กลิ่นอาหารหอมกรุ่นยังคงอบอวลอยู่ในโรงครัว แต่ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบตัวลดลงฉับพลัน เมื่อร่างสูงสง่าของ ลู่เหรินเจ๋อ ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู
บ่าวไพร่พากันค้อมศีรษะหลบสายตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง "แม่ทัพ..." บางคนพึมพำเสียงสั่น เพราะไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพเดินมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่สะทกสะท้านต่อบรรยากาศกดดันนั้น… หลี่อวี้จิง นางเหลือบมองพระเอกที่ยืนอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปหยิบตะเกียบ คีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปากแบบลวก ๆ เมื่อเห็นว่าลู่เหรินเจ๋อยังคงยืนจ้องนางนิ่ง ๆ นางก็พ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เหม็นขี้หน้า" เสียงนั้นดังชัดเจนในโรงครัวเงียบกริบ บ่าวไพร่พากันตัวสั่น นายหญิงเอ่ยวาจาสามหาวต่อท่านแม่ทัพ! ลู่เหรินเจ๋อชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะคำพูดของนาง แต่เพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมา มันเต็มไปด้วยความรำคาญจริง ๆ ไม่มีแม้แต่ความเกรงกลัวหรือยำเกรงแม้แต่น้อย นางพูดจบก็หันหลังเดินหนีทันทีโดยไม่รอฟังปฏิกิริยาของเขา ทิ้งให้บ่าวไพร่และเสี่ยวถิงอ้าปากค้าง "คุณหนู! เอ่อ... นายหญิง!" เสี่ยวถิงรีบตามหลังไปด้วยความตกใจ แต่ลู่เหรินเจ๋อกลับยืนมองแผ่นหลังของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย "เหม็นขี้หน้า?" เขาทวนคำพูดของนางเบา ๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นช้า ๆ หลี่เหมยหยุนที่เขาเคยรู้จัก ไม่มีทางกล้าพูดกับเขาแบบนี้ นางเคยออดอ้อน อ้างสิทธิ์ของภรรยา และพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้เขาเหลียวมอง แต่หญิงตรงหน้ากลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นางทั้งเมินเฉย ทั้งพูดจาเสียมารยาทใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ และที่สำคัญ… นางดู ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ลู่เหรินเจ๋อหลุบตาลง คิดอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกไปเช่นกัน เรือนของหลี่อวี้จิง เมื่อกลับมาถึงเรือน เสี่ยวถิงก็รีบวิ่งตามมาด้วยความร้อนรน "นายหญิง! เหตุใดท่านจึงพูดจาเช่นนั้นกับท่านแม่ทัพ!?" หลี่อวี้จิงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย "ข้าต้องพูดเพราะกับเขาหรือ?" "แต่ว่า !" " เจ้าอย่าลืมสิว่าแม่ทัพลู่ของเจ้ามิเคยใส่ใจข้าเลยด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดข้าต้องใส่ใจเขาด้วย?" เสี่ยวถิงอ้าปากค้างก่อนจะนิ่งไป นางไม่อาจโต้แย้งได้จริง ๆ หลี่อวี้จิงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาของนางฉายแววครุ่นคิด หากเขามองว่านางเป็นแค่ของไร้ค่า นางก็จะไม่เสียเวลาสนใจเขาเช่นกัน แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ... การที่นางไม่สนใจเขานั้น กลับยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มเริ่มให้ความสนใจในตัวนางมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว... หลี่อวี้จิงนั่งพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคลอไปด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้นางต้องเผชิญกับงานชักผ้าที่หนักหน่วง