เมื่อย้อนนึกถึงวันวานในวัยเยาว์ของตนเองกับผู้ที่เป็นอัครเสนาบดี ก็เริ่มจำได้ว่าพวกเขาเคยพูดเรื่องรับภรรยาในอนาคต ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กจึงรับปากด้วยความยินดี ซ้ำยังให้คำมั่นว่าจะไม่มีทางปฏิเสธหญิงสาวที่สหายเลือกให้อย่างแน่นอน
“น่าตายนัก!” มู่เลี่ยงหรงสบถลอดไรฟัน กำหมัดแน่น หลับตาลงลอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของสหายอย่างเจ็บแค้น เขารู้ดีว่าตกหลุมพรางเสียแล้ว และหลุมนี้ตนดันเป็นคนขุดเอาไว้เองจนเกือบลืมสิ้น
เมื่อเห็นอ๋องหนุ่มหน้าซีดกล่าวอะไรไม่ออกอีก ถางซือเซินผู้ใจกล้ากล่าวต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าฉายแววยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ “ผู้เป็นอ๋องกล่าวแล้วทองพันชั่งก็ซื้อมิได้ ข้าจะหาพระชายาให้ท่านเอง”
เมื่อเห็นว่าตกเป็นรองสหาย แต่ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบ จะให้ยอมง่าย ๆ ก็คงไม่ได้การ ด้วยตำแหน่งพระชายาเอกไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาล้อเล่นได้ สตรีนางนั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่คู่ควร เขาต้องเห็นดีเห็นงามด้วยถึงจะถูก
“ซือเซินอย่าเพิ่งได้ใจไป ข้าสัญญากับเจ้าเอาไว้ก็จริง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของข้าเชียวนะ มีเรื่องเจ้าควรรู้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านไม่เคยนึกแปลกใจเลยหรือ ข้ามีพระชายารองอยู่ถึงสามนางแต่ยังไม่มีทายาทเสียที”
“...” ถางซือเซินไม่กล้าตอบ หากพูดว่ามู่เลี่ยงหรงไร้น้ำยา เขาจะต้องถูกกระบี่เสียบเข้าหัวใจเป็นแน่แท้
“ข้าตั้งใจจะมีทายาทกับหวางเฟยเท่านั้น” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยเสียงเข้ม พลางลูบไล้ตราหยกสลักลายพยัคฆ์สีขาวอันล้ำค่าควรเมือง “ข้าต้องรู้ก่อนว่านางเป็นใครกันแน่ หากสตรีผู้นี้ไม่คู่ควร ข้าย่อมปฏิเสธคนที่เจ้าเลือกได้ แต่ไม่ใช่จะไม่รักษาคำพูด หากครานี้ไม่ผ่านเจ้าก็ไปคัดเลือกมาใหม่ เช่นนี้จึงจะยุติธรรมกับเราทั้งสองฝ่าย อัครเสนาบดีคงเห็นด้วยกับที่ข้าเสนอกระมัง”
ถางซือเซินหลุบสายตาลง รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย มู่เลี่ยงหรงไม่ใช่หมูให้เขากลืนง่าย ๆ แต่บุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่เป็นสตรีในแบบที่ท่านอ๋องชอบอย่างแน่นอน
‘ลองเสี่ยงดูก่อนก็แล้วกัน หากยังไม่สำเร็จค่อยไปวางแผนใหม่อีกครั้งกับคนผู้นั้น’
“นามของนางคือเยี่ยนเยว่ฉี บุตรีท่านแม่ทัพใหญ่รักษานครคนใหม่ มีเสียงเล่าลือกล่าวขานว่านางงดงามราวเทพธิดา กิริยามารยาทหรือก็ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี”
“แค่บุตรสาวขุนนาง ไฉนเจ้าไม่หาท่านหญิงให้ข้าเล่า” มู่เลี่ยงหรงหรี่ตา ดวงตาเหยี่ยวจดจ้องใบหน้าสหายประหนึ่งต้องการจับผิด เห็นทีเรื่องนี้ต้องมีสายสนกลใน
‘ซือเซินเอ๋ย ข้าก็รู้ใจเจ้าเช่นกัน’
“หากท่านอ๋องอยากสมรสกับท่านหญิง ซือเซินก็เห็นมีเหมาะสมอยู่ผู้หนึ่ง” อัครเสนาบดียิ้มเย็นแล้วเอ่ยชื่อสตรีผู้นั้นอย่างกล้าหาญ “ท่าน-หญิง-กุ้ย-อิน”
