เมืองหลวงแคว้นหานทั้งเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่ง ทั้งอาคารบ้านเรือนหรือก็ใหญ่โตสวยงาม มีถนนศิลาดำทอดยาวทำให้การเดินทางในเมืองเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมืองหลวงจึงแบ่งออกเป็นหลายเขต ทั้งเขตการค้า เขตรื่นเริง เขตที่อยู่อาศัยของขุนนาง เขตพำนักของเหล่าราชนิกุล และสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นวังหลวงอันใหญ่โตแห่งแคว้น
ไม่ว่าจะมองไปที่ใด ก็เจอแต่ผู้คนแต่งกายด้วยอาภรณ์อันงดงาม นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นคนจากแคว้นอื่น ๆ ที่เข้ามาลงทุนทำการค้า หรือท่องเที่ยวเยี่ยมชมเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่างดงามกว่าแคว้นใดในดินแดนใกล้เคียง
ที่นี่เป็นแหล่งรวมสิ่งต่าง ๆ ทั้งในและนอกแคว้น ทำให้บรรยากาศการซื้อขายสินค้าเป็นไปอย่างคึกคัก หากต้องการสิ่งใดเพียงไปหายังย่านการค้าก็จะเจออย่างแน่นอน ทั้งแพรพรรณ ขนสัตว์ เครื่องประดับ รวมไปถึงสมุนไพร ไม่เว้นแม้แต่สัตว์หายากจากต่างแคว้น แต่ถ้าต้องการสั่งทำเครื่องประดับก็เพียงแวะไปยังร้านค้าเก่าแก่ของช่างฝีมือแห่งเมืองหลวง
เนื่องจากอยู่ภายใต้เงาขององค์ฮ่องเต้ทำให้บรรยากาศสุขสงบไร้เรื่องร้ายรบกวน หรือหากจะเกิดเรื่องก็มิพ้นสายตาของมือปราบแห่งเมืองหลวงไปได้
เขตที่อยู่อาศัยของราชนิกุล
ในบรรดาที่พำนักของราชนิกุล จวนฉินอ๋อง มู่เลี่ยงหรง ผู้เป็นพระอนุชาร่วมสายพระโลหิตของฮ่องเต้ มู่เหวินหลง กินอาณาเขตกว้างขวางที่สุด
งานประดับตกแต่งและวัสดุในการสร้างล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิงโตหินคู่ที่นั่งพิทักษ์ประตูบานใหญ่เคียงข้างองครักษ์หลวงในชุดเกราะน่าเกรงขาม เบื้องหลังบานประตูไม้มะเกลื่อสีดำขลับขนาดใหญ่เป็นทางเดินศิลาทอดยาวถึงประตูโค้งใต้มุขหน้าจวน สองข้างทางขนาบไปด้วยต้นสนขนาดใหญ่ให้บรรยากาศเคร่งครึม ทำให้เหล่าผู้มาเยือนรู้สึกถึงความสูงส่งของผู้เป็นเจ้าของจวน
ภายในห้องโถงต้อนรับโอ่อ่างดงาม เครื่องประดับตกแต่งและภาพวาดประดับผนังล้วนเป็นสมบัติโบราณมีค่าควรเมือง ที่นั่งประธานตรงกลางโถงทำจากไม้สักฉลุลายพยัคฆ์จากช่างฝีมือของวังหลวง เพิ่มความนุ่มสบายด้วยเบาะผ้าแพรหรูหราสำหรับหน้าร้อน และปูด้วยขนจิ้งจอกเงินสำหรับฤดูหนาว บรรยากาศโดยรอบเคลือบแผงกลิ่นอายอันสูงศักดิ์ของราชนิกุลทุกกระเบียด
ส่วนของเรือนพำนักประกอบด้วยเรือนหลัก เรือนเล็ก และเรือนสำหรับต้อนรับแขกรวมทั้งสิ้นสิบสองหมู่ ระหว่างทางเดินเชื่อมไปยังเรือนต่าง ๆ จะมีสวนไม้ดอกไม้ประดับเจริญตาอย่างยิ่ง นอกจากนี้ภายในจวนยังมีสระบัว สวนหิน รวมไปถึงหุบเขาจำลองขนาดใหญ่อีกด้วย