ไหนจะต้องไปหาของกินในโรงครัวท่ามกลางสายตาดูถูกของบ่าวไพร่อีก แต่เมื่อคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องรับมือกับเรื่องยุ่งยากอีก นางก็รู้สึกปลง… "เฮ้อ..." นางถอนหายใจยาว แล้วหลับตาลงชั่วครู่ แต่ไม่ทันที่นางจะได้พักนาน เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นด้านนอกเรือน พร้อมกับเสียงบ่าวไพร่ที่รีบโค้งคำนับ "คารวะท่านแม่ทัพ!" "ท่านแม่ทัพมาแล้วเจ้าค่ะ!" เสี่ยวถิงรีบสะกิดนางเบา ๆ ด้วยความตกใจ หลี่อวี้จิงลืมตาขึ้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย นางยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดี หมอนั่นก็ตามมาถึงที่นี่อีกแล้วหรือ? และแล้วร่างสูงของ ลู่เหรินเจ๋อ ก็เดินเข้ามาในห้องโถงของเรือนอย่างสง่าผ่าเผย ชายหนุ่มสวมชุดแม่ทัพสีดำปักลวดลายมังกรอันทรงอำนาจ ใบหน้าหล่อเหลายังคงเย็นชาและเฉยเมย ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่นาง หลี่อวี้จิงยังคงนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นต้อนรับราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ นางเพียงปรายตามองเขาอย่างเฉยชา "มีธุระอะไร?" นางถามเสียงเรียบ บรรยากาศในห้องเงียบกริบไปชั่วขณะ บ่าวไพร่รอบ ๆ พากันตัวสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับแม่ทัพลู่ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้! ลู่เหรินเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับท่าทีไม่แยแสของนาง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงแค่ตวัดสายตาไปทางบ่าวรับใช้ ก่อนที่เหล่าบ่าวจะรีบนำสำรับอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะตรงหน้านาง อาหารทั้งหมดถูกจัดเรียงอย่างประณีต มีทั้งซุปไก่ตุ๋นสมุนไพร ผัดผักสดใหม่ และข้าวหอมกรุ่น หลี่อวี้จิงเหลือบมองสำรับอาหารด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย "นี่มันอะไร?" ลู่เหรินเจ๋อทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามนาง สายตาของเขายังคงเฉยชาและหยิ่งทระนงเช่นเคย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เจ้าทำอาหารเอง ดูท่าจะไม่มีผู้ใดเตรียมสำรับให้ ข้าจึงให้แม่ครัวทำมาให้ใหม่" บ่าวไพร่รอบ ๆ ต่างพากันเบิกตากว้าง ท่านแม่ทัพลู่เป็นผู้สั่งให้แม่ครัวทำอาหารให้กับนายหญิงเอง!? เสี่ยวถิงถึงกับตะลึง นางไม่คิดว่านายของตนจะได้รับความใส่ใจเช่นนี้ แต่ในขณะที่ทุกคนตกตะลึงกับความเมตตาของแม่ทัพหนุ่ม หลี่อวี้จิงกลับมองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าคิดว่าท่านไม่ต้องการเห็นหน้าข้าเสียอีก" ลู่เหรินเจ๋อจ้องหน้านางนิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "อย่าเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการให้เจ้าไปวุ่นวายในโรงครัวจนทำให้บ่าวไพร่แตกตื่น" หลี่อวี้จิงหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ "เช่นนั้นหรือ?" สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาตักอาหารเข้าปากโดยไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรอีก บ่าวไพร่พากันลอบมองด้วยความลุ้นระทึก นายหญิงจะซาบซึ้งใจหรือไม่!? แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ หลี่อวี้จิงเพียงแค่กินไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าอาหารนี้เป็นสิ่งที่ควรได้รับอยู่แล้ว "รสชาติใช้ได้" นางเอ่ยเรียบ ๆ ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีท่าทีตื้นตันใจ มีเพียงท่าทางเฉยเมยที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง ลู่เหรินเจ๋อมองนางเงียบ ๆ ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าของนางที่กำลังกินข้าวอย่างสงบ เขาพบว่านับตั้งแต่ที่นาง เปลี่ยนไป นางไม่ได้แสดงความพยายามจะเอาใจเขาเลย นางไม่ออดอ้อน ไม่พยายามเรียกร้องความสนใจจากเขา และยิ่งกว่านั้น… นางไม่แม้แต่จะแคร์ว่าความรู้สึกของเขาจะเป็นเช่นไร นี่เป็นสิ่งที่ลู่เหรินเจ๋อไม่คุ้นชิน "ดี" เขาเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “กินให้อิ่ม ข้าไม่อยากเห็นเจ้าล้มป่วยให้วุ่นวาย” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากเรือน ทิ้งให้หลี่อวี้จิงนั่งกินต่อไปตามลำพัง แต่ถึงแม้เขาจะเดินจากไปแล้ว ดวงตาของหลี่อวี้จิงกลับมีแววครุ่นคิด “หมอนี่มาไม้ไหนกันแน่?” แม้ปากจะยังเย็นชา แต่การกระทำของเขากลับดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด…การมาเยือนของฮูหยินผู้เฒ่ารุ่งอรุณแรกของวัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง บรรยากาศเงียบสงบมีเพียงเสียงนกที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ภายนอกฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้ามาในตำหนักด้วยความกังวลใจ ตั้งแต่เมื่อวาน นางก็ได้รับข่าวว่าหลี่เหมยหยุนได้รับบาดเจ็บขณะช่วยเหลือนางจากเหตุการณ์ร้าย นางอดรู้สึกผิดไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะนาง หลี่เหมยหยุนก็คงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเช่นนี้แต่พอเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง สิ่งที่เห็นกลับทำให้นางต้องชะงักพระเอกกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงของนางเอก ร่างสูงสง่าโน้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาคมที่เคยฉายแววเย็นชา บัดนี้ดูอ่อนล้า ดวงตาดำคล้ำจากการอดนอน ศีรษะพะงกเล็กน้อยราวกับฝืนตัวเองไม่ให้หลับฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า“ที่แท้ เจ้าเป็นห่วงนางมากถึงเพียงนี้หรือ?”เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้พระเอกสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาคมปรือขึ้นก่อนจะรีบตั้งตัวให้ตรง แม้จะพยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนไว้ แต่ความอ่อนล้าก็ยังแสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด“ท่านแม่?” พระเอกขมวดคิ้ว “เหตุใดท่านจึงมาแต่เช้า?”“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่า เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่? หรือว่าคืนที่ผ
การช่วยเหลือในยามคับขันความมืดในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เคลื่อนไหวแปลกประหลาด เสียงฝีเท้าที่หนักหน่วงดังขึ้นจากด้านนอกตำหนักฮูยินผู้เฒ่า มันทำให้ฮูยินผู้เฒ่ารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ไม่ดี เสียงเหยียบหญ้าของผู้คนที่ลอบมาหมายจะทำร้ายท่าน"ท่าน... ท่านทำเช่นนี้ทำไม?" ฮูยินผู้เฒ่าได้ยินเสียงคันธนูอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับสัมผัสถึงความหนาวเย็นที่มากขึ้นในขณะที่ผู้เฒ่าหมดหนทางป้องกันตัวเอง เสียงฝีเท้าของคนร้ายก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในนั้นพยายามใช้ดาบฟันเข้าไปที่ตัวฮูยินผู้เฒ่า