“ซือเซิน! บ่อลับที่ท้ายจวนของข้ายังสามารถใส่บัณฑิตไม่กลัวตายลงไปได้อีกหลายคน” มู่เลี่ยงหรงคิ้วกระตุก นี่สหายล้อเขาเล่นใช่หรือไม่ ใครจะอยากแต่งงานกับผู้หญิงแบบนั้น เขายอมยกเฉิงจื่อหรูพระชายารองคนโปรดขึ้นเป็นหวางเฟยยังดีเสียกว่า
“ท่านอ๋อง ซือเซินขอกล่าวอะไรสักหน่อย”
“อืม...ว่ามา แต่คิดให้ดีก่อนพูดนะ ข้าเองก็ยังไม่อยากหาผู้อื่นมาเดินหมากเป็นเพื่อนแทนเจ้า” ฉินอ๋องทำเป็นพูดข่มขวัญ แต่แท้จริงกลับแอบหัวเราะอยู่ในใจ
“ท่านอ๋องชอบท่านหญิงคนใดเป็นพิเศษกัน ให้ไล่ชื่อไปทุกตระกูลท่านก็ปฏิเสธอยู่ดี หรือจะค้านสิ่งที่ซือเซินพูด” อัครเสนาบดียังคงไม่ยอมแพ้ มู่เลี่ยงหรงเรื่องมากขนาดไหนทำไมเขาจะไม่รู้
“ก็จริง แต่สตรีที่เติบโตในเมืองชายแดนจะมีอะไรให้ข้าตื่นเต้นกัน คนลือว่างดงามแล้วอย่างไร นางอาจจะดูหน้าตาดีสำหรับชาวชนบทเท่านั้นก็ได้”
“ซือเซินหวังว่าท่านอ๋องจะนำเรื่องนี้ไปไตร่ตรอง หากท่านไม่พึงใจก็ไม่มีอะไรเสียหาย กระหม่อมจะไปคัดสรรสาวงามมาให้ใหม่” อัครเสนาบดีกล่าวเสียงเรียบ “แต่ถ้าหากท่านอ๋องต้องตาต้องใจนางแล้วล่ะก็ จงไปขอพระราชทานสมรสด้วยตนเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หือ…ดูเหมือนเจ้าจะไม่พอใจ” มู่เลี่ยงหรงจ้องหน้าสหาย ดูเหมือนว่าอัครเสนาบดีจะถอดใจไม่อยากตื๊อเขาอีกแล้ว
‘ไม่สนุกเลยซือเซิน วันนี้ทำไมเจ้าไม่เถียงข้าให้มาก ๆ หน่อยเล่า’
“มิได้” ถางซือเซินพูดเสียงเบา แล้วก้มลงมองกระดานหมากตรงหน้าอีกคราหนึ่ง
“ก็ได้...ก็ได้ ข้าจะไตร่ตรองเรื่องนี้ อย่างน้อยจะหาทางไปพบหน้านางก่อนเวลาสักหน่อย หากบุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่งดงามต้องตาต้องใจ ข้าจะแต่งนางเป็นหวางเฟย เท่านี้เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง”
“ขอบพระทัย...” ถางซือเซินรับคำเสียงเฉื่อย
“เจ้าเป็นบุรุษไฉนทำนิสัยสตรีใส่ข้าเล่า” มู่เลี่ยงหรงเห็นถางซือเซินทำท่าเหมือนแง่งอน จึงอดคิดถึงถางซือเซียนมิได้ สองพี่น้องชอบทำหน้าแบบนี้เวลาไม่ได้ดั่งใจ
ถางซือเซินไม่พูดไม่จาอะไรอีกทั้งสิ้น บัณฑิตหนุ่มแห่งราชสำนักเพียงขยับนิ้ววางตัวหมากลงบนกระดานที่ตนบอกว่ายอมแพ้ไปแล้วหนึ่งตัว จากนั้นคนเหลี่ยมจัดจึงส่งยิ้มให้ผู้เป็นอ๋อง พร้อมกล่าวสั้น ๆ
“รุกฆาต”
“เจ้ามันช่าง…น่าตายนัก!”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้าของอัครเสนาบดีในที่สุด
การเดินหมากจบลงเพียงเท่านี้ แต่มู่เลี่ยงหรงยังคงติดใจอยู่ หากไม่มีสายสนกลในสหายคงไม่ออกปากเป็นแน่ พระเชษฐาคงมีแผนการแต่ไม่อยากบอกกับเขาโดยตรง
‘หวังว่าจะไม่ใช่แผนชายงาม หรือข้าต้องแต่งงานการเมืองอีกแล้ว’
มู่เลี่ยงหรงเหมือนพอจะรู้ชะตากรรม แต่หากเขาไม่เอ่ยปาก ฮ่องเต้ก็มิอาจพระราชทานสมรสได้ ด้วยเหตุนี้กระมังพระเชษฐาจึงส่งถางซือเซินมาจัดการเรื่องนี้
มู่เลี่ยงหรงนั่งไตร่ตรอง พลางเคาะนิ้วเรียวบนตั่งเป็นจังหวะ
‘ข้าจะเล่นด้วยก็แล้วกัน ท่าทางตระกูลเยี่ยนคงมีอะไรน่าสนอกสนใจกว่าที่เขาคิด เป็นเขยท่านแม่ทัพใหญ่รักษานครอีกสักตำแหน่งคงไม่เป็นไร แต่จะให้ข้าอ้อนวอนขอพระราชทานสมรสง่าย ๆ ก็ไม่สนุกน่ะสิ’
ถางซือเซินมองกิริยานี้ก็ลอบยิ้มในใจ แต่กลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ท่านอ๋องกำลังวางแผนเรื่องตระกูลเยี่ยนแล้วเป็นแน่ ชายผู้นี้หากบังคับโดยตรงย่อมไม่มีทางยินดี เช่นนี้มีแต่ต้องใช้เล่ห์กล ซึ่งเรื่องนี้ได้เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว จะเหลือแค่เพียงผู้สูงศักดิ์จะพร้อมใจกระโดดลงหลุมพรางที่เขาเพียรขุดเอาไว้เท่านั้น
ต่างคนก็ต่างคิดแผนอยู่ในใจ จนตะวันใกล้จะลับฟ้า อัครเสนาบดีจึงกล่าวลาแล้วรีบออกจากจวนฉินอ๋องทันที
ส่วนฮองเฮานั่งจิบชาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งที่ในใจลอบตำหนิแม่สามีที่พูดจาเอาแต่ใจ โดยไม่สนพระทัยสักนิดว่าเรื่องนี้ควรพูดออกมาตอนนี้หรือไม่ หากมู่เลี่ยงหรงต้องการจะให้จ้าวกุ้ยอินมาเป็นเป็นหวางเฟยแล้วละก็ คงไม่รอให้ไทเฮาเสนอมู่เลี่ยงหรงหยุดรอชายาที่หน้าตำหนัก ความจริงตนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนางไว้ที่ตรงนั้น แต่ด้วยกำลังบังเกิดโทสะจึงต้องรีบจากมาก่อนเรื่องราวจะแย่ลง เพียงไม่นานนักเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินออกมาจากประตูตำหนัก หญิงสาวมองผู้เป็นสามีอย่างเข้าอกเข้าใจ“ท่านอ๋องเรากลับกันเถิด”“อ้ายเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า”“วางใจเถิด หวางเฟยของท่านเป็นคนที่มีเหตุผล” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหยอกเย้าหวังให้เขาสบายใจ“ข้าไม่มีทางรับใครเข้าจวนอีก” เขารีบอธิบาย เพราะกลัวว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะเข้าใจผิด“ดูพูดเข้า หากเป็นพระราชโองการ หรือพระเสาวนีย์อย่างไรท่านก็ขัดมิได้อยู่”“เสด็จพี่มีรับสั่งจะไม่บังคับข้าอีก”“แต่ไทเฮาไม่ได้ทรงรับปากท่านอ๋องนี่”“เป็นดั่งเจ้าว่า แต่ถ้าเสด็จแม่ยังคงดื้อดึง เรื่องนี้คนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน”“หากนางได้แต่งกับท่านสมใจ จะมีแต่ความ
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงจุดจอดรถม้าของวังหลวงซิ่นเฉิงขานเรียกผู้เป็นนาย ส่วนซูจิ้งก็จัดการวางขั้นบันไดข้างรถม้า ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จากันแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งที่ต้องเดินเคียงกันไปตลอดทางเป็นองครักษ์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว คิดว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยกับซูจิ้งให้รู้เรื่องรู้ราว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่จวนเดียวกัน หากนางเป็นอนุบ่าวของเยี่ยนจิ้นหลิงจริง เหตุใดจึงตามหวางเฟยมาเล่า เขาจะต้องถามความให้กระจ่าง หากแม้ไม่มีวาสนาต่อกันก็ยินดีจะล่าถอย ไม่ใช่เดาสุ่มเอาเองเช่นนี้ เมื่อตกลงใจได้เขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน‘คืนนี้ล่ะ ซาลาเปาน้อย ข้าจะต้องรู้ความจริงให้จงได้’มู่เลี่ยงหรงต้องพาเยี่ยนเยว่ฉีไปถวายพระพรไทเฮา หนทางจากจุดจอดรถม้าไม่ใกล้เลย ซ้ำไทเฮายังเลือกเวลาให้ทั้งสองมาเข้าเฝ้ายามตะวันตรงศีรษะ ที่น่าแปลกคือไม่มีเกี้ยวสำหรับสตรีมารับ กว่าจะถึงตำหนักของพระนาง ฉินอ๋องกับหวางเฟยต้องเดินเท้าเป็นเวลาราวหนึ่งก้านธูปเมื่อทั้งสองถึงที่หมายก็เห็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ครั้นนางเห็นมู่เลี่ยงหรงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที จากนั้นจึงเดินนำบุคคลทั้งคู่เข้าส
พ่อบ้านใหญ่รับคำแล้วจัดการสั่งงานลูกน้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่วงท่าและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลัง เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นก็นึกชื่นชม มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงวางใจคนหนุ่มผู้นี้ให้รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ดูท่าทางนางคงไม่ต้องเหนื่อยยากอย่างที่คิดมู่เลี่ยงหรงให้พ่อบ้านใหญ่กับมามาทั้งสี่ถอยออกไปได้ ก่อนถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป“พวกเจ้าเข้ามาคารวะน้ำชาหวางเฟยเถิด”พอสิ้นเสียงคำสั่ง สตรีโฉมงามสามนางก็เดินนำหน้าหญิงสาวอีกสิบกว่าคนเข้ามาภายในห้องโถง เยี่ยนเยว่ฉีมองไปยังพระชายารองทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสงบที่สุด ถึงแม้จะรู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้างกับจำนวนสตรีที่ถวายตัวให้มู่เลี่ยงหรงแต่มิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ‘บัดซบ! เยอะขนาดนี้เชียว’เยี่ยนเยว่ฉีตั้งใจเอาไว้ว่าหากพวกนางไม่ได้แสดงตัวเป็นปรปักษ์ ตนเองก็จะไม่กระทำการรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นมู่เลี่ยงหรงแนะนำชายารองทั้งสามด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการกังวลหรือตกประหม่าให้เห็น แต่ภายในใจกลับก็รู้สึกหนักอึ้งเพราะเกรงว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะยังรับเรื่องฮูหยินอีกสิบเอ็ดคนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยิ้มละไม ไม่มีอาการกระอั
“อ้ายเฟย สี่คนนี้คือนางกำนัลที่ข้าคัดสรรมาให้ ข้ารับรองว่าพวกนางทำงานดีและมีความรอบรู้ หากเจ้าต้องการทราบเรื่องใดในจวน พวกนางสามารถแนะนำจัดหาให้เจ้าได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชิงหรู นางดูแลห้องข้างของข้ามาหลายปี”เยี่ยนเยว่ฉีหรี่นัยน์ตามองชิงหรูอย่างเสียมิได้ พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือนางกำนัลที่เตรียมน้ำอุ่นมาให้เมื่อคืน นางหน้าตาสะสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำดูยั่วยวน ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่ง รูปร่างงามระหงสมส่วน มีเสน่ห์ดึงดูดใจบุรุษมากทีเดียวมู่เลี่ยงหรงที่ลอบสังเกตอยู่พบว่าเยี่ยนเยว่ฉีกำลังกินน้ำส้มอยู่ เขากลั้วหัวเราะเบา ๆ จนนางต้องหันมาค้อนผู้เป็นสามีทีหนึ่ง“ชิงหรูไม่ได้ถวายตัวให้ข้า”“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดท่านเสียหน่อย” หวางเฟยบ่นพึมพำเมื่อถูกจับได้“ก็ข้าอยากบอกเจ้านี่” ฉินอ๋องไม่ต้องการทำให้พระชายาคนงามต้องรู้สึกเสียหน้าจึงพูดแก้เก้อให้เสร็จสรรพ“เยว่ฉีทราบแล้ว” นางพอใจที่ท่านอ๋องไว้หน้าตนมู่เลี่ยงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของหวางเฟย เหล่านางกำนัลรีบทำตามประสงค์ของเจ้านาย เยี่ยนเยว่ฉียอมรับว่าผู้ที่มู่เลี่ยงหรงคัดสรรค์มาให้นางนั้นทำ
อ๋องหนุ่มฝืนลุกจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าชุดคลุมเอามาใส่อย่างลวก ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทของนางให้มาช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายของสตรี เยี่ยนเยว่ฉีมองตามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนไปซูจิ้งเข้ามาภายในห้องหอ นางยอบกายคำนับฉินอ๋องที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้ยาวริมหน้าต่างที่ห้องชั้นนอก เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่โบกมือเป็นสัญญาณให้นางเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีในห้องนอนซูจิ้งเดินผ่านกองชุดวิวาห์ที่ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ หรือว่าฉินอ๋องทำรุนแรงกับนายหญิงของตน‘แย่แล้วคุณหนูของข้า’ สตรีร่างเล็กแทบจะวิ่งเข้าไปที่หน้าเตียง ภาพที่เห็นคือเยี่ยนเยว่ฉีนั่งเอาผ้าห่มปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ มีคราบน้ำตาอาบบนแก้ม แต่ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียใจแม้แต่น้อย“คุณหนู ไม่ใช่สิ หวางเฟยเป็นอันใดไปเพคะ”“เรื่องสุดวิสัยของสตรี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยเสียงเย็นคำตอบของเยี่ยนเยว่ฉีทำให้ซูจิ้งโล่งอก มิน่าเล่าฉินอ๋องถึงได้ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้น มีเนื้ออยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน“เช่นนั้นลงมาจากเตียงก่อนเพคะ ซูจิ้งจะได้ปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”“อืม”
แม้แทบจะไม่เหลืออาภรณ์ติดกาย ทว่าเยี่ยนเยว่ฉีกลับร้อนรุ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นเพลิงในกาย เพื่อให้เขากับนางแนบสนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงจึงขยับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาตน และด้วยการบังคับขยับนี้เยี่ยนเยว่ฉีจึงต้องตวัดขาเรียวยาวโอบรอบสะโพกสอบของเขาเอาไว้ แล้วคล้องแขนกับลำคอเพื่อเป็นหลักยึด ฝ่ามือร้อนของบุรุษลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน เมื่อพบกับปมเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ก็กระตุกออกอย่างเบามือ อุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดจนสิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของเทพธิดาแสนสวยในอ้อมกอดแสงจากเทียนมงคลคู่สีแดงวูบไหว อาบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ยิ่งทำให้เยี่ยนเยว่ฉีงดงามราวรูปสลักอันไร้รอยตำหนิ ช่างสูงค่าคู่ควรให้ทะนุถนอม‘วิเศษยิ่งนัก ยอดรักของข้า’ดวงตาลากไล้สำรวจเทพธิดาในอ้อมกอด ยิ่งมองยิ่งพบว่าเรือนกายของนางช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลทุกสัดส่วน ร่างระหงยั่วยวนน่าสัมผัสไปทุกตารางนิ้ว ไม่ว่ามือจะลูบไล้ไปตรงที่ใด ผิวกายขาวผ่องดุจแสงจันทร์กระจ่างก็เรียบลื่นนุ่มละมุนมือ มู่เลี่ยงหรงแทบลืมหายใจเมื่อแลเห็นปทุมถันอวบอิ่มเต็มตา ยอดสีหวานชูชันท้าทายให้ครอบครองยิ่งนัก ชายห