หน้าหลัก / โรแมนติก / ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า / บทที่ I กลิ่นสาบคนเลี้ยงม้า (Part 2/2)

แชร์

บทที่ I กลิ่นสาบคนเลี้ยงม้า (Part 2/2)

ผู้เขียน: 0I0VIII
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-17 18:07:53

        เพี้ยะ!!....ขวับ!!

        “อึก!!” ร่างเปลือยท่อนบนนอนราบไปกับตั่งไม้ มือหยาบกร้านกำขอบไม้ไว้แน่นยามถูกแส้ฟาดลงบนผิวกาย เนื้อปริแตกมีเลือดซึมออกมาเปื้อนแผ่นหลังเกินกว่าครึ่ง โทษของการแตะต้องร่างกายคุณหนูซู คือการโบยด้วยแส้จำนวนห้าสิบครั้ง

        “อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยหลานเอ๋อร์ แม่ลงโทษมันให้แล้ว” ฮูหยินซูผู้มีอำนาจเป็นรองเพียงนายท่านซูลูบกลุ่มผมนุ่มของบุตรสาว กล่าวปลอบโยนดรุณีตัวน้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างอย่างรักใคร่ นางตามใจบุตรสาวทุกสิ่งอย่าง เพียงวิ่งโร่ไปฟ้องว่าถูกคนเลี้ยงม้าล่วงเกิน นางก็พามาดูการลงโทษด้วยตนเองในทันที

        “เจ้าค่ะท่านแม่” ซูไป๋หลานยิ้มกว้าง สาแก่ใจยิ่งนัก เห็นคนเลี้ยงม้าเจ็บปวดนางก็พึงพอใจ บัดนี้แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังทำได้ลำบาก เห็นทีคงต้องคลานกลับห้องแล้วกระมัง

        “ห้ามผู้ใดให้การช่วยเหลือมันเป็นอันขาด” คุณหนูซูกล่าวมาเช่นนี้ผู้ใดจะกล้ายื่นมือไปสอด หาไม่แล้วคงไม่แคล้วมีสภาพเช่นเดียวกับคนเลี้ยงม้าหนุ่ม แม้จะรู้สึกเวทนาทว่าก็ต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ใครมัน ด้วยไม่อยากหาเหาใส่หัว ทว่าก็มีเสียงซุบซิบคล้ายฝูงผึ้งกำลังบินดังในหมู่ข้ารับใช้คล้อยหลังเจ้านาย

        “เฮ้อ…พวกเรารีบไปทำงานกันต่อเถิด ดูท่าจะไม่รอดแล้ว”

        “น่าเวทนาเสียจริง เป็นใบ้ไม่พอยังถูกเฆี่ยนตีปางตายอีก”

        “ดูท่าว่านับวันจิตใจของคุณหนูซูยิ่งโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ”

        “เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล อยากถูกเฆี่ยนจนตายหรือไร”

        “ข้าว่าคงไม่ใช่แค่ถูกเฆี่ยนตี แต่จะถูกตัดลิ้นเสียมากกว่า”

        “ข้าไม่กล้าพูดแล้ว”

        “สงบปากสงบคำของเจ้าไว้ ดูก็รู้ว่าครั้งนี้ฮูหยินต้องการฆ่าไก่ขู่ลิง [1] ”

        เสียงพูดคุยเหล่านั้นดูเหมือนห่างไกลออกไปเรื่อยๆ นั่นเป็นเพราะสติของเขาเหลือน้อยเต็มที คนเลี้ยงม้าคับแค้นใจจนแทบกระอัก ในอกร้อนผ่าวราวถูกไฟสุม ต่างจากอุณหภูมิในกายที่เริ่มลดลงทีละน้อย เขากำลังจะตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว รอยปริแตกลากยาวกลางหลังสาหัสพอสมควร บัดนี้ไม่มีกระทั่งพื้นที่ใดไม่อาบไปด้วยเลือด ความเจ็บแสบแปรเปลี่ยนเป็นด้านชา ก่อนจะหมดลมหายใจอย่างอยุติธรรมมีความปรารถนาหนึ่ง

        มันแรงกล้ายิ่งกว่าความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดเสียอีก

        “ข้าได้กลิ่นหอมหวานจากเจ้า” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในปรโลกแล้วหรือไม่ จึงได้ยินเสียงเรียบเย็นทว่าผะแผ่ว คล้ายอีกฝ่ายมากระซิบชิดริมหู

        กระนั้นเขาตอบกลับในใจ

        ‘ช่วยข้าด้วย’

        “เจ้าปรารถนาสิ่งใดหรือ” คนเลี้ยงม้าน้ำตาไหลลงจากหางตา เป็นครั้งแรกที่มีผู้ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ซ้ำยังเป็นครั้งแรกที่มีผู้ถามถึงสิ่งที่เขาปรารถนา

        แม้ว่าสิ่งที่ถามกลับมาจะเป็นเพียงการคิดไปเอง เป็นมนุษย์ ภูตผี หรือปีศาจก็ตามแต่ หากว่าก่อนสิ้นลมได้ฝากฝังความแค้นให้สิ่งนั้นชำระต่อแล้วละก็

        คนเลี้ยงม้าต่ำต้อยอย่างตนคงตายตาหลับแล้ว

        ‘ข้าต้องการแก้แค้นคุณหนูซู’ เขาคิดในใจ ทว่าก็มั่นใจเช่นกันว่าสิ่งนั้นจะรับรู้

        “อยากให้นางตายอย่างทุกทรมานเช่นนั้นหรือ”

        ‘ไม่…ข้าอยากให้นางตกต่ำ ช่วยข้าฉุดนางลงมาจากที่สูงที ให้ร่างกายบริสุทธิ์ของนางแปดเปื้อนราคี เฉกเช่นเดียวกับจิตใจ สกปรกของนาง’

        “รู้ใช่หรือไม่ว่ามีสิ่งที่ต้องแลก”

        “ข้ายอมแลกทุกอย่าง” คนเลี้ยงม้าไม่มีความลังเล เวลาชีวิตเหลือน้อยเต็มที เขาไม่มีอะไรจะเสีย หากมันอยากได้อะไรก็จงเอาไปให้หมด

        “ดี…เช่นนั้นวิญญาณและร่างกายของเจ้าเป็นของข้านับจากนี้” ทุกคำพูดราวกับกำลังกระชากวิญญาณออกจากร่าง ดึงเข้าไปในหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของก้นหลุม เงยหน้าขึ้นมองด้านบนไม่พบแสงสว่าง

        ทว่าเขาก็ยินดีที่จะตกลงสู่ความมืด เพียงเพื่อฉุดคนที่ทำร้ายตนให้ตกตามมา

        เมื่อปราศจากผู้คนดวงตาสีรัตติกาลราวกับห้วงอนธการลืมขึ้น ร่างที่หยุดหายใจไปชั่วครู่กลับมามีชีวิตอีกครั้งราวปาฏิหาริย์ ทว่ามิใช่ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากคำอวยพรของสวรรค์ แต่เป็นปาฏิหาริย์จากความอาฆาตแค้นอันแรงกล้า มากเสียจนสามารถเรียกปีศาจจากขุมนรกได้

        สีหน้าบิดเบี้ยวจากทัณฑ์ทรมานเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเฉยชา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนคล้ายไม่รู้สึกรู้สาอันใด แม้ว่าเลือดจะไหลลงมาตามแผ่นหลัง อาบขอบกางเกงที่นุ่งอยู่แล้วก็ตาม

        “ร่างใหม่ของข้าก็มิเลว” แขนยาวเหยียดขึ้นฟ้าบิดขี้เกียจ ร่างกายของคนเลี้ยงม้าแม้จะผอมไปบ้างจากความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีนัก ทว่าผลของการทำงานหนักสร้างกล้ามเนื้ออันแข็งแรงให้ทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นกล้ามแขน ขา กระทั่งหน้าท้องยังปรากฏลูกคลื่นแปดลูกเรียงตัวสวย

        “ความปรารถนาของเจ้า ข้าจะเติมให้เต็มเอง”

        “รอก่อนเถิดคุณหนูตัวน้อย…ตอนนี้เจ้ายังเด็กนักจนข้ามิมีอารมณ์กำหนัดเอาเสียเลย”

        .......... TBC ..........

[1] มีความหมายเดียวกับสำนวนไทย ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ ทำโทษคนหนึ่งให้อีกคนหนึ่งหรือคนอื่นกลัว จะได้ไม่เอาเยี่ยงอย่าง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 6/6)

    คล้อยหลังร่างสูงใหญ่ไปไม่นาน นางรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งสัมผัสกับผิวกาย ซูไป๋หลานตื่นตระหนกเมื่อเจ้าสิ่งนั้นค่อยๆ เลื้อยพันร่างของนาง กระทั่งมันรัดรอบหน้าอก ผิวสากแลเย็นยะเยือกครูดไปกับยอดถันชูชัน เมื่อนั้นร่างของนางก็สั่นระริกระคนสั่นกระเส่า “งะ…งูรึ” ซูไป๋หลานกลัวงู นางอยากจินตนาการว่าเป็นอย่างอื่น ทว่าสัมผัสแนบเนื้อชัดเจนจนคิดเป็นอย่างอื่นมิได้ ร่างบอบบางพลันสิ้นเรี่ยวแรง กระทั่งเสียงจะกรีดร้องยังดังอยู่ในลำคอ ร่างยาวเหยียดและอวบหนาพันรอบร่างกายซูไป๋หลาน มันใช้บริเวณโคนหางแยกขาเรียวออกจากกัน ส่งปลายหางเรียวแหลมแหย่เข้าไปในโพรงนุ่มทีละน้อย “เฮือก!!” “อะ…อา” นางตกใจในคราแรก ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นครางแผ่วเมื่อเดรัจฉานเลือดเย็นทะลวงหางของมันเข้าออกในรูร่องที่ยังคงเปียกชื้นจากน้ำหวานของนาง และน้ำคาวของคนเลี้ยงม้า มันขยับสอดใส่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น สุดท้ายกลายเป็นลื่นไหลไม่ติดขัด สัมผัสแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับส่งดรุณีน้อยมากราคะถึงสวรรค์ ร่างกายของนางสั่นกระตุก โพรงนุ่มรัดหางงูแน่น กระทั่งมันถอนส่วนนั้นออกนางจึงรู้สึกโล่ง ทว่าเพียงไม่นานกลับมีบางอย่

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 5/6)

    “ข้ากลัว ไม่ไปได้หรือไม่” ซูไป๋หลานหยุดยืนนิ่ง ทอดสายตามองเข้าไปในความมืดที่ถูกแสงจากคบไฟสาดส่องให้เห็นเพียงเลือนราง ทว่าเสียงน้ำไหลทำให้นางตัวสั่น ก้าวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “ไม่เป็นไรนะขอรับคุณหนู ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว” คนเลี้ยงม้าพยายามปลอบคุณหนู มือใหญ่กอบกุมมือเล็กไว้แน่น ดวงตาดำมืดมองใบหน้าซีดเผือด ออกแรงดึงมือเล็กให้เดินตาม “อึก” ซูไป๋หลานกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ นางจดจำเหตุการณ์ร่วมสังวาสที่น้ำตกกับเขาได้ ภาพร่างแน่นิ่งยังคงติดตา สัมผัสเย็นยะเยือกยังคงติดตรึงในใจ นางกลัวว่าจะเป็นเช่นคืนนั้นอีก หากให้เห็นคนรักเย็นชืดเป็นศพอีกครั้ง นางคงรับไม่ไหวอีกแล้ว “คุณหนู คิดเสียว่าคืนนั้นเป็นเพียงฝันร้ายนะขอรับ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก” “ข้า…เชื่อเจ้า” ซูไป๋หลานยังคงไม่คลายความกังวล ร่างกายเองก็ยังคงสั่นระริก ทว่าหากคนเลี้ยงม้ารับปาก นางก็เชื่อใจเขา คนเลี้ยงม้าไม่โกหก ครั้งหอโคมเขียวเขาบอกจะมารับในอีกหนึ่งเดือนเขาก็มาตามที่พูด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ซูไป๋หลานก้าวเท้าสัมผัสผิวน้ำทีละข้าง น่าแปลกที่อากาศเย็นทว่าน

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 4/6)

    “อ๊ะ…อ๊า…” เสียงครางหวานแว่วออกมาจากในกระท่อมหลังเล็ก เงาร่างสองร่างโยกไหวเกิดเป็นระลอกคลื่นวาบหวาม เสียงการสอดประสานของสองกายดังเป็นจังหวะหนัก ท่ามกลางความมืดแลหนาวเหน็บของราตรีกาลอันเป็นนิจนิรันดร์ ภายในกระท่อมกลับร้อนระอุ ซูไป๋หลานเป็นม้าให้คนเลี้ยงม้าควบขี่ บุรุษร่างใหญ่คร่อมทับร่างเล็กของนาง สอบกลางกายเข้าใส่ สาดซัดความเสียวให้ร่างแน่งน้อยแดดิ้นอยู่บนพื้น นางคลานเข่าแอ่นบั้นท้ายราวกับสัตว์ที่กำลังถูกผสมพันธุ์ เพื่อรองรับแท่งทวนอวบใหญ่ที่ทะลวงเข้าออก “อ่า…คุณหนู เด้งสะโพกสวนรับด้วยสิขอรับ” คนเลี้ยงม้าออกคำสั่งอย่างไร ซูไป๋หลานก็ทำตามนั้น แม้ว่าแท่งทวนจะทะลวงลึกจนนางจุกในท้อง ทว่าหากคนเลี้ยงม้าต้องการ แม้จะจุกเพียงใด อึดอัดจนรู้สึกไม่สบายตัว นางก็ยินดีทำให้ เพียงเพื่อปรนเปรอให้เขาพึงใจ “อ๊ะ…ลึก…ลึกมาก” นางเชิดหน้าครวญคราง สวนสะโพกรับกับจังหวะตอกอัดของคนเลี้ยงม้า แท่งทวนยาวเหยียดเข้าสุดออกสุดทุกครั้ง เมื่อนางเสียวจนทนไม่ไหว แขนสั่นระริกมิอาจทรงตัวได้ จึงแนบใบหน้าลงกับพื้นเย็นเฉียบของกระท่อม แอ่นเพียงบั้นท้ายให้เขาตอกตรึง ซ้ำยังสวนสะโพกกลับไปอย่างไม่ขา

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 3/6)

    “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินกำลังให้นมคุณชายน้อยอยู่เจ้าค่ะ หลังรับประทานอาหารเย็น ค่อยมาใหม่นะเจ้าคะ” ซูไป๋หลานแวะมาหามารดาก่อนที่จะเข้าเรียนในช่วงบ่าย ทว่าคำตอบที่ได้รับทำให้นางเดินคอตกกลับไปโดยไม่มีคำพูดใด “ฮูหยินเข้านอนไปพร้อมคุณชายน้อยแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะเจ้าคะ” ซูไป๋หลานมาหามารดาช่วงหัวค่ำ นางตั้งใจปักผ้าเช็ดหน้ามาให้จึงใช้เวลาทำนานพอสมควร รูปดอกกุหลาบสีแดงทำให้นึกถึงผู้ให้กำเนิด ทว่าคำตอบจากสาวใช้เป็นเหตุให้นางต้องเก็บผ้าผืนนั้นกลับไป ไว้รอมาให้ในวันพรุ่งนี้แทน “ฮูหยินพาคุณชายน้อยไปรับแสงแดดอ่อนยามเช้า คุณหนูใหญ่มาพบฮูหยินในช่วงรับประทานอาหารกลางวันแทนนะเจ้าคะ” แล้วคำตอบที่ได้รับก็ไม่ต่างไปจากเดิม คราวนี้ซูไป๋หลานโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งลงไปในสระบัว นางยืนนิ่งจ้องมองมันค่อยๆ จมหายลงไปใต้ผืนน้ำ เฉกเช่นใจดวงน้อยที่ค่อยดำดิ่งลงสู่เบื้องล่าง ลึกลงไปในก้นสระ ไม่ต่างจากก้นบึ้งหัวใจอันหนาวเหน็บของนาง ซูไป๋หลานจำไม่ได้ว่ามาหามารดาสิบครั้งได้เข้าพบถึงสองครั้งหรือไม่ เพราะมารดายุ่งเหลือเกิน จึงเดินคอตกกลับไปยังห้องที่ใช้เรียนคัดอักษรในวันนี้ ทว่านางไม่ม

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 2/6)

    ซูไป๋หลานในวัยสิบหนาวกระโดดโลดเต้น นางตั้งใจจะนำภาพวาดครอบครัวที่มีนาง บิดาและมารดามามอบให้ท่านพ่อและท่านแม่ตามคำแนะนำของสาวรับใช้คนสนิท เด็กน้อยพบว่าประตูห้องนอนใหญ่มิได้ปิดไว้เช่นทุกทีจึงยิ่งอารมณ์ดี ขาเล็กก้าวเร็วๆ กระทั่งเห็นว่าด้านในไม่ได้มีเพียงบิดาและมารดา ทว่ามีแผ่นหลังชราและสาวรับใช้คนสนิทของฮูหยินซูอยู่ด้วย นางหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าประตู มองคนทั้งหมดด้วยความสงสัยว่าเหตุใดจึงมารวมตัวกันที่นี่ในเวลาเช่นนี้ “ยินดีด้วยขอรับนายท่าน ฮูหยินซูตั้งครรภ์แล้วขอรับ” “จริงหรือ เจ้าตรวจดูอีกทีให้แน่ใจ” “จริงขอรับ ข้าจับชีพจรของฮูหยินเพื่อให้มั่นใจถึงสามรอบ ผลที่ออกมาไม่ผิดพลาดแน่ขอรับ” “ท่านพี่ ข้าดีใจเหลือเกิน ในที่สุดก็ตั้งครรภ์ที่สองให้ท่านได้แล้ว” น้ำเสียงของฮูหยินซูสั่นเครือ ทว่าไม่ใช่เพราะความเสียใจ นางกำลังดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เดิมทีซูซือเย่ก็มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก นางมีบุตรยาก กระทั่งอนุลี่มีบุตรชายอายุได้สามหนาวนางจึงให้กำเนิดซูไป๋หลาน ทว่าน่าเสียดายที่ฮูหยินซูได้บุตรสาว แทนที่จะเป็นบุตรชายไว้สืบสกุล หลัง

  • ทาสสวาท คนเลี้ยงม้า   บทพิเศษ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ชั่วนิจนิรันดร์ (Part 1/6)

    เพี้ยะ!! ขวับ!! เสียงแส้ฟาดลงบนผิวเนื้อดังบาดหู เสียงหวีดหวิวเมื่อแส้ถูกเงื้อขึ้นและหวดกลับลงมาด้วยความเร็วเองก็น่าหวาดเสียวไม่น้อย ทว่ายังไม่ดังเท่าเสียงอ้อนวอนของสตรีที่กำลังได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส “ได้โปรดยกโทษให้…อ๊า…ข้าด้วยเจ้าคะ…เพี้ยะ!!...อ๊า…ฮูหยิน” “แรงกว่านี้อีก หรือว่าเจ้าอยากโดนเสียเอง” ฮูหยินซู หรือก็คือ ซูซือเย่ปรายตามองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่กำลังเฆี่ยนสตรีผู้โชคร้าย กระแสความไม่พอใจพาดผ่านดวงตาหงส์ นางรู้สึกว่าทัณฑ์ทรมานที่บ่าวรับใช้มอบให้อนุลี่นั้นยังไม่มากพอ มิเช่นนั้นคงไม่พูดอะไรให้ระคายหู สิ่งที่นางอยากได้ยินมีเพียงเสียงร้องโหยหวนเท่านั้น นับจากนั้นจึงมีเพียงเสียงกรีดร้องของสตรีที่ถูกขึงไว้กับตั่งไม้ยกสูง ในลานโบยที่มิมีผู้ใดอยากเฉียดใกล้ ซูไป๋หลานวัยแปดหนาวกอดเอวมารดาแน่น ใบหน้าเล็กซุกอยู่ด้านหลัง ทว่าบางคราจะโผล่เพียงเสี้ยวหน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก และภาพที่เห็นก็ทำให้เจ้าตัวหลบกลับเข้าไปที่เดิมอีกครั้ง จวบจนเสียงของอนุลี่เริ่มแผ่วลง ทว่าแรงหวดของแส้กลับยังคงหนักแน่นเช่นเดิม นางจึง

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status