ด้วยความรวดเร็วและอันตรายอย่างยิ่งแต่นั่นก็เป็นจังหวะที่นางเอกเข้ามาช่วยเหลือทันเวลา แม้จะรู้ว่าการเข้าไปช่วยอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ไม่สามารถทนเห็นคนอื่นถูกทำร้ายได้"หยุด!" เสียงของนางเอกดังขึ้นกึกก้อง ทำให้คนร้ายหยุดชะงักนางเอกยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าฮูยินผู้เฒ่า ร่างกายของนางบังตัวผู้เฒ่าไว้เพื่อให้รอดพ้นจากการโจมตีของศัตรู ขณะที่ดาบฟันมาที่นางอย่างรุนแรง นางหลบหลีกไปได้เพียงเสี้ยววินาที แต่ดาบนั้นก็ปักลงที่ต้นขาของนางจนเกิดเลือดไหลออกมา"ท่าน... ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?" นางเอกหันไปมองฮูย
หลี่อวี้จิงเดินออกจากตำหนักอย่างสงบนิ่ง แม้บ่าวรับใช้จะพยายามห้ามปราม แต่สายตาของนางกลับแน่วแน่“คุณหนู... ท่านจะไปเผชิญหน้าพวกเขาด้วยตนเองหรือเจ้าคะ?”“แน่นอน” นางตอบเสียงเรียบ “ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา ว่าคุณหนูซ่งเย่วหรงมีแผนสำรองอะไรอีก หรือว่านางจะสิ้นฤทธิ์เพียงเท่านี้”ณ เรือนรับรองตระกูลซ่งภายในเรือนรับรองของจวนตระกูลซ่ง ผู้คนยังคงจับกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ แม้ลู่เหรินเจ๋อจะโต้กลับได้อย่างเฉียบขาด แต่บรรดาขุนนางที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลซ่งก็ยังคงลังเลว่าจะอยู่ข้างใครดีท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นหน้าประตู“ใครกัน!?” บ่าวรับใช้ของตระกูลซ่งร้องขึ้นเมื่อเห็นสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้านหลี่อวี้จิงปรากฏกายอยู่ตรงหน้า แขนเสื้อพลิ้วไหวไปตามสายลม นางหยุดยืนและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ"อืม... ดูเหมือนว่าข้าจะมาทันฟังบทสรุปของเรื่องนี้พอดี" นางกล่าวเสียงเรียบทุกสายตาจับจ้องไปที่นางในทันที"หลี่อวี้จิง..." ซ่งเยว่หรงกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาสั่นระริกด้วยความโกรธและหวาดหวั่นการเผชิญหน้าของสตรีสองคนหลี่อวี้จิงก้าวเข้าไปใกล้ แววตาข
หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารในสวน ลู่เหรินเจ๋อพาหลี่อวี้จิงกลับมายังตำหนักของนางด้วยท่าทีเคร่งขรึม แม้จะไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่ทุกคนในจวนต่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ปกคลุมอยู่รอบตัวเขาเมื่อกลับถึงตำหนัก หลี่อวี้จิงรีบจัดการกับบาดแผลของเขา แม้ว่าเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เลือดที่ซึมออกจากบาดแผลกลับบ่งบอกว่าไม่ได้เล็กน้อยเลยแม้แต่น้อย"ท่านแน่ใจหรือว่าบาดแผลนี้ไม่ร้ายแรง?" นางเอ่ยถามขณะใช้ผ้าพันแผลห้ามเลือดให้ลู่เหรินเจ๋อมองนางด้วยสายตานิ่งสงบ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ "ข้าทนได้"นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ "หากท่านเจ็บก็จงบอก ไม่ใช่ฝืนตนเองจนล้มไป ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านบาดเจ็บเพราะข้า"ชายหนุ่มมองนางครู่หนึ่ง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติมเงื่อนงำของมือสังหารคืนนั้น หลังจากที่หลี่อวี้จิงพักผ่อนแล้ว ลู่เหรินเจ๋อเรียก "เงา" หรือสายลับคนสนิทของเขาเข้าพบในห้องหนังสือ"สืบหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้" เสียงของเขาเย็นเยียบชายในชุดดำคุกเข่าลง "ขอรับคุณชาย ข้าจะรีบดำเนินการ""มือสังหารพวกนั้นมิใช่มือใหม่ พวกมันได้รับการฝึกมาอย่างดี" ลู่เหรินเจ๋อพูดต่อ "ข้า
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าลานดอกเหมยภายในตำหนักของหลี่อวี้จิงเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น นางนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมเย็นพัดโชยเบา ๆ ขณะที่เด็กชายฝาแฝดนั่งอยู่ข้างนาง ดวงตากลมโตทั้งสองคู่จ้องมองนางด้วยความสนใจ หลังจากที่พวกเขาแอบทดสอบนางอยู่หลายวัน ความหวาดระแวงเริ่มลดลง และแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น"ท่านแม่เลี้ยง… ท่านรู้เรื่องมากมายเหลือเกิน" เด็กชายคนโตเอ่ยขึ้น ขณะนั่งฟังนางสอนเรื่องกลยุทธ์พื้นฐาน"แน่นอน หากเจ้าอยากรู้อะไรอีก ก็ถามข้าได้เสมอ" หลี่อวี้จิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มแต่ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน ฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งสังเกตนางมาหลายวันแล้ว ได้เดินทางมายังตำหนักของหลี่อวี้จิงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า นางเดินเข้ามาพร้อมกับข้ารับใช้คู่ใจ สายตามองผ่านม่านไม้เลื้อยตรงระเบียงตำหนัก ก่อนจะหยุดชะงักกับภาพตรงหน้า'เด็กทั้งสองกำลังนั่งคุยกับนาง… แถมยังดูสนิทสนมกันมากกว่าที่คิด'ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏตัว"หึ ดูเหมือนว่าข้าจะมาได้จังหวะพอดี"เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ทุกคนหันไปมอง เด็กชายทั้งสองรีบลุกขึ้นยืน ทำความเคารพมารดาของบิดาตนเอง ขณะที่หลี่อ
กลยุทธ์และสัญลักษณ์ขอความช่วยเหลือ หลี่อวี้จิงเห็นว่าเด็กทั้งสองเริ่มเข้าใจแนวคิดของการใช้สติปัญญาแทนกำลัง นางจึงตัดสินใจสอนสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น "ในโลกนี้ ไม่ใช่ทุกครั้งที่เจ้าจะสามารถต่อสู้กับศัตรูได้โดยตรง" นางเอ่ยเสียงนุ่มนวล "หากเจ้าอ่อนแอกว่า ก็ต้องรู้จักวิธีหลีกเลี่ยง หรือขอความช่วยเหลือ" เด็กชายทั้งสองขมวดคิ้ว "ขอความช่วยเหลือ? อย่างไรหรือขอรับ?" หลี่อวี้จิงยิ้ม ก่อนจะหยิบกิ่งไม้มาวาดบนพื้นดินเป็นสัญลักษณ์ง่าย ๆ "จงจำสิ่งนี้ไว้" นางชี้ไปที่รูปที่นางวาด "หากวันใดเจ้าตกอยู่ในอันตราย แต่ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้โดยตรง ให้ใช้สัญลักษณ์นี้" เด็กชายทั้งสองมองดู มันเป็นสัญลักษณ์คล้ายตัวอักษรที่ดูเรียบง่าย "เจ้าสามารถวาดมันบนพื้นทราย ผนัง หรือแม้แต่ใช้ก้อนหินเรียงเป็นรูปร่างนี้ หากคนของจวนเห็นเข้า พวกเขาจะรู้ว่าต้องตามหาพวกเจ้า" เด็กชายคนโตร้อง "อืม! เข้าใจแล้ว!" เด็กชายคนเล็กยังคงครุ่นคิด "แล้วถ้าเราไม่มีโอกาสวาดล่ะขอรับ?" หลี่อวี้จิงพยักหน้าอย่างพอใจที่เขาตั้งคำถามดี นางหยิบใบไม้แห้งขึ้นมาก่อนจะฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ "ถ้าไม่มีโอกาสเขียน เจ้าสามารถใช้สิ่งรอบตัว อย่างเศษใบไม
หลังจากซ่งเยว่หรงจากไป บรรยากาศรอบลานประลองก็เงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ จะดังขึ้น “ท่านพ่อ!” เด็กชายสองคนวิ่งตรงมาหาพระเอก สีหน้าของพวกเขาดูตื่นเต้นปนกังวล บู่เหรินเจ๋อก้มลงมองบุตรชายทั้งสอง ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววสงสัย "เหตุใดพวกเจ้าจึงรีบวิ่งมาข้าเช่นนี้?" เด็กชายคนโตรีบพูดขึ้นทันที "ท่านพ่อ! ท่านเห็นหรือไม่ ท่านแม่เลี้ยง... นางเก่งมาก!" เด็กชายคนเล็กพยักหน้าหงึกหงักแล้วเสริม "จริงด้วยขอรับ! นางใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็ล้มองครักษ์ของคุณหนูซ่งได้!" ลู่เหรินเจ๋อเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหลี่อวี้จิง นางยืนกอดอกมองพวกเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย "หึ... กระบวนท่าเดียวล้มทั้งกระดาน คิดว่าเก่งนักหรือ?" น้ำเสียงของพระเอกยังคงเย็นชา แต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าแววตาของเขามีประกายบางอย่างซ่อนอยู่ หลี่อวี้จิงเพียงยิ้มบาง "อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมารังแกได้ง่าย ๆ" เด็กชายคนโตหันมามองนาง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา "ท่านแม่เลี้ยง... ท่านฝึ
ซ่งเยว่หรงที่พ่ายแพ้ในการแข่งขันพู่กัน แม้จะยิ้มอยู่แต่ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางไม่คิดเลยว่าหลี่อวี้จิงจะมีพรสวรรค์ในการประพันธ์กวีและศิลปะการเขียนอักษรถึงเพียงนี้ แต่แค่ความสามารถด้านอักษรศาสตร์เพียงอย่างเดียว มิได้ทำให้นางเป็นสตรีที่เหมาะสมกับตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนแม่ทัพ! ซ่งเยว่หรงกระแอมเบา ๆ ก่อนจะยิ้มอ่อนหวาน แล้วเอ่ยขึ้นมา “คุณนายหลี่เหมยหยุน ท่านมีพรสวรรค์ด้านวรรณศิลป์เป็นเลิศ ทำให้ข้าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง” นางหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “แต่จวนแม่ทัพมิได้ต้องการเพียงแค่สตรีที่มีความสามารถด้านกวีเท่านั้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่?” หลี่อวี้จิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางรู้ว่าคุณหนูซ่งกำลังวางกับดัก “เจ้าต้องการพูดอะไร?” ซ่งเยว่หรงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่แฝงด้วยความท้าทาย “ข้าอยากขอให้ท่านแสดงความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ให้พวกเราชมสักเล็กน้อย” เมื่อสิ้นคำพูดของนาง หญิงสาวจากตระกูลขุนนางที่นั่งอยู่ต่างส่งเสียงฮือฮา พวกน
เช้าวันถัดมา ภายในลานกว้างของจวนแม่ทัพ บรรดาบ่าวไพร่พากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด"ได้ยินว่าคุณหนูซ่งพาแขกมาที่จวน""แขกอะไรกันล่ะ? ข้าได้ยินว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางหลายคน พวกนางต้องการมาทดสอบนายหญิงของเรา!"บ่าวไพร่ต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดจู่ๆ คุณหนูซ่งจึงพาสตรีชั้นสูงจากจวนต่างๆ มาที่นี่ โดยอ้างว่าต้องการ "เยี่ยมเยียน" หลี่อวี้จิงในเรือนรับรองแขก ซ่งเยว่หรงในชุดสีชมพูอ่อนปักลายกลีบบัว ดูอ่อนหวานและสง่างาม นางยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน"วันนี้ข้าพาคุณหนูจากตระกูลขุนนางมาทักทายคุณนายของจวนแม่ทัพ ข้าได้ยินมาว่าคุณนายลู่เป็นสตรีที่มีความสามารถ จึงอยากขอเรียนรู้จากท่านบ้าง"หญิงสาวที่มาด้วยกันต่างพากันหัวเราะเบา ๆ แววตาของพวกนางมีทั้งเยาะหยันและดูแคลน"จริงหรือเจ้าคะ?" คุณหนูจากตระกูลหลี่แสร้งเอ่ยเสียงอ่อนหวาน "ข้าได้ยินว่าคุณนายลหลี่เหมยหยุนเดิมเป็นสตรีอ่อนแอไร้ความสามารถ มิหนำซ้ำยังชอบทุบตีเด็ก ๆ เมื่อคราวก่อน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนละคน ข้าอดทึ่งมิได้จริง ๆ"บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความกดดัน บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ต่างตัวสั่น พวกนางรู้ดีว่