“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดถึงท่านเหลือเกิน” น้ำเสียงนั้นออดอ้อน นางค่อย ๆ เขยิบเข้ามาใกล้“ข้าก็คิดถึงเจ้า แล้วนี่เจ้าเล็ดลอดสายตาทหารยามมาได้อย่างไร”“เยว่ฉีคิดถึงท่านจริง ๆ นะเพคะ ถึงได้เสี่ยงอันตรายมาหาถึงที่นี่” นางยังเดินต่อไป พร้อมส่งเสียงออดอ้อนเขา ระยะห่างของทั้งสองจึงลดลงเรื่อย ๆ เหลือเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น“เจ้าช่างใจร้ายกับข้านัก รู้หรือไม่ข้าต้องทนอัดอั้นเพียงใด” เขาตัดพ้อเสียงค่อย“รู้สิเพคะ หม่อมฉันต้องขออภัยที่ทำให้ท่านอ๋องต้องอับอายพวกพระชายารอง” เยี่ยนเยว่ฉีกลั้วหัวเราะ“ข้าก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะอดทนมาได้ถึงวันนี้”“หากลำบากนัก ท่านอ๋องก็ร่วมหอกับพวกนางเสียสิ” เสียงหวานเจือแง่งอน“ไม่ ข้าไม่ต้องการพวกนาง เป็นเจ้าต่างหากที่ข้าพึงใจ” ท่านอ๋องหนุ่มตอบแบบไม่กลัวเสียศักดิ์ศรี ยามนี้เขาดึงหญิงสาวมาโอบกอดเอาไว้แน่น ราวกับเกรงว่านางอาจจะบินหนีไป “ข้าเอาแต่คิดถึงเจ้าจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว”“สตรีใดก็เหมือนกันนั่นแหละเพคะ ท่านอ๋องจะได้ไม่ต้องทรมาน” นางยังคงหัวเราะเบา ๆ ให้กับชายหนุ่มผู้โง่เขลา“ไม่! พวกนางไม่มีทางทดแทนเจ้าได้เลย ต่อให้ข้าพยายามทำอย่างไร ก็ไม่สามารถลืมเจ้าได้แม้สัก
แผ่นดินใหญ่ปู้จิ่นฉีอันไกลโพ้นสงครามระหว่างแคว้นหานและแคว้นเป่ยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นหนึ่ง ต่อมาแคว้นหานได้ส่งแม่ทัพผู้กร้าวแกร่งแห่งตระกูลเยี่ยนเข้าสู่สนามรบ ด้วยสืบสายเลือดตระกูลนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มห้าวหาญดุดันบุกตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้วในที่สุดก็มีชัยเหนือแคว้นเป่ยหลังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแคว้นเป่ยหยุดยกทัพโจมตีแคว้นหานนานราวสิบปี ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันโดยไม่ประมาทปราการที่กั้นขวางทั้งสองแคว้นไว้คือแนวเขาลืมทุกข์กับแม่น้ำลืมเลือน แม้จะสงบศึกกันอยู่แต่ก็ยังปรากฏเหตุความไม่สงบก่อตัวขึ้นบ้างตามแนวชายแดน มีการบุกปล้น ลอบทำร้ายกองทหารลาดตระเวนของแคว้นหานเป็นระยะ ทหารแคว้นเป่ยมักลอบเข้ามาดักซุ่มแบบกองโจร ถึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก่อให้เกิดความหวาดวิตกแก่ราษฎรผู้อาศัยอยู่ในเมืองหน้าด่านเป็นอย่างมากเมื่อเหตุการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง แม่ทัพตระกูลเยี่ยนผู้เกรียงไกรย่อมต้องแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ยามนั้นเยี่ยนหยาง