บัดนี้หิมะละลายสิ้น แม้ยังมีลมหนาวพัดผ่าน แต่ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่นก็ช่วยให้อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การพักผ่อน
ภายในศาลาริมสระบัวขนาดใหญ่ปรากฏเงาร่างของสองบุรุษ หนึ่งคือถางซือเซิน อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย สหายของผู้เป็นเจ้าของจวนหลังงามนี้ เขามีใบหน้าคมคาย ปากบางคล้ายอมยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาลุ่มลึก สวมอาภรณ์สีฟ้าจากผ้าเนื้อดี เปล่งรัศมีของผู้มีภูมิอย่างเต็มเปี่ยม อีกหนึ่งคือฉินอ๋อง มู่เลี่ยงหรง ผมสีดำขลับราวปีกกาถูกครอบเก็บใต้กวานทองซึ่งเป็นเครื่องแสดงฐานะ บุรุษในอาภรณ์สีฟ้าแผ่รัศมีสูงศักดิ์ตามแบบฉบับราชนิกุลอันดับหนึ่ง
“เจ้าคิดนานไปแล้วซือเซิน” มู่เลี่ยงหรงเปล่งวาจาเร่งรัดบุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกระดานหมาก มุมปากระตุกเป็นรอยยิ้มคล้ายเย้ยหยัน นัยน์ตาดุจเหยี่ยวฉายแววเย็นชาเหมือนยามปกติ
“ซือเซินแพ้แล้ว” อัครเสนาบดีกล่าวเสียงขรึม ทว่าหาได้มีแววใส่ใจกับความพ่ายแพ้อยู่ในน้ำเสียงสักนิด
“ผิดแล้ว...หมากของเจ้ามิได้เลว แต่วันนี้สหายของข้าไม่มีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า มีเรื่องใดทำให้กังวลใจอย่างนั้นหรือ” มู่เลี่ยงหรงถามพลางละสายตาขึ้นจากกระดานหมาก
ผู้สูงศักดิ์ผินมองนางกำนัลที่ยืนรอรับใช้ เพียงเท่านั้นนางพลันกระวีกระวาดรินชาชั้นดีลงจอกแล้วยื่นให้ผู้เป็นนายอย่างรู้งาน
จมูกโด่งสูดดมไอร้อนแฝงกลิ่นหอมล้ำเลิศก่อนจรดริมฝีปากหยักได้รูปจิบชาเบา ๆ ครั้นเห็นสหายยังคงนิ่งเฉยจึงเอ่ยถามอีกคราหนึ่ง
“ซือเซิน เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”
“งานเลี้ยงชมดอกเหมยปีนี้ ฝ่าบาทอยากให้ท่านอ๋องไปด้วย”
“แค่ชมดอกไม้ หากข้าไม่ไป งานก็คงยังจัดได้อยู่กระมัง อีกอย่าง พระเชษฐาทรงรับปากแล้วว่าจะไม่พระราชทานสาวงามคนไหนให้อีกหากข้ามิได้ร้องขอ” มู่เลี่ยงหรงขมวดคิ้วเมื่อคิดถึงงานชมดอกเหมยปีก่อน เขาจำต้องแต่งกับบุตรีฝาแฝดของเจ้ากรมอาญามาเป็นชายารองของตน ก่อนหน้านั้นก็ได้ชายารองคนแรกเป็นบุตรสาวเสนาบดีกรมพระคลัง
หลังจากได้ชายารองอย่างไม่เต็มใจสองปีติดต่อกัน มู่เลี่ยงหรง แทบไม่ร่วมงานประเภทรวมเหล่าสตรีอีกเลย หากหลีกเลี่ยงมิได้ บางทีก็หาเรื่องกลับออกจากงานก่อน บางครั้งก็เร้นกายหายออกจากที่นั่ง
ความจริงเขารู้สึกไม่เป็นสุขที่ต้องเสียมารยาทในงานพิธีต่าง ๆ ยิ่งนัก จนในที่สุดท่านอ๋องหนุ่มจึงตัดสินใจเข้าเฝ้าโอรสมังกร แล้วเอ่ยขอคำสัญญาเกี่ยวกับการเลือกพระชายาจากพระเชษฐา พระองค์ก็ทรงรับปากว่าจะไม่พระราชทานหญิงสาวให้หากพระอนุชาไม่ร้องขอ
แต่เหมือนฮ่องเต้มู่เหวินหลงจะชอบอกชอบใจยามเห็นใบหน้าของเขาเปลี่ยนสี หากบุคคลผู้นี้มิใช่ฮ่องเต้ ท่านอ๋องหนุ่มก็อยากจะเอามีดกรีดบนใบหน้าอันรื่นเริงของพระเชษฐาร่วมอุทรยิ่งนัก
“ท่านกลัวได้ชายารองฝาแฝดอีกหรืออย่างไร” ถางซือเซินอดหัวเราะเบา ๆ มิได้ เขาจำได้ว่าฉินอ๋องมีสีหน้าเช่นไรเมื่อต้องแต่งชายารองพร้อมกันถึงสองคน
“กลัว” ผู้เป็นอ๋องยอมรับอย่างง่ายดาย แต่ริมฝีปากบางหยักขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับไม่แยแสสิ่งใด
“ซือเซินเห็นว่าชายารองฝาแฝดของท่านก็งดงามมาก บุรุษมากมายในเมืองหลวงล้วนอิจฉาฉินอ๋องกันทั้งนั้น ไม่ดีหรือที่มีสตรีปรนนิบัติทั้งซ้ายขวา”
“ขอยอมรับว่าพวกนางให้ความรู้สึกแปลกใหม่กับข้ามิน้อย” แววตาของมู่เลี่ยงหรงส่องประกายวิบวับแวบหนึ่ง “แต่สำหรับข้านั้นสตรีใดก็มิได้ต่างกัน พวกนางมีหน้าที่ปรนนิบัติบุรุษ เป็นสมบัติในเรือน จะมีประโยชน์ที่สุดก็ตรงให้กำเนิดทายาทได้กระมัง ดังนั้นจะมีหนึ่งคนหรือสองคนก็เพื่อจุดประสงค์เดียว” เขาค่อย ๆ วางจอกหยกลงกับโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะกระดานหมาก
“...” ถางซือเซินเลือกที่จะไม่บอกความรู้สึกของตนเอง คำพูดเหล่านั้นฟังดูเย็นชาเกินไป“เจ้ากำลังตำหนิข้าอยู่สินะ คงคิดว่าข้าไร้หัวใจ” นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอัครเสนาดีฝ่ายซ้ายอย่างรู้ทัน “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกซือเซิน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พระชายารองทั้งสามต้องการความโปรดปรานก็เพื่อให้ข้าสนับสนุนครอบครัวของพวกนาง เห็นหรือไม่ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งสิ้น”“ท่านอ๋องเพียงยังไม่พบสตรีที่พึงใจอย่างแท้จริงก็เท่านั้นเอง”“ความรักคืออะไรซือเซิน มันคงมีเพียงในโคลงกลอนอันเพ้อฝันเท่านั้น”เมื่อก่อนนั้นบทประพันธ์ต่าง ๆ ชวนให้อ๋องหนุ่มหวังว่าจะได้สัมผัสกับรักแท้ พอนานเข้า ก็รับรู้ได้ว่าหน้าที่ของตนเองสวนทางกับเรื่องในหนังสือ หญิงสาวมากมายที่รายล้อมล้วนเอาใจเขาเพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างเสมอ ในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้จะไม่ให้รู้สึกด้านชาได้อย่างไรในโลกของความเป็นจริง ด้วยฐานันดรศักดิ์ของเขา ย่อมมีสตรีอยากถวายตัวให้ลิ้มลองเริ่มตั้งแต่ยังไม่ออกจากวังหลวงมาอยู่จวนส่วนตัว บรรดานางกำนัลทั้งหลายที่อยากยกฐานะ รวมไปถึงบรรดาขุนนางต่าง ๆ ก็อยากจะยกบุตรสาวให้เพื่อผลประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์กับเชื้อพระวง
เมื่อย้อนนึกถึงวันวานในวัยเยาว์ของตนเองกับผู้ที่เป็นอัครเสนาบดี ก็เริ่มจำได้ว่าพวกเขาเคยพูดเรื่องรับภรรยาในอนาคต ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กจึงรับปากด้วยความยินดี ซ้ำยังให้คำมั่นว่าจะไม่มีทางปฏิเสธหญิงสาวที่สหายเลือกให้อย่างแน่นอน“น่าตายนัก!” มู่เลี่ยงหรงสบถลอดไรฟัน กำหมัดแน่น หลับตาลงลอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของสหายอย่างเจ็บแค้น เขารู้ดีว่าตกหลุมพรางเสียแล้ว และหลุมนี้ตนดันเป็นคนขุดเอาไว้เองจนเกือบลืมสิ้นเมื่อเห็นอ๋องหนุ่มหน้าซีดกล่าวอะไรไม่ออกอีก ถางซือเซินผู้ใจกล้ากล่าวต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าฉายแววยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ “ผู้เป็นอ๋องกล่าวแล้วทองพันชั่งก็ซื้อมิได้ ข้าจะหาพระชายาให้ท่านเอง”เมื่อเห็นว่าตกเป็นรองสหาย แต่ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบ จะให้ยอมง่าย ๆ ก็คงไม่ได้การ ด้วยตำแหน่งพระชายาเอกไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาล้อเล่นได้ สตรีนางนั้นย่อมต้องเป็นผู้ที่คู่ควร เขาต้องเห็นดีเห็นงามด้วยถึงจะถูก“ซือเซินอย่าเพิ่งได้ใจไป ข้าสัญญากับเจ้าเอาไว้ก็จริง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของข้าเชียวนะ มีเรื่องเจ้าควรรู้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านไม่เคยนึกแปลกใจเลยหรือ ข้ามีพระชายารองอยู่ถึงสามนางแต่ยังไม่มีทายาทเสี
กองทัพตระกูลเยี่ยนยาตรามาถึงเมืองหลวงแล้วฮ่องเต้ทรงมีราชโองการแต่งตั้งเยี่ยนหยางเจวี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่รักษานคร คุมกำลังพิทักษ์เมืองหลวงหนึ่งแสนนาย พร้อมเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นไคกั๋วกง[1]ตระกูลได้สืบทอดตำแหน่งสามชั่วคนโดยไม่ลดบรรดาศักดิ์ ได้รับปูนบำเหน็จเป็นเงินทอง แพรพรรณชั้นดี และจวนหลังใหม่ในเขตที่พำนักขุนนางส่วนเมืองชายแดนหานจี ฮ่องเต้มู่เหวินหลงได้ส่งแม่ทัพหนุ่มไฟแรงนามหนานกงอี้ไปประจำแทน ทำเอาบรรดาคุณหนูทั้งหลายร่ำไห้น้ำตานองด้วยความเสียดาย พวกนางคงไม่มีโอกาสได้พบกับบุรุษผู้หล่อเหลาอีกนานแต่ไม่ทันไรก็พากันแช่มชื่นดุจบุปผาต้องฝนกันอีกครา เมื่อสตรีทั้งหลายได้เห็นรองแม่ทัพผู้องอาจห้าวหาญอย่างเยี่ยนหยางจง แล้วไหนจะกุนซือผมสีเงินรูปงามนามเยี่ยนจิ้นหลิงซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นอีกคนคุณชายตระกูลเยี่ยนทั้งสองบังคับอาชาให้เดินไปตามถนนศิลาที่ทอดยาว นำขบวนกองทัพอันเกรียงไกรมุ่งตรงไปยังวังหลวง บรรดาคุณหนูต่างจับจองห้องพิเศษของโรงเตี๊ยมและหอสุราทั้งสองฟากฝั่งเพื่อชมขบวนทัพ เมื่อได้เห็นบุรุษทั้งสองก็พากันใจสั่นหวิว บ้างก็หน้าแดงเพราะขวยอาย แทบจะพากันสวดอ้อนวอนสิ่งศักด
ได้ยินเสียงพี่ชายเอ่ยทักจากด้านหลัง เยี่ยนเยว่ฉีจึงถอนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อออกจากขลุ่ยหยกอย่างแช่มช้า นางหันหลังกลับมามองพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้ารูปแตงปรากฏรอยยินดี นางช่างงดงามน่าทะนุถนอมยิ่ง“พี่รอง...” เยี่ยนเยว่ฉีกล่าวทักทาย“อีกเจ็ดวันพวกเราต้องเข้าวังไปงานเลี้ยงชมดอกเหมย” เยี่ยนจิ้นหลิงเดินเข้าไปในศาลา เขานั่งลงเคียงข้างน้องสาว “เตรียมตัวให้พร้อม เจ้าต้องแสดงความสามารถหน้าพระพักตร์ อย่าให้เสียชื่อท่านพ่อเป็นอันขาด”“พี่รองอย่าได้กังวล เยว่ฉีจะแสดงสุดความสามารถเจ้าค่ะ ไม่มีทางทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”“ฉีเอ๋อร์....ลำบากเจ้าแล้ว”“ลำบากอันใดแค่ไปงานเลี้ยง ไม่ได้ไปขึ้นเขียงสักหน่อย” ดรุณีน้อยคลี่ยิ้มหยอกล้อพี่ชายที่ทำท่าทางเคร่งครึม“น้องเล็กเจ้าฟังคำข้าให้ดี งานชมดอกเหมยครานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตเจ้า เจ้าจะได้แต่งงานในไม่ช้า ตามชะตา ชื่อของเจ้าจะได้จารึกในแผนผังราชวงศ์ แต่พี่คงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ไม่อาจแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ได้อีกแล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงตัดสินใจบอกนางให้รู้คำทำนาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากกล่าวถึง แต่ก็อดเป็นห่วงน้องสาวสุดที่รักไม่ได้ สู้ให้นาง
กระโปรงปักลายดอกโบตั๋นพลิ้วไหวไปตามจังหวะเยื้องย่าง ทุกกิริยางดงามอ่อนช้อยดังเทพธิดาจันทราสมกับชื่อของนางอย่างแท้จริงแม้ตามธรรมเนียมสตรีไม่ควรออกมาอวดโฉมให้บุรุษมากมายขนาดนี้พบเห็นก็ตาม แต่ตระกูลเยี่ยนให้บุตรสาวฝึกขี่ม้ายิงธนูอยู่เป็นประจำ ทำให้บางครั้งทหารผู้โชคดีจะได้พบคุณหนูเล็กที่ลานฝึกยุทธทหารองครักษ์ทั้งหลายเมื่อเห็นบุตรสาวผู้งามเลิศล้ำของท่านแม่ทัพใหญ่พาร่างอรชรเดินเข้ามา ต่างก็แอบชำเลืองมองอย่างอดมิได้ยามนางใช้นิ้วงามดุจลำเทียนขึ้นลูบปิ่นปักผม จนทำให้แขนเสื้อกว้างไหลลงจนแลเห็นแขนขาวเรียวเล็ก เท่านี้ก็เพียงพอให้พวกเขาลืมหายใจ แต่ละคนต่างตะลึงงันจนร่างกายแข็งค้างราวกับรูปปั้นหิน แต่ถึงกระนั้นทหารทั้งหลายต่างไม่กล้าทำกิริยารุ่มร่ามใดมากไปกว่านี้ด้วยรู้ฐานะของตนเป็นอย่างดีเยี่ยนหยางจงปรายสายตาตามเหล่าบุรุษที่กำลังใจลอย จึงพบกับตัวต้นเหตุที่มาแทรกแซงการฝึก รองแม่ทัพหนุ่มกระแอมดัง ๆ หนึ่งทีเพื่อเรียกสติของผู้ใต้บังคับบัญชากลับมา“เก็บลูกตาของเจ้าไว้มองภรรยาในอนาคตจะดีกว่า มีสมาธิกันหน่อย มิเช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปชายแดน” รองแม่ทัพหนุ่มสะบัดแส้หนังลงกับพื้น เสียงเส้นสายสีดำห
ปลายเหมันตฤดูอากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ดอกเหมยงดงามหลากสีในอุทยานหลวงบานสะพรั่ง แต่ยังคงเห็นน้ำแข็งจับค้างบนกิ่งก้านเปล่งประกายระยิบระยับช่วงนี้ของปีวังหลวงจะมักจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาเยือน ฮ่องเต้จะใช้โอกาสนี้ทรงมอบรางวัลแด่ขุนนางที่มีความดีความชอบ ส่วนขุนนางคนใดมีบุตรสาวโฉมงามแรกรุ่น ก็ล้วนพากันมาแสดงความสามารถต่อหน้าพระพักตร์ด้วยหวังว่าพวกนางจะถูกตาต้องใจฮ่องเต้ แล้วได้รับโอกาสแต่งตั้งเป็นพระสนม ในภายภาคหน้าหากนางโชคดีได้รับความโปรดปรานจากโอรสสวรรค์จนให้กำเนิดองค์ชาย ตระกูลของพวกเขาย่อมจะได้รับความมั่งคั่งและมั่นคงไปตลอดชีวิตแต่หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าฮ่องเต้มู่เหวินหลงทรงคิดอะไรอยู่ นอกจากจะไม่รับพระสนมเพิ่มแล้วกลับพระราชทานสมรสให้หนุ่มสาวไปหลายคู่ ทั้งขุนนาง ทายาทตระกูลใหญ่ กระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ไม่ได้รับการยกเว้นส่วนเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับเกียรตินี้สองปีซ้อนคงไม่พ้นฉินอ๋อง ที่ได้ชายารองโฉมงามถึงสามนางเฉิงจื่อหรู บุตรสาวเสนาบดีกรมพระคลัง ลู่เหมยหลงและลู่เหมยหลิน บุตรสาวฝาแฝดของเจ้ากรมอาญาอย่างไรก็ตามเรื่องนี้ทำร้ายจิตใจบรรดาคุณชายทั้งหลายอย่างมาก เพราะโฉมง
“อะแฮ่ม!” มู่เลี่ยงหรงกระแอม พร้อมก้าวเดินออกมาจากข้างต้นหลิว“ว้าย...” นางตกใจหันมาทันทีภาพที่เยี่ยนเย่วฉีเห็นคือบุรุษลึกลับในชุดคลุมสีดำหรูหรา เขาดูสูงส่งและเย็นชา ทว่าทันทีที่สบตาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว สีแดงค่อย ๆ ไล่ฉาบไปบนใบหน้านวล นางรู้สึกขวยอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ขออภัยด้วยที่ทำให้คุณหนูท่านนี้ตกใจ” มู่เลี่ยงหรงยืนเอามือไพล่หลังไว้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาเข้มลึกจ้องมองสตรีเบื้องหน้า ริมฝีปากบางเหยียดตรง“มิได้ ผู้น้อยต่างหากต้องขออภัยใต้เท้า เสียมารยาทแล้ว เป็นเพราะผู้น้อยไม่ทราบว่าท่านยืนพักผ่อนอยู่ตรงนี้” นางยอบกายลงขอขมาด้วยท่วงท่าอันอ่อนช้อย“ไม่เป็นไร เราเองก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” มู่เลี่ยงหรงส่งยิ้มเย็นยะเยือก สีหน้าบ่งบอกว่าเขาได้ยินทุกอย่าง “คุณหนูท่านนี้คงลืมกระมังว่าเวลานี้เจ้ากำลังยืนอยู่ที่ใด”ชายหนุ่มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อรอยยิ้มในตอนแรกหายไป“ใต้เท้าพูดเรื่องอันใด ผู้น้อยไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เยี่ยนเยว่ฉีปรายตาขึ้นสบกับบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วงามขมวดเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไยเขาต้องทำราวกับนางกระทำเรื่องไม่สมควร“ข้
‘ข้าจะได้รู้เสียทีว่าท่านเป็นใคร’ เยี่ยนเยว่ฉีลอบคิดในใจเช่นกัน“นามข้าคือ มู่-เลี่ยง-หรง” เขาบอกนางช้า ๆ ชัด ๆ ทุกคำพูด แอบซ่อนความขบขันยามเห็นใบหน้าคนงามกำลังซีดเผือด‘นางคงพอรู้เลา ๆ อยู่บ้างกระมัง’“ทะ...ท่านคงมิใช่ฉินอ๋อง” นางถามขอความมั่นใจด้วยเสียงอันสั่น ในใจก็ได้แต่ภาวนา เพราะหากเป็นท่านอ๋องผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดเป็นที่สุดผู้นั้น แผนสาวงามอาจจะไม่ได้ผล ยิ่งเขาเข้าใจผิดเช่นนี้นางอาจจะไม่รอดชีวิตแล้ว“คุณหนูเยี่ยน เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” มู่เลี่ยงหรงดูเหมือนขุนเขาตระหง่านขึ้นมาทันที รัศมีสูงศักดิ์ยิ่งเจิดจ้าจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออกท่านอ๋องสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้ใบหน้านางซีดลงกว่าเดิม น้ำตาไหลอาบแก้มสีชมพู นางสะอื้นฮักอยู่เงียบ ๆ ราวกับกำลังยอมรับชะตากรรม แต่เขาไม่อยากให้ว่าที่หวางเฟยของตนเองเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน‘ข้าคงแกล้งนางหนักเกินไปเสียแล้ว’“คุณหนูเยี่ยนลุกขึ้นเถิด ข้าจะละเว้นบุตรสาวท่านไคกั๋วกงสักครั้ง แต่จะคาดโทษเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าเจ้าต้องตอบแทนความเมตตาของข้าด้วย” น่าสนุก ท่านอ๋องหนุ่มปั้นหน้าเคร่งขรึมเก็บซ่อนอาการยินดี“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” นา
มู่เลี่ยงหรงอดคิดไม่ได้ ชายผู้นี้กลัวเลือดจะเปื้อนกาย แต่กลับกระหายการฆ่าฟันเสียยิ่งกว่านักรบ เขาไม่ต้องออกแรงก็สามารถทำให้คนดับสิ้น จากนั้นก็ดื่มด่ำกับผลลัพธ์อย่างภาคภูมิ‘ไอ้จิ้งจอกโรคจิต’ ผู้เป็นอ๋องสบถในใจ แต่ไม่พูดออกมาตามตรง“เราไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า อย่างไรเสียอีกหน่อยก็ต้องนับญาติกัน จงวางเรื่องบาดหมางเล็กน้อยนั่นลง แล้วส่งเสริมเรากับเยี่ยนเยว่ฉีได้หรือไม่” เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะเป็นศัตรูกับบุรุษโรคจิต จึงหวังว่าการยอมถอยหนึ่งก้าวในครั้งนี้จะทำให้กุนซือผมสีเงินให้ฤกษ์แต่งงานมาเสียที“จิ้นหลิงขอกล่าวตามตรง ยังไม่มีฤกษ์มงคลในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขอให้ท่านอ๋องรอคอยกำหนดการจากกระหม่อมอย่างใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าต้องