้สึกดีแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร นางใช้เวลาที่เหลือมองหาจอบที่พอใช้ขุดหญ้าออกไปได้บ้าง หยางฉิงเดินไปรอบตัวบ้านสายตาของนางจับจ้องไปตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อมองหาอุปกรณ์ที่ใช้ได้ นางเดินไปด้านข้างห้องน้ำ นางพบเจอเข้ากับจอบที่มีรอยบิ่นและขึ้นสนิ่มด้ามจับของมันยังพอให้ใช้งานได้อยู่ นางเดินไปหยิบจอบนั้นขึ้นมาขุดดินด้านหลังบ้าน โดยเริ่มจากข้างหน้าต่างห้องนอนของหลี่เซิง นางอยากปลูกเป็นไร่ผสมที่มีความหลากหลายร่วมอยู่ในนั้น หลี่เซิงมองดูหยางฉิงนางกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าต่างที่เขานอนอยู่ เขามองดูว่านางกำลังทำอะไร ก็เห็นว่านางกำลังขุดหญ้าที่รกร้างขึ้นอยู่เต็มไปหมด“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กัน” เขาอดถามนางออกไปไม่ได้หยางฉิงกำลังตั้งใจขุดดินอย่างเอาเป็นเอาตาย นางแทบไม่ค่อยได้ทำงานในไร่แบบนี้เลย ท่าการขุดดินของนางจึงมีท่าทางที่แปลกนัก ขณะที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการขุดดินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของหลี่เซิงที่ถามอะไรบางอย่างกับนาง?“ท่านว่าอย่างไรนะ” นางถามเขาซ้ำอีกครั้ง“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”เขาคงแปลกใจที่นางลุกขึ้นมาจับจอบขุดดินถางหญ้า “ข้าอยากปลูกผักผลไม้ เผื่อว่าจะได้มีผลไม้เอาไว้ขายได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง” นางบอกถึงเหตุผลให้เขาฟัง“เจ้าไม่มีเงินแล้วหรือ…” ตอนแยกบ้านเขาเห็นว่านางได้เงินจากท่านแม่มาหลายตำลึงเงิน“เงินแค่นั้นจะเพียงพอให้ข้าและท่านที่เป็นคนป่วยใช้พอหรือ แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าจัดการได้ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้แข็งแรงเร็ว ๆ ก็พอแล้ว” นางตอบเขาออกไปและเริ่มกลับมาสนใจขุดดินของนางต่อหลี่เซิงที่มองใบหน้าด้านข้างของหยางฉิง หน้าของนางแดงตัดกับดวงอาทิตย์กลมโตที่ใกล้จะตกดิน พอนางไม่ได้แต่งหน้าขาวแก้มแดงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางก็หน้าตาดีเหมือนกัน เขามองลงไปที่รูปร่างของหยางฉิง นางเป็นหญิงสาวที่รักสวยรักงาม หุ่นของนางจึงเหมาะที่จะ
หลี่เซิงนอนมองนางอยู่ จึงเห็นนางเดินเข้ามาหาเขา “เจ้าอยากปลูกสิ่งใด?”“ข้าอยากปลูกแตงโมนะ ที่นี่มีเมล็ดแตงโมหรือไม่” พูดถึงผลแตงโมแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา“ถ้าเจ้าอยากได้เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นต้องเข้าไปซื้อในเมือง ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครได้ปลูกผลไม้ชนิดนี้กัน เพราะมันปลูกยาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้กินพวกมัน ข้าก็ยังไม่เคยได้กินเลยสักครั้งเดียว‘ที่นี่เมล็ดแตงโมหายากขนาดนี้เลยหรือ’ “ข้าจะเข้าไปในเมืองได้เช่นไรกัน ข้ายังต้องดูแลท่านอยู่ ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกนะ” นางก็อยากเข้าไปดูตลาดในเมืองหลวงอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงหลี่เซิงหมู่บ้านที่นางอยู่นี้ชื่อหมู่บ้านอันเหอ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่นัก จึงสามารถเดินทางเอาของไปขายในเมืองหลวงได้ แต่การเดินทางนั้นต้องใช้รถเกวียนวัวหรือเกวียนม้าเท่านั้น บางคนใช้ลาลากแทนก็มี“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะมีของที่เจ้าอยากได้ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านเขาขายของเดินทางไปหลายพื้นที่ ถ้าโชคดีอาจได้พบสิ่งของแปลก ๆ ที่เขานำมาจากที่อื่นก็ได้”นางได้ฟังที่หลี่เซิงพูดก็ตาลุกวาว นางอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเสียแล้ว
หลี่จงพยักหน้าช้า ๆ มองนางด้วยสายตาอบอุ่น “ดี ดี เจ้าคิดได้แบบนั้น ข้าก็ดีใจกับสามีของเจ้าด้วย เขาดูแลเจ้ามาตั้งมากมาย ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก เจ้าก็ต้องดูแลเขาให้มาก”นางรับฟังที่ผู้ใหญ่พูดสั่งสอนนางมาด้วยความหวังดี“ท่านผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งที่นางต้องการหรือไม่ ข้านรู้มาว่าพี่หลี่อี้ก็ขายของไปตามแคว้นต่าง ๆ มีของแปลกใหม่มาขายตลอด ท่านพอมีเมล็ดพันธุ์แปลก ๆ มาขายให้ข้าบ้างไหม” นางหันไปถามพี่หลี่อี้อีกครั้ง ไหน ๆ เขาก็อยู่ตรงนี้แล้ว นางจะได้ไม่เสียโอกาส“ข้าน่ะมีไม่เยอะหรอก ถ้าเจ้ากล้าอยากซื้อก็ถือว่าวันนี้เจ้ามีโชคดี เพราะหลี่อี้กำลังจะเดินทางออกไปค้าขายในคืนนี้” หลี่จงบอกสิ่งที่นางอยากรู้นางลูบอกด้วยความยินดี “ถือเป็นโชคดีของข้าจริง ๆ แล้วพี่หลี่อี้ขายสิ่งใดบ้าง”“เจ้าก็อยากได้อะไรก็มีทั้งนั้น เจ้าลองไปดูบนรถเกวียนของข้าดีกว่า ถามซื้อเมล็ดจากพ่อของข้าไปก็คงไม่มีของที่เจ้าต้องการหรอก”“ถ้าไม่รบกวนพี่หลี่อี้มาก ข้าขอดูของที่ท่านเอาไปขายเสียหน่อย”หลี่อี้เดินนำหยางฉิงไปดูบนรถเกวียนที่เตรียมไว้ขายในวันพรุ่งนี้“ข้าเห็นว่าเจ้ากลับตัวกลับใจแล้ว จึงยอมให้เจ้ามาดูของที่ข้าเตรียมไว้”
หยางฉิงยิ้มเย็นในใจ ‘สิ่งที่ข้าทำไว้คงออกฤทธิ์แล้วสินะ’ นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่กล่าวหาอะไรข้ากัน? คนที่ควรจ่ายเงินควรเป็นท่านแม่มากกว่า เพราะลูกสาวสุดที่รักของท่านแม่มาทำร้ายข้าถึงหน้าบ้าน จนปากข้ามีเลือดออก หน้าข้าก็มีรอยแดงจากนิ้วมือของลูกท่าน ชาวบ้านทุกคนเห็นกันทั่ว ว่าใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ”จางเฟิงโต้กลับด้วยความโมโห “เจ้าเป็นลูกสะใภ้ ไม่ว่าลูกหรือครอบครัวแม่สามีจะทำอะไรกับเจ้าก็ได้ทั้งนั้น! ตั้งแต่วันที่ลูกข้าตบตีกับเจ้า นางก็เจ็บท้องอย่างหนัก! ถ้าไม่ใช่เจ้าทำ แล้วใครจะทำ!”หลี่เซิงที่ฟังสองคนทะเลาะกัน รู้สึกปวดหัวหนักขึ้น เขาคิดในใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เป็นแบบนี้ ทั้งที่เขายอมแยกบ้าน ยอมยกเงินทั้งหมดที่เขามีให้แม่ เพื่อแลกกับที่ดินผืนนี้เพียงอย่างเดียว และเขาก็ไม่เคยไปรบกวนบ้านหลักเลยแม้แต่ครั้งเดียว“ท่านแม่มาที่นี่ ท่านพ่อรู้หรือไม่? ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูชาวบ้าน ท่านแม่คิดว่าจะหาใครมาแต่งงานให้พี่หลี่เจิงได้อีกหรือ? ท่านแม่ลองคิดดูให้ดี ถ้าไม่อยากโดนท่านพ่อว่า” เขาเอาท่านพ่อมาอ้าง เพราะรู้ว่าท่านแม่กลัวท่านพ่อที่สุดจางเฟิงได้ฟังที่หลี่เซิงพูด นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าชาวบ้า
หลี่เซิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย “รสเผ็ดคืออะไร? มันเป็นแบบไหน?”หยางฉิงอึ้งไปครู่หนึ่ง หรือว่าที่นี่จะไม่มีใครเคยกินพริกเลย? นางจึงพูดเลี่ยงไป “อ้อ...ข้าซื้อมาจากพี่หลี่อี้เมื่อครั้งไปหาผู้ใหญ่บ้านวันนี้ เลยได้ของแปลกมาหลายอย่าง พี่หลี่อี้บอกว่าสิ่งนี้กินได้ ท่านลองชิมดูก่อน”นางใช้ช้อนปรุงรสในชามของตัวเองเพียงเล็กน้อย แล้วตักน้ำในถ้วยส่งไปตรงหน้าหลี่เซิงหลี่เซิงมองช้อนที่อยู่ตรงหน้า ใบหูเริ่มร้อนขึ้นมา “เจ้าให้ข้ากินจากช้อนเจ้าหรือ?” เขาเอ่ยเสียงเบา พลางหลบสายตา“ท่านยังมาเขินอายอะไรข้าอีก? ตอนนี้เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ” นางพูดพร้อมหัวเราะเมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น จึงอ้าปากรับน้ำซุปจากช้อน ความรู้สึกแรกคือเผ็ดร้อน แต่ก็รู้สึกถูกใจ“เผ็ดมาก...”“นี่น้ำ ท่านเพิ่งเคยกินครั้งแรก ควรกินน้อย ๆ ก่อน พอลิ้นของท่านชินแล้ว ค่อยเพิ่มปริมาณ” นางมองปากหลี่เซิงที่แดงขึ้นกว่าเดิมด้วยความเอ็นดูเขารับน้ำมาดื่มแล้วค่อยดีขึ้น “ข้าควรเติมเท่าไหร่ดี? เจ้าช่วยเติมให้ข้าด้วย” เขายื่นถ้วยให้หยางฉิงหยางฉิงตักพริกเพียงเล็กน้อย ใส่ลงในถ้วยของเขา “เท่านี้ก็พอแล้ว ท่านลองชิมดู”ทั้งสองคนกินก๋วยเตี๋ยวกันบนเตียงที่ห
หยางฉิงมองภาพมหัศจรรย์ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ตัวสั่นด้วยความดีใจ นางเผลอร้องออกมาว่า “ว้าว! ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ทอดทิ้งฉัน!” นางเริ่มเห็นทางที่จะหาเงินได้แล้วหยางฉิงเก็บผลแตงโมที่โตสมบูรณ์สิบกว่าลูกกลับเข้าไปเก็บไว้ในคอนโด แต่ก็ยังไม่ได้เร่งให้ต้นที่เหลือออกผลเพิ่ม นางเดินกลับเข้าบ้านด้วยความรู้สึกอารมณ์ดีเมื่อกลับเข้ามาในบ้าน นางนึกอยากลองอะไรบางอย่างกับหลี่เซิง นางเดินไปที่ห้องนอนของเขา เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป หลี่เซิงหันมามองนางด้วยความสงสัย วันนี้นางดูเปลี่ยนไป นางยิ้มให้เขาเหมือนมีแผนการอะไรบางอย่าง ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยไว้ใจ…“ตอนนี้ขาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่?” หยางฉิงพูดพลางเดินไปนั่งข้างเตียงของเขา นางยิ้มก่อนจะเอามือจับที่แผล “ข้าขอดูแผลของท่านหน่อยนะ”ยังไม่ทันให้หลี่เซิงตอบ นางก็จับแผลของเขาพร้อมตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า ‘ขอให้เส้นเอ็นที่ขาดของเขากลับมาต่อกันอีกครั้ง’ ...หลังจากที่หยางฉิงจับแผลตรงขาของหลี่เซิง เขาก็รู้สึกปวดขาอย่างรุนแรง ราวกับถูกดึงด้วยแรงมหาศาล“อือ!” เขาครางออกมาด้วยความเจ็บปวด “ทำไมมันปวดแบบนี้…” เหงื่อเริ่มผุดขึ้นเต็มใบหน้า ใบหน้าของเขาซ
หลี่เซิงฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางเพิ่งปลูกผักเมื่อวานเอง แถมยังไม่รู้ว่าผักจะรอดหรือไม่ เขามองไปที่สวนหลังบ้านซึ่งยังรกด้วยหญ้า มีเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่นางลงมือปลูกผัก แต่เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของหยางฉิง เขาก็ไม่อยากขัดใจ“ถ้าเจ้าคิดจะทำอย่างนั้น ข้าว่าเจ้าจ้างคนมาถางหญ้าหลังบ้านไม่ดีกว่าหรือ? จ้างสักสองคน คนละสามสิบอีแปะ วันเดียวก็คงเสร็จแล้ว รอให้เจ้าทำเอง ข้าคิดว่าแผลของข้าคงหายก่อนเสียอีก” เขาพูดพลางยิ้มหยางฉิงหันมามองเขาด้วยสายตาตำหนิ ‘ตาบ้านี่กำลังจะบอกว่าข้าทำเองไม่ได้ใช่ไหม? เหอะ! ดูถูกข้าเกินไปแล้ว...’ แต่เมื่อหันไปมองพื้นที่สวนสองไร่ นางเริ่มรู้สึกว่ามันกว้างเกินไป แถมมือของนางก็ยังเจ็บอยู่ หยางฉิงเหลือบมองหลี่เซิงอีกครั้ง เห็นเขามองนางด้วยสายตารู้ทัน ความคิดของเขาก็ดูไม่เลวเสียทีเดียว ถ้าจ้างคนมาทำงานให้ นางจะเหนื่อยน้อยลง แค่เสียเงินหกสิบอีแปะเท่านั้นหยางฉิงแกล้งกระแอม “ความคิดของท่านก็ดีเหมือนกัน ข้าคิดว่าจะจ้างคนมาถางหญ้าให้คงสะดวกกว่า เอาล่ะ ท่านคงหิวแล้ว ข้าจะไปทำอาหารมาให้ท่าน”นางลุกเดินออกจากห้องพลางพึมพำกับตัวเอง “ผู้ชายคนนี้รู้ทันนางเสียจริง... แบบนี้
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน เสียงของชายหนุ่มอีกคนก็ดังขึ้นจากในบ้าน “ท่านพ่อ ใครมาหรือ?” เขาเอ่ยถามขณะเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่าบิดาออกมาข้างนอกนานแล้ว“ภรรยาของหลี่เซิงมาหาเรา นางอยากจ้างพวกเราไปถางหญ้าในไร่”ชายหนุ่มที่เดินออกมาคือหลี่เค่อ เขามีรูปร่างผอมสูง หน้าตาของเขาไม่แตกต่างจากหลี่เสี่ยพ่อของเขาเท่าไหร่นัก ดูอายุน้อยกว่าเธอมากหลี่เค่อมองหยางฉิงก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “อ้าว พี่หยางฉิงเองหรือ? ข้าประหลาดใจมากที่เห็นท่านมาที่นี่”หยางฉิงรู้ว่าหลี่เค่อไม่ค่อยชอบนางเท่าไร เพราะคิดว่านางไม่ค่อยดูแลพี่ชายของเขา “ข้ามาที่นี่แปลกมากหรือ?” นางถามกลับ รู้สึกว่าใคร ๆ ก็ชอบพูดกับนางเช่นนี้“ข้าคิดว่าท่านชอบอยู่บ้านเสียอีก เพราะข้าก็ไม่ค่อยพบเห็นท่านเท่าไร” หลี่เค่อพูดตามความจริงหยางฉิงฟังแล้วรู้สึกเหมือนหลี่เค่อพูดประชด แต่นางก็เข้าใจดีว่าคงไม่มีใครไว้ใจนางเพียงแค่พบกันครั้งแรก “ต่อไปนี้ เจ้าคงต้องแปลกใจกับข้าอีกหลายเรื่องเลยละ” นางตอบอย่างมีนัย เพราะนางตั้งใจจะให้พ่อของเขาทำงานให้เสร็จสิ้นจากที่เห็นผลงานของเขาที่วางอยู่เต็มไปหมดหยางฉิงไม่ได้พูดต่อกับหลี่เค่อ เพราะนางยังมีเรื่องสำคัญที่ต
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนนับตั้งแต่นางได้ทะลุมิติเข้ามายังยุคนี้ ตอนนี้แผลของหลี่เซิงหายดีแล้ว สวนหลังบ้านนางปลูกผักจนเต็มไร่ ข้างหน้าต่างของหลี่เซิงก็ปลูกดอกไม้ไว้ ส่วนหน้าต่างห้องของนางก็ปลูกดอกไม้เหมือนกัน สำหรับผลไม้ นางปลูกตามแนวรั้วบ้านเพราะต้องการให้มันโตและบดบังคนภายนอกวันหนึ่งน้าหลี่เสี่ยได้นำไม้พยุงเดินมาให้นาง เขายังนำของบางส่วนไปเสนอขายในเมือง ซึ่งราคาที่ขายได้ดีกว่าที่นางคิด ไม้พยุงเดินหนึ่งอันสามารถขายได้ถึงหนึ่งก่วน ตอนนี้ที่บ้านของน้าหลี่เสี่ยก็ได้จ้างคนมาช่วยทำงานหลายคนวันนี้หยางฉิงได้นำไม้ช่วยพยุงเดินมาให้หลี่เซิง เพื่อสอนให้เขาเดินครั้งแรก“หลี่เซิง ท่านทำอะไรอยู่?” หยางฉิงเดินเข้าไปในห้องของเขาและเห็นว่าเขากำลังเหล่าไม้ไผ่เพื่อทำที่เลื้อยให้ดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นสิ่งที่นางขอให้เขาทำ“เจ้ามาพอดี ข้าทำสิ่งที่เจ้าขอเสร็จแล้ว แล้วเจ้ามีสิ่งใดมาให้ข้าด้วยหรือ?” เขามองไปที่ด้านหลังของนางและเห็นว่ามีสิ่งของบางอย่างซ่อนไว้“วันนี้ข้าจะมาพาท่านเดิน ตอนนี้ท่านควรฝึกการลุกเดินได้แล้ว และนี่คือไม้พยุงเดิน ข้าทำมาเพื่อท่าน” หยางฉิงเดินไปยื่นไม้ให้เขาดูใกล้ ๆหลี่เซิงจับไม้ที่นางบอกและ
หยางฉิงเดินเข้าไปในห้องนอนของหลี่เซิง นางเห็นว่าเขายังตื่นอยู่“ข้านึกว่าท่านนอนหลับไปเสียอีก” นางกล่าว ขณะที่เขายังคงนั่งมองสองพ่อลูกถางหญ้าอยู่นอกหน้าต่าง“ทำไมเจ้ากลับมาช้านัก ข้ารอตั้งนานแล้ว” ตั้งแต่นางออกไป เขาก็เฝ้ารอให้นางกลับมา เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับเขา“ช้าอย่างไร ท่านคิดไปเองแล้ว ข้ารีบกลับมาเร็วที่สุดแล้วจริง ๆ” นางพูดพร้อมมองเขา วันนี้หลี่เซิงดูเหงาหงอยมากกว่าปกติ ใบหน้าของเขาเริ่มมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว แต่ผมที่ยาวและดูมันนั้น ทำให้นางรู้สึกอยากจับเขามาสระผมเสียทีหรือเขาอาจคิดมากเกินไป เพราะเมื่อไม่มีนางวนเวียนอยู่รอบกาย เขาก็รู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป หลี่เซิงมองหยางฉิงที่วันนี้ไม่ได้แต่งหน้า แต่กลับดูสวยงามยิ่งกว่าเดิม จนเขาไม่อยากให้นางออกไปไหนอีก“หลี่เซิง ท่านเคยคิดจะตัดผมบ้างหรือเปล่า?” นางถามขึ้นอย่างจริงจัง พร้อมกับอยากสระผมให้เขาไปด้วยหลี่เซิงฟังคำถาม พลางเอามือจับผมตัวเองที่ยาวเกินไปจริง ๆ “ต้องตัดด้วยหรือ? ตั้งแต่ข้าเกิดมา จำไม่ได้เลยว่าเคยตัดมันไปกี่ครั้ง คนในหมู่บ้านส่วนมากก็ไม่ได้ตัดผมกัน”เขาอธิบายว่าในหมู่บ้านของเขา การตัดผมถือเป็นความเชื่
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน เสียงของชายหนุ่มอีกคนก็ดังขึ้นจากในบ้าน “ท่านพ่อ ใครมาหรือ?” เขาเอ่ยถามขณะเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่าบิดาออกมาข้างนอกนานแล้ว“ภรรยาของหลี่เซิงมาหาเรา นางอยากจ้างพวกเราไปถางหญ้าในไร่”ชายหนุ่มที่เดินออกมาคือหลี่เค่อ เขามีรูปร่างผอมสูง หน้าตาของเขาไม่แตกต่างจากหลี่เสี่ยพ่อของเขาเท่าไหร่นัก ดูอายุน้อยกว่าเธอมากหลี่เค่อมองหยางฉิงก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “อ้าว พี่หยางฉิงเองหรือ? ข้าประหลาดใจมากที่เห็นท่านมาที่นี่”หยางฉิงรู้ว่าหลี่เค่อไม่ค่อยชอบนางเท่าไร เพราะคิดว่านางไม่ค่อยดูแลพี่ชายของเขา “ข้ามาที่นี่แปลกมากหรือ?” นางถามกลับ รู้สึกว่าใคร ๆ ก็ชอบพูดกับนางเช่นนี้“ข้าคิดว่าท่านชอบอยู่บ้านเสียอีก เพราะข้าก็ไม่ค่อยพบเห็นท่านเท่าไร” หลี่เค่อพูดตามความจริงหยางฉิงฟังแล้วรู้สึกเหมือนหลี่เค่อพูดประชด แต่นางก็เข้าใจดีว่าคงไม่มีใครไว้ใจนางเพียงแค่พบกันครั้งแรก “ต่อไปนี้ เจ้าคงต้องแปลกใจกับข้าอีกหลายเรื่องเลยละ” นางตอบอย่างมีนัย เพราะนางตั้งใจจะให้พ่อของเขาทำงานให้เสร็จสิ้นจากที่เห็นผลงานของเขาที่วางอยู่เต็มไปหมดหยางฉิงไม่ได้พูดต่อกับหลี่เค่อ เพราะนางยังมีเรื่องสำคัญที่ต
หลี่เซิงฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางเพิ่งปลูกผักเมื่อวานเอง แถมยังไม่รู้ว่าผักจะรอดหรือไม่ เขามองไปที่สวนหลังบ้านซึ่งยังรกด้วยหญ้า มีเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ที่นางลงมือปลูกผัก แต่เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของหยางฉิง เขาก็ไม่อยากขัดใจ“ถ้าเจ้าคิดจะทำอย่างนั้น ข้าว่าเจ้าจ้างคนมาถางหญ้าหลังบ้านไม่ดีกว่าหรือ? จ้างสักสองคน คนละสามสิบอีแปะ วันเดียวก็คงเสร็จแล้ว รอให้เจ้าทำเอง ข้าคิดว่าแผลของข้าคงหายก่อนเสียอีก” เขาพูดพลางยิ้มหยางฉิงหันมามองเขาด้วยสายตาตำหนิ ‘ตาบ้านี่กำลังจะบอกว่าข้าทำเองไม่ได้ใช่ไหม? เหอะ! ดูถูกข้าเกินไปแล้ว...’ แต่เมื่อหันไปมองพื้นที่สวนสองไร่ นางเริ่มรู้สึกว่ามันกว้างเกินไป แถมมือของนางก็ยังเจ็บอยู่ หยางฉิงเหลือบมองหลี่เซิงอีกครั้ง เห็นเขามองนางด้วยสายตารู้ทัน ความคิดของเขาก็ดูไม่เลวเสียทีเดียว ถ้าจ้างคนมาทำงานให้ นางจะเหนื่อยน้อยลง แค่เสียเงินหกสิบอีแปะเท่านั้นหยางฉิงแกล้งกระแอม “ความคิดของท่านก็ดีเหมือนกัน ข้าคิดว่าจะจ้างคนมาถางหญ้าให้คงสะดวกกว่า เอาล่ะ ท่านคงหิวแล้ว ข้าจะไปทำอาหารมาให้ท่าน”นางลุกเดินออกจากห้องพลางพึมพำกับตัวเอง “ผู้ชายคนนี้รู้ทันนางเสียจริง... แบบนี้
หยางฉิงมองภาพมหัศจรรย์ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น ตัวสั่นด้วยความดีใจ นางเผลอร้องออกมาว่า “ว้าว! ขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ทอดทิ้งฉัน!” นางเริ่มเห็นทางที่จะหาเงินได้แล้วหยางฉิงเก็บผลแตงโมที่โตสมบูรณ์สิบกว่าลูกกลับเข้าไปเก็บไว้ในคอนโด แต่ก็ยังไม่ได้เร่งให้ต้นที่เหลือออกผลเพิ่ม นางเดินกลับเข้าบ้านด้วยความรู้สึกอารมณ์ดีเมื่อกลับเข้ามาในบ้าน นางนึกอยากลองอะไรบางอย่างกับหลี่เซิง นางเดินไปที่ห้องนอนของเขา เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป หลี่เซิงหันมามองนางด้วยความสงสัย วันนี้นางดูเปลี่ยนไป นางยิ้มให้เขาเหมือนมีแผนการอะไรบางอย่าง ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยไว้ใจ…“ตอนนี้ขาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่?” หยางฉิงพูดพลางเดินไปนั่งข้างเตียงของเขา นางยิ้มก่อนจะเอามือจับที่แผล “ข้าขอดูแผลของท่านหน่อยนะ”ยังไม่ทันให้หลี่เซิงตอบ นางก็จับแผลของเขาพร้อมตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า ‘ขอให้เส้นเอ็นที่ขาดของเขากลับมาต่อกันอีกครั้ง’ ...หลังจากที่หยางฉิงจับแผลตรงขาของหลี่เซิง เขาก็รู้สึกปวดขาอย่างรุนแรง ราวกับถูกดึงด้วยแรงมหาศาล“อือ!” เขาครางออกมาด้วยความเจ็บปวด “ทำไมมันปวดแบบนี้…” เหงื่อเริ่มผุดขึ้นเต็มใบหน้า ใบหน้าของเขาซ
หลี่เซิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย “รสเผ็ดคืออะไร? มันเป็นแบบไหน?”หยางฉิงอึ้งไปครู่หนึ่ง หรือว่าที่นี่จะไม่มีใครเคยกินพริกเลย? นางจึงพูดเลี่ยงไป “อ้อ...ข้าซื้อมาจากพี่หลี่อี้เมื่อครั้งไปหาผู้ใหญ่บ้านวันนี้ เลยได้ของแปลกมาหลายอย่าง พี่หลี่อี้บอกว่าสิ่งนี้กินได้ ท่านลองชิมดูก่อน”นางใช้ช้อนปรุงรสในชามของตัวเองเพียงเล็กน้อย แล้วตักน้ำในถ้วยส่งไปตรงหน้าหลี่เซิงหลี่เซิงมองช้อนที่อยู่ตรงหน้า ใบหูเริ่มร้อนขึ้นมา “เจ้าให้ข้ากินจากช้อนเจ้าหรือ?” เขาเอ่ยเสียงเบา พลางหลบสายตา“ท่านยังมาเขินอายอะไรข้าอีก? ตอนนี้เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ” นางพูดพร้อมหัวเราะเมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น จึงอ้าปากรับน้ำซุปจากช้อน ความรู้สึกแรกคือเผ็ดร้อน แต่ก็รู้สึกถูกใจ“เผ็ดมาก...”“นี่น้ำ ท่านเพิ่งเคยกินครั้งแรก ควรกินน้อย ๆ ก่อน พอลิ้นของท่านชินแล้ว ค่อยเพิ่มปริมาณ” นางมองปากหลี่เซิงที่แดงขึ้นกว่าเดิมด้วยความเอ็นดูเขารับน้ำมาดื่มแล้วค่อยดีขึ้น “ข้าควรเติมเท่าไหร่ดี? เจ้าช่วยเติมให้ข้าด้วย” เขายื่นถ้วยให้หยางฉิงหยางฉิงตักพริกเพียงเล็กน้อย ใส่ลงในถ้วยของเขา “เท่านี้ก็พอแล้ว ท่านลองชิมดู”ทั้งสองคนกินก๋วยเตี๋ยวกันบนเตียงที่ห
หยางฉิงยิ้มเย็นในใจ ‘สิ่งที่ข้าทำไว้คงออกฤทธิ์แล้วสินะ’ นางกล่าวเสียงเรียบ “ท่านแม่กล่าวหาอะไรข้ากัน? คนที่ควรจ่ายเงินควรเป็นท่านแม่มากกว่า เพราะลูกสาวสุดที่รักของท่านแม่มาทำร้ายข้าถึงหน้าบ้าน จนปากข้ามีเลือดออก หน้าข้าก็มีรอยแดงจากนิ้วมือของลูกท่าน ชาวบ้านทุกคนเห็นกันทั่ว ว่าใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ”จางเฟิงโต้กลับด้วยความโมโห “เจ้าเป็นลูกสะใภ้ ไม่ว่าลูกหรือครอบครัวแม่สามีจะทำอะไรกับเจ้าก็ได้ทั้งนั้น! ตั้งแต่วันที่ลูกข้าตบตีกับเจ้า นางก็เจ็บท้องอย่างหนัก! ถ้าไม่ใช่เจ้าทำ แล้วใครจะทำ!”หลี่เซิงที่ฟังสองคนทะเลาะกัน รู้สึกปวดหัวหนักขึ้น เขาคิดในใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงได้เป็นแบบนี้ ทั้งที่เขายอมแยกบ้าน ยอมยกเงินทั้งหมดที่เขามีให้แม่ เพื่อแลกกับที่ดินผืนนี้เพียงอย่างเดียว และเขาก็ไม่เคยไปรบกวนบ้านหลักเลยแม้แต่ครั้งเดียว“ท่านแม่มาที่นี่ ท่านพ่อรู้หรือไม่? ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูชาวบ้าน ท่านแม่คิดว่าจะหาใครมาแต่งงานให้พี่หลี่เจิงได้อีกหรือ? ท่านแม่ลองคิดดูให้ดี ถ้าไม่อยากโดนท่านพ่อว่า” เขาเอาท่านพ่อมาอ้าง เพราะรู้ว่าท่านแม่กลัวท่านพ่อที่สุดจางเฟิงได้ฟังที่หลี่เซิงพูด นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าชาวบ้า
หลี่จงพยักหน้าช้า ๆ มองนางด้วยสายตาอบอุ่น “ดี ดี เจ้าคิดได้แบบนั้น ข้าก็ดีใจกับสามีของเจ้าด้วย เขาดูแลเจ้ามาตั้งมากมาย ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก เจ้าก็ต้องดูแลเขาให้มาก”นางรับฟังที่ผู้ใหญ่พูดสั่งสอนนางมาด้วยความหวังดี“ท่านผู้ใหญ่บ้าน ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งที่นางต้องการหรือไม่ ข้านรู้มาว่าพี่หลี่อี้ก็ขายของไปตามแคว้นต่าง ๆ มีของแปลกใหม่มาขายตลอด ท่านพอมีเมล็ดพันธุ์แปลก ๆ มาขายให้ข้าบ้างไหม” นางหันไปถามพี่หลี่อี้อีกครั้ง ไหน ๆ เขาก็อยู่ตรงนี้แล้ว นางจะได้ไม่เสียโอกาส“ข้าน่ะมีไม่เยอะหรอก ถ้าเจ้ากล้าอยากซื้อก็ถือว่าวันนี้เจ้ามีโชคดี เพราะหลี่อี้กำลังจะเดินทางออกไปค้าขายในคืนนี้” หลี่จงบอกสิ่งที่นางอยากรู้นางลูบอกด้วยความยินดี “ถือเป็นโชคดีของข้าจริง ๆ แล้วพี่หลี่อี้ขายสิ่งใดบ้าง”“เจ้าก็อยากได้อะไรก็มีทั้งนั้น เจ้าลองไปดูบนรถเกวียนของข้าดีกว่า ถามซื้อเมล็ดจากพ่อของข้าไปก็คงไม่มีของที่เจ้าต้องการหรอก”“ถ้าไม่รบกวนพี่หลี่อี้มาก ข้าขอดูของที่ท่านเอาไปขายเสียหน่อย”หลี่อี้เดินนำหยางฉิงไปดูบนรถเกวียนที่เตรียมไว้ขายในวันพรุ่งนี้“ข้าเห็นว่าเจ้ากลับตัวกลับใจแล้ว จึงยอมให้เจ้ามาดูของที่ข้าเตรียมไว้”
หลี่เซิงนอนมองนางอยู่ จึงเห็นนางเดินเข้ามาหาเขา “เจ้าอยากปลูกสิ่งใด?”“ข้าอยากปลูกแตงโมนะ ที่นี่มีเมล็ดแตงโมหรือไม่” พูดถึงผลแตงโมแล้วก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา“ถ้าเจ้าอยากได้เมล็ดผลไม้ชนิดนั้นต้องเข้าไปซื้อในเมือง ที่เราอยู่ไม่ค่อยมีใครได้ปลูกผลไม้ชนิดนี้กัน เพราะมันปลูกยาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงจะได้กินพวกมัน ข้าก็ยังไม่เคยได้กินเลยสักครั้งเดียว‘ที่นี่เมล็ดแตงโมหายากขนาดนี้เลยหรือ’ “ข้าจะเข้าไปในเมืองได้เช่นไรกัน ข้ายังต้องดูแลท่านอยู่ ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกนะ” นางก็อยากเข้าไปดูตลาดในเมืองหลวงอยู่เหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงหลี่เซิงหมู่บ้านที่นางอยู่นี้ชื่อหมู่บ้านอันเหอ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่นัก จึงสามารถเดินทางเอาของไปขายในเมืองหลวงได้ แต่การเดินทางนั้นต้องใช้รถเกวียนวัวหรือเกวียนม้าเท่านั้น บางคนใช้ลาลากแทนก็มี“ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะมีของที่เจ้าอยากได้ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านเขาขายของเดินทางไปหลายพื้นที่ ถ้าโชคดีอาจได้พบสิ่งของแปลก ๆ ที่เขานำมาจากที่อื่นก็ได้”นางได้ฟังที่หลี่เซิงพูดก็ตาลุกวาว นางอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเสียแล้ว