บุตรชายคนรองของตระกูลนามว่าเยี่ยนจิ้นหลิง วัยยี่สิบสองปี เขามีลักษณะแตกต่างจากบิดาและพี่ชายจนน่าตกใจ หากเยี่ยนหยางจงมีลักษณะของยอดนักรบ เยี่ยนจิ้นหลิงก็คงเรียกได้ว่ามีลักษณะของยอดบัณฑิต ร่างสูงโปร่งห่อหุ้มด้วยอาภรณ์แพรไหมสีขาว จุดเด่นสะดุดตาคือผมเงินเป็นเงางามปล่อยสยายไปด้านหลัง รูปโฉมสง่างาม ท่วงท่ากริยาสุภาพ นัยน์ตาดอกท้อเต็มเปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึกบางอย่าง เขางดงามราวเทพเซียน อาวุธประจำกายมิใช่ทวนหนักแปดสิบชั่ง หากแต่คือมันสมอง เยี่ยนจิ้นหลิงรั้งตำแหน่งกุนซือของกองทัพตระกูลเยี่ยน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญศาสตร์การทำนายอย่างหาตัวจับได้ยาก ด้วยความงดงามและดูลึกลับ บรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างหมายปองเขาทั้งสิ้น ไม่มีใครตำหนิเรื่องผมสีเงินที่ดูแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไป กลับมองว่าเขาเป็นเทพเซียนมาจุติ ทุกครั้งที่กุนซือหนุ่มเข้าเมือง มักจะพบเห็นคุณหนูใจกล้าพากันมาดักรอพบหน้า หากอายเสียหน่อยก็ให้คนเอาจดหมายมาให้แทน แต่บุรุษผมเงินมักจะเปรยเสมอว่า ถ้าพี่ใหญ่ยังไม่แต่งฮูหยิน เขาก็ไม่อาจแต่งงานได้บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเยี่ยนเยว่ฉี เป็นดรุณีวัยแรกแย้มงดงาม กิริยามารยาทงามสง่าตรึงใจผู้พบเห็น ถูกอบรมตามแบบฉ
เมืองหลวงแคว้นหานทั้งเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ทั้งอาคารบ้านเรือนหรือก็ใหญ่โตสวยงาม มีถนนศิลาดำทอดยาวทำให้การเดินทางในเมืองเป็นไปอย่างสะดวกสบายเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมืองหลวงจึงแบ่งออกเป็นหลายเขต ทั้งเขตการค้า เขตรื่นเริง เขตที่อยู่อาศัยของขุนนาง เขตพำนักของเหล่าราชนิกุล และสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นวังหลวงอันใหญ่โตแห่งแคว้น ไม่ว่าจะมองไปที่ใด ก็เจอแต่ผู้คนแต่งกายด้วยอาภรณ์อันงดงาม นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นคนจากแคว้นอื่น ๆ ที่เข้ามาลงทุนทำการค้า หรือท่องเที่ยวเยี่ยมชมเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่างดงามกว่าแคว้นใดในดินแดนใกล้เคียงที่นี่เป็นแหล่งรวมสิ่งต่าง ๆ ทั้งในและนอกแคว้น ทำให้บรรยากาศการซื้อขายสินค้าเป็นไปอย่างคึกคัก หากต้องการสิ่งใดเพียงไปหายังย่านการค้าก็จะเจออย่างแน่นอน ทั้งแพรพรรณ ขนสัตว์ เครื่องประดับ รวมไปถึงสมุนไพร ไม่เว้นแม้แต่สัตว์หายากจากต่างแคว้น แต่ถ้าต้องการสั่งทำเครื่องประดับก็เพียงแวะไปยังร้านค้าเก่าแก่ของช่างฝีมือแห่งเมืองหลวงเนื่องจากอยู่ภายใต้เงาขององค์ฮ่องเต้ทำให้บรรยากาศสุขสงบไร้เรื่องร้ายรบกวน หรือหากจะเกิดเรื่องก็มิพ้นสายตาของมือปราบแห่งเมืองหลวงไปไ
“...” ถางซือเซินเลือกที่จะไม่บอกความรู้สึกของตนเอง คำพูดเหล่านั้นฟังดูเย็นชาเกินไป“เจ้ากำลังตำหนิข้าอยู่สินะ คงคิดว่าข้าไร้หัวใจ” นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอัครเสนาดีฝ่ายซ้ายอย่างรู้ทัน “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกซือเซิน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พระชายารองทั้งสามต้องการความโปรดปรานก็เพื่อให้ข้าสนับสนุนครอบครัวของพวกนาง เห็นหรือไม่ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งสิ้น”“ท่านอ๋องเพียงยังไม่พบสตรีที่พึงใจอย่างแท้จริงก็เท่านั้นเอง”“ความรักคืออะไรซือเซิน มันคงมีเพียงในโคลงกลอนอันเพ้อฝันเท่านั้น”เมื่อก่อนนั้นบทประพันธ์ต่าง ๆ ชวนให้อ๋องหนุ่มหวังว่าจะได้สัมผัสกับรักแท้ พอนานเข้า ก็รับรู้ได้ว่าหน้าที่ของตนเองสวนทางกับเรื่องในหนังสือ หญิงสาวมากมายที่รายล้อมล้วนเอาใจเขาเพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างเสมอ ในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้จะไม่ให้รู้สึกด้านชาได้อย่างไรในโลกของความเป็นจริง ด้วยฐานันดรศักดิ์ของเขา ย่อมมีสตรีอยากถวายตัวให้ลิ้มลองเริ่มตั้งแต่ยังไม่ออกจากวังหลวงมาอยู่จวนส่วนตัว บรรดานางกำนัลทั้งหลายที่อยากยกฐานะ รวมไปถึงบรรดาขุนนางต่าง ๆ ก็อยากจะยกบุตรสาวให้เพื่อผลประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์กับเชื้อพระวง
เมื่อย้อนนึกถึงวันวานในวัยเยาว์ของตนเองกับผู้ที่เป็นอัครเสนาบดี ก็เริ่มจำได้ว่าพวกเขาเคยพูดเรื่องรับภรรยาในอนาคต ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กจึงรับปากด้วยความยินดี ซ้ำยังให้คำมั่นว่าจะไม่มีทางปฏิเสธหญิงสาวที่สหายเลือกให้อย่างแน่นอน“น่าตายนัก!” มู่เลี่ยงหรงสบถลอดไรฟัน กำหมัดแน่น หลับตาลงลอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของสหายอย่างเจ็บแค้น เขารู้ดีว่าตกหลุมพรางเสียแล้ว และหลุมนี้ตนดันเป็นคนขุดเอาไว้เองจนเกือบลืมสิ้นเมื่อเห็นอ๋องหนุ่มหน้าซีดกล่าวอะไรไม่ออกอีก ถางซือเซินผู้ใจกล้ากล่าวต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าฉายแววยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ “ผู้เป็นอ๋องกล่าวแล้วทองพันชั่งก็ซื้อมิได้ ข้าจะหาพระชายาให้ท่านเอง”เมื่อเห็นว่าตกเป็นรองสหาย แต่ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบ จะให้ยอมง่าย ๆ ก็คงไม่ได้การ ด้วยตำแหน่งพระชายาเอกไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาล้อเล่นได้ สตรีนางนั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่คู่ควร เขาต้องเห็นดีเห็นงามด้วยถึงจะถูก“ซือเซินอย่าเพิ่งได้ใจไป ข้าสัญญากับเจ้าเอาไว้ก็จริง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของข้าเชียวนะ มีเรื่องเจ้าควรรู้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านไม่เคยนึกแปลกใจเลยหรือ ข้ามีพระชายารองอยู่ถึงสามนางแต่ยังไม่มีทายาทเสี
กองทัพตระกูลเยี่ยนยาตรามาถึงเมืองหลวงแล้วฮ่องเต้ทรงมีราชโองการแต่งตั้งเยี่ยนหยางเจวี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่รักษานคร คุมกำลังพิทักษ์เมืองหลวงหนึ่งแสนนาย พร้อมเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นไคกั๋วกง[1]ตระกูลได้สืบทอดตำแหน่งสามชั่วคนโดยไม่ลดบรรดาศักดิ์ ได้รับปูนบำเหน็จเป็นเงินทอง แพรพรรณชั้นดี และจวนหลังใหม่ในเขตที่พำนักขุนนางส่วนเมืองชายแดนหานจี ฮ่องเต้มู่เหวินหลงได้ส่งแม่ทัพหนุ่มไฟแรงนามหนานกงอี้ไปประจำแทน ทำเอาบรรดาคุณหนูทั้งหลายร่ำไห้น้ำตานองด้วยความเสียดาย พวกนางคงไม่มีโอกาสได้พบกับบุรุษผู้หล่อเหลาอีกนานแต่ไม่ทันไรก็พากันแช่มชื่นดุจบุปผาต้องฝนกันอีกครา เมื่อสตรีทั้งหลายได้เห็นรองแม่ทัพผู้องอาจห้าวหาญอย่างเยี่ยนหยางจง แล้วไหนจะกุนซือผมสีเงินรูปงามนามเยี่ยนจิ้นหลิงซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอีกคนคุณชายตระกูลเยี่ยนทั้งสองบังคับอาชาให้เดินไปตามถนนศิลาที่ทอดยาว นำขบวนกองทัพอันเกรียงไกรมุ่งตรงไปยังวังหลวง บรรดาคุณหนูต่างจับจองห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมและหอสุราทั้งสองฟากฝั่งเพื่อชมขบวนทัพ เมื่อได้เห็นบุรุษทั้งสองก็พากันใจสั่นหวิว บ้างก็หน้าแดงเพราะขวยอาย แทบจะพากันสวดอ้อนวอนสิ่งศักด
ได้ยินเสียงพี่ชายเอ่ยทักจากด้านหลัง เยี่ยนเยว่ฉีจึงถอนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อออกจากขลุ่ยหยกอย่างแช่มช้า นางหันหลังกลับมามองพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้ารูปแตงปรากฏรอยยินดี นางช่างงดงามน่าทะนุถนอมยิ่ง“พี่รอง...” เยี่ยนเยว่ฉีกล่าวทักทาย“อีกเจ็ดวันพวกเราต้องเข้าวังไปงานเลี้ยงชมดอกเหมย” เยี่ยนจิ้นหลิงเดินเข้าไปในศาลา เขานั่งลงเคียงข้างน้องสาว “เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องแสดงความสามารถหน้าพระพักตร์ อย่าให้เสียชื่อท่านพ่อเป็นอันขาด”“พี่รองอย่าได้กังวล เยว่ฉีจะแสดงสุดความสามารถเจ้าค่ะ ไม่มีทางทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”“ฉีเอ๋อร์....ลำบากเจ้าแล้ว”“ลำบากอันใดแค่ไปงานเลี้ยง ไม่ได้ไปขึ้นเขียงสักหน่อย” ดรุณีน้อยคลี่ยิ้มหยอกล้อพี่ชายที่ทำท่าทางเคร่งครึม“น้องเล็กเจ้าฟังคำข้าให้ดี งานชมดอกเหมยครานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า เจ้าจะได้แต่งงานในไม่ช้า ตามชะตา ชื่อของเจ้าจะได้จารึกในแผนผังราชวงศ์ แต่พี่คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ไม่อาจแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ได้อีกแล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงตัดสินใจบอกนางให้รู้คำทำนาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากกล่าวถึง แต่ก็อดเป็นห่วงน้องสาวสุดที่รักไม่ได้ สู้ให้นาง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดถึงท่านเหลือเกิน” น้ำเสียงนั้นออดอ้อน นางค่อย ๆ เขยิบเข้ามาใกล้“ข้าก็คิดถึงเจ้า แล้วนี่เจ้าเล็ดลอดสายตาทหารยามมาได้อย่างไร”“เยว่ฉีคิดถึงท่านจริง ๆ นะเพคะ ถึงได้เสี่ยงอันตรายมาหาถึงที่นี่” นางยังเดินต่อไป พร้อมส่งเสียงออดอ้อนเขา ระยะห่างของทั้งสองจึงลดลงเรื่อย ๆ เหลือเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น“เจ้าช่างใจร้ายกับข้านัก รู้หรือไม่ข้าต้องทนอัดอั้นเพียงใด” เขาตัดพ้อเสียงค่อย“รู้สิเพคะ หม่อมฉันต้องขออภัยที่ทำให้ท่านอ๋องต้องอับอายพวกพระชายารอง” เยี่ยนเยว่ฉีกลั้วหัวเราะ“ข้าก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะอดทนมาได้ถึงวันนี้”“หากลำบากนัก ท่านอ๋องก็ร่วมหอกับพวกนางเสียสิ” เสียงหวานเจือแง่งอน“ไม่ ข้าไม่ต้องการพวกนาง เป็นเจ้าต่างหากที่ข้าพึงใจ” ท่านอ๋องหนุ่มตอบแบบไม่กลัวเสียศักดิ์ศรี ยามนี้เขาดึงหญิงสาวมาโอบกอดเอาไว้แน่น ราวกับเกรงว่านางอาจจะบินหนีไป “ข้าเอาแต่คิดถึงเจ้าจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว”“สตรีใดก็เหมือนกันนั่นแหละเพคะ ท่านอ๋องจะได้ไม่ต้องทรมาน” นางยังคงหัวเราะเบา ๆ ให้กับชายหนุ่มผู้โง่เขลา“ไม่! พวกนางไม่มีทางทดแทนเจ้าได้เลย ต่อให้ข้าพยายามทำอย่างไร ก็ไม่สามารถลืมเจ้าได้แม้สัก
“โทษตายละเว้น แต่โทษเป็นยังอยู่ จงไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าพระโพธิสัตว์สองชั่วยาม และหากข้าไม่ได้เรียกหา ก็ห้ามเข้ามาในเรือนหลัก”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เมตตา” พระชายารองฝาแฝดโขกศีรษะเป็นการใหญ่มู่เลี่ยงหรงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย แล้วส่งสัญญาณให้นางกำนัลพาพระชายารองของเขาออกไปได้“ซิ่นเฉิงถ่ายทอดคำสั่ง นับจากนี้ไปห้ามสตรีทุกคนเข้าห้องนอนข้า”“พ่ะย่ะค่ะ”“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้ ข้าจะนอนแล้ว”เมื่อองครักษ์หนุ่มเดินออกจากห้องไป มู่เลี่ยงหรงก็ทิ้งร่างลงบนฟูกหนาประหนึ่งคนไร้เรี่ยวแรง ขนาดมีสตรีในเรือนหลังไม่มากนักยังโกลาหลถึงเพียงนี้ แล้วผู้ที่มีสนมนับร้อยอย่างพระเชษฐาเล่า จะปวดเศียรเวียนเกล้าเท่าใดหนอหลังจากคิดวนเวียนได้สักครู่ อ๋องหนุ่มก็หลับได้ในที่สุดหลายวันต่อมามู่เลี่ยงหรงกวาดสายสายตาพิจารณาอาหารที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าตนเอง อ๋องหนุ่มคิ้วกระตุก ใบหน้าหล่อเหลาพลันถมึงทึง พยายามข่มกลั้นโทสะที่กำลังแล่นลามจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน เขาเงยหน้าขึ้นมองพระชายารองทั้งสามอย่างโกรธขึ้ง นึกไม่ถึงว่าพวกนางจะหาญกล้าเชิญเขามากินสิ่งเหล่านี้“พวกเจ้าทำบ้าอะไรกัน!” มู่เลี่ยงหรงตวาดลั่น จนสตรีทั้งสา
ห้องทั้งห้องเงียบเชียบ หลายราตรีมานี้เขาไม่ได้เรียกหาให้ผู้ใดให้มาอุ่นเตียง ไม่แม้แต่จะแวะเวียนไปหาพระชายารองทั้งสามมู่เลี่ยงหรงยอมรับว่าแรก ๆ ก็ไม่คุ้นชินที่ไร้คนปรนนิบัติ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่ต้องมีเหล่าอนุรายล้อมก็หลับสบาย“ลู่อิ่งซื่อทั้งสองขอเข้าเฝ้า พ่ะย่ะค่ะ” เสียงบ่าวหน้าห้องขานขออนุญาต มู่เลี่ยงหรงคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งว่าจะให้ลู่เหมยหลินกับลู่เหมยหลันเข้ามาดีหรือไม่ แต่ครั้นจะไล่กลับไปก็แลดูเป็นสามีที่ใจร้าย เขาไม่ได้แวะเวียนไปหาพวกนางมาหลายสิบวัน เป็นไปได้ว่าพระชายารองฝาแฝดคงจะกังวลใจ“ให้พวกนางเข้ามาได้”สตรีงดงามที่รูปโฉมเหมือนกันก็เยื้องกรายเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม ทั้งสองยอบกายคำนับอย่างแช่มช้อย“ได้ข่าวว่าท่านอ๋องทรงงานหนัก เราทั้งสองจึงต้มรังนกมาถวายเพคะ”มู่เลี่ยงหรงไม่ต้องการให้พวกนางไม่สบายใจจึงรับถ้วยกระเบื้องนั้นมาแล้วกินของที่พระชายารองทำมาให้จนหมดอย่างรวดเร็ว“อืม รสชาติดีมาก” “พวกหม่อมฉันนวดให้ดีหรือไม่เพคะ คืนนี้ท่านอ๋องจะได้นอนหลับสบาย”“ไม่ดีกว่า” ครั้นคิดถึงเรื่องเมื่อกลางวันที่ตนเองเกือบจะเพลี่ยงพล้ำเพราะเฉิงจื่อหรู ครานี้จึงรีบปฏิเสธ“ทำไมช่วงนี้ท่านอ๋อ
“เปิ่นหวางเข้าใจแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปที่เรือนของตนเองก่อน เปิ่นหวางยังไม่พร้อม” มู่เลี่ยงหรงดึงมือของนางออกจากกายของตนอย่างเสียมิได้เฉิงจื่อหรูเอียงศีรษะพร้อมจดจ้องท่านอ๋องเขม็ง ดวงตาดุจกวางน้อยสอดส่ายไปตามเรือนกายบุรุษ และบริเวณที่ตนลูบไล้เมื่อครู่ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใด ๆ บังเกิดอารามตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย“ไม่พร้อมหรือเพคะ”“อืม” มู่เลี่ยงหรงยืดกายขึ้นนั่งและคว้าฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ส่วนอีกมือหนึ่งก็หยิบพู่กันขึ้นมาขีดเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ “เปิ่นหวางจะทำงานต่อแล้ว เจ้ากลับออกไปเถิด”“เพคะ” สตรีในชุดสีม่วงหยิบถ้วยกระเบื้องที่ว่าเปล่าขึ้นมาในมือ จากนั้นจึงเยื้องกรายออกไปจากห้องหนังสือ นางยังคงหันกลับมามองฉินอ๋องอีกสองสามครั้งก่อนจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูในที่สุดเรือนเหมยฮวา จวนฉินอ๋องลู่เหมยหลันกับลู่เหมยหลิน พระชายารองฝาแฝดของฉินอ๋องกำลังเดินหมากอย่างสนุกสนาน ใบหน้างดงามของทั้งสองเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว ถ้าไม่ใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับย่อมไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ใด แต่หากอาศัยการสังเกตก็พอจะแยกแยะความแตกต่างของทั้งคู่ได้บ้าง เพราะลู่เหมยหลินคนน้องจะมีไฝเล็ก ๆ ตรงบริเวณใต
จวนฉินอ๋องบุปผานานาพันธุ์ต่างแย่งกันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งจวน บรรดาข้ารับใช้ นางกำนัลต่างทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม นำผ้าไหม ม่านมุ้ง และเครื่องเรือนมาตากแสงแดดเพื่อขับไล่ความอับชื้นมู่เลี่ยงหรงอยู่ในห้องหนังสือของเรือนหลัก ปรายสายตามองกองหนังสือราชกิจด้วยแววตาอันเฉยชา เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักกลับไม่มีแก่จิตแก่ใจจะสะสางงานของตนให้แล้วเสร็จแม้แต่น้อย ทั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานมาตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเฉิน จนบัดนี้ล่วงเข้ายามอู่ ก็ยังไม่ได้แตะต้องสิ่งที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ โดยปกติแล้วเขาเป็นผู้เอาการเอางาน เจ้าของตำแหน่งผู้แทนพระองค์ไม่เคยปล่อยให้เอกสารกองท่วมจนแทบจะไม่มีที่ว่างเช่นนี้มาก่อนเสียงเคาะนิ้วดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในหัวคิดคำนึงว่าหลังพิธีสะเดาะเคราะห์ของคู่หมั้นที่วัดสือคูล่วงเลยไปสิบเจ็ดราตรีแล้วแรกเริ่มเดิมทีมู่เลี่ยงหรงคิดว่าคงเป็นเรื่องยากเอาการที่จะรักษากายให้บริสุทธิ์เป็นแรมเดือน ด้วยรอบตัวมีสตรีมากมายรายล้อมนับสิบ ทั้งนางกำนัลที่ถวายตัว รวมไปถึงคนที่ส่งสัญญาณว่ายินดีจะอุ่นเตียงให้เขาเพิ่ม ไหนจะพระชายารองทั้งสามที่คอยเอาอกเอาใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกเ
“ถ้าผู้ทำพิธีแปดเปื้อน หรือเผยสายสนกลในคาถาที่กระหม่อมร่ายไว้จะเสื่อม และหากท่านอ๋องไม่สามารถรักษาข้อห้ามเหล่านี้ได้ ก็เท่ากับทุกอย่างในคืนนี้สูญเปล่า ต้องมาเริ่มทำพิธีกันใหม่ในปีหน้า”“เราเข้าใจแล้ว” มู่เลี่ยงหรงจำต้องรับคำและทำตามเยี่ยนจิ้นหลิง“เรื่องสุดท้าย ในวันรุ่งขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นการรักษากาย ท่านอ๋องต้องเปิดถุงเครื่องรางนั่นออก แล้วทำตามคำสั่งในกระดาษให้เสร็จสิ้น เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็สมบูรณ์”“เราจะทำตามที่เจ้าบอกทุกอย่าง หวังว่าจบเรื่องนี้แล้วจวนฉินอ๋องคงได้รับข่าวดี”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ จิ้นหลิงรับรอง”“อืม ความจริงเจ้าก็ไม่ใช่คนเลวอะไรนี่” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยอย่างเสียมิได้“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” เยี่ยนจิ้นหลิงยิ้มจนตาหยี“เอาเถิด เปิ่นหวางขอไปดูคู่หมั้นได้หรือไม่ เมื่อครู่เราหนาวจนแทบขาดใจ นางเป็นเพียงสตรีจะต้านทานไหวหรือ”“เชื่อกระหม่อมเถิด นางสบายดี”“ถ้าเราไม่เห็นกับตาย่อมไม่มีวันวางใจได้”เมื่อเห็นว่าฉินอ๋องเป็นห่วงน้องสาวของตนเองจริง ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจึงเปล่งเสียงเรียกนาง “น้องเล็กแต่งกายเสร็จหรือยัง ท่านอ๋องทรงเป็นห่วงเจ้า ออกมาให้เขาพบตัวเสียหน่อย”เยี่ยนเยว่ฉีเยื้องกรายออก
“เฮ้อ ท่านอ๋องต้องให้กระหม่อมพูดสินะ” เยี่ยนจิ้นหลิงถอนหายใจ “ไล่องครักษ์จอมลามกกับองครักษ์เงาอีกสิบกว่าคนนั้นออกไปด้วย กระหม่อมไม่หาญกล้าสังหารฉินอ๋องที่นี่หรอก”“หึ! พวกเขาแค่ทำหน้าที่ หากเจ้าไม่ได้มีแผนร้ายก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอันใด” อย่างไรมู่เลี่ยงหรงก็ไม่อาจวางใจบุรุษรูปงาม ทว่านัยน์ตาเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมายผู้นี้ได้ลง“ถ้ากระหม่อมเป็นท่านอ๋องละก็ จะไม่มีทางให้ผู้ชายพวกนั้นอยู่ในนี้”“เรื่องมากจริง ก็แค่ทำพิธีบวงสรวงธรรมดาเท่านั้นเองนี่” มู่เลี่ยงหรงไม่ยอมลงให้เยี่ยนจิ้นหลิงง่าย ๆ จะไม่ให้เขาระมัดระวังเจ้าคนโรคจิตนี้ได้อย่างไร อีกฝ่ายอาจจะหาทางกลั่นแกล้งอะไรอีกก็เป็นได้เยี่ยนจิ้นหลิงเคลื่อนกายอย่างว่องไว ไม่นานก็ไปหยุดยืนด้านหน้าของฉินอ๋องผู้ดื้อดึง จากนั้นก็เอ่ยวาจาให้ได้ยินกันเพียงสองคน“หากท่านอ๋องต้องการให้คนเหล่านั้นมองเยว่ฉีเปลือยกาย จิ้นหลิงก็จนใจแล้ว”“อะไรนะ ไม่มีทางเสียหรอก”“เช่นนั้นก็ได้โปรดไล่พวกเขาออกไปให้ไกล วันนี้เป็นวันสำคัญ พระจันทร์จะขึ้นกลางถ้ำศักดิ์สิทธิ์พอดิบพอดี หากพ้นราตรีนี้แล้ว เกรงว่าท่านอ๋องคงต้องรอให้กระหม่อมทำพิธีในปีหน้า ซ้ำยังไม่รู้ว่าเสร็จแล้วจะมี
“เสี่ยวเยว่...เสี่ยวเยว่ของข้า” เขาพึมพำแผ่วเบาก่อนจะจุมพิตนางอย่างลึกซึ้ง ลิ้นอุ่นโลมลิ้มชิมริมฝีปากนุ่มไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะค่อย ๆ แทรกลึกเพื่อชิมรสนหวานเมื่อนางเผยอตอบรับอย่างเต็มใจเยี่ยนเยว่ฉีครางเบา ๆ ในลำคอ ถึงจะถูกเขาพร่ำสอนมาแล้วหลายครั้งก็ตามที แต่ลิ้นเรียวเล็กยังคงสั่นระริก นางพยายามสนองตอบลิ้นที่รุกเร้าเข้ามาอย่างเงอะงะ แขนเรียวงามค่อย ๆ เลื่อนขึ้นโอบลำคออีกฝ่าย ปลายนิ้วสอดแทรกลูบไล้ไรผมของชายหนุ่มอย่างลืมตัว ยิ่งกระตุ้นให้เขารุ่มร้อนมากกว่าเดิม มู่เลี่ยงหรงโหมจูบดูดดื่มหนักกว่าเก่า จังหวะเกี่ยวกระหวัดเร่งเร้ารุนแรงราวพายุโหมกระหน่ำ ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง เอวเล็กและสะโพกอันกลมกลึง เขาอยากจะกระชากอาภรณ์ที่ปิดกั้นสัมผัสเหล่านี้ให้หลุดออกไปให้หมดก่อนสติสัมปชัญญะที่มีจะขาดผึง บุรุษผู้ร้อนแรงพลันผละริมฝีปากออกอย่างเสียมิได้ ทั้งสองสบตาของกันและกัน ลมหายใจของแต่ละฝ่ายหอบกระชั้นราดรดกันไปมา ต่างคนต่างรู้สึกว่ายังไม่พอ แต่ก็ไม่อาจกระทำตามใจไปมากกว่านี้มู่เลี่ยงหรงคลายอ้อมกอดที่รัดแน่นอย่างไม่เต็มใจนัก เยี่ยนเยว่ฉียังคงอ่อนระทวยจากรสจูบเมื่อครู่ นางจึงพิงซบอกบุรุษไม่ไปไหน นั
มู่เลี่ยงหรงเดินนำนางไปยังท่าน้ำที่มีเรือลำเล็กเทียบอยู่ ซิ่นเฉิงรีบไปจัดการคลายเชือก แล้วประคองเรือไว้ไม่ให้โคลงเคลงยามนายทั้งสองก้าวลงไปครั้นเห็นองครักษ์หนุ่มตั้งท่าจะลงมาด้วย ท่านอ๋องหนุ่มก็ร้องห้ามเสียก่อน แน่นอนว่าเยี่ยนเยว่ฉีจำต้องให้ซูจิ้งรอนางอยู่ที่นี่ตามคำสั่งของเขาด้วย บุรุษชุดเทาจึงรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลสาวใช้ตัวน้อยของนางให้ดีลำเรือไม่ได้เล็กมากนักจึงนั่งได้สบาย บุตรสาวแม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ฉินอ๋องทำให้นางแปลกใจอีกแล้ว เพราะเขาพายเรือเก่งมาก ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษผู้ที่มีแต่คนปรนนิบัติจะสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตนเองอย่างไม่ขัดเขินด้วยฝีพายแคล่วคล่อง ในที่สุดทั้งสองก็ลอยออกมายังกลางทะเลสาบ เยี่ยนเยว่ฉีมองกลับไปจึงพบว่าออกมาไกลมากจนไม่อาจมองเหตุการณ์บนฝั่งได้ถนัด“เสี่ยวเยว่ เจ้ามัวแต่มองหาสิ่งใดอยู่ มิใช่ว่าอยากจะออกมาเก็บดอกบัวที่งามที่สุดหรือ”“พวกเราออกมาไกลมากทีเดียว หากเกิดเหตุอันใดขึ้น เกรงว่าองครักษ์จะมาช่วยเหลือไม่ทัน” แม้บิดาจะสอนนางว่ายน้ำ แต่ก็แค่พอเอาตัวรอดได้เท่านั้น ตรงนี้ค่อยข้างอยู่ไกลฝั่ง หญิงสาวย่อมหวาดหวั่นในใจ“อย่าได้กังวล ข้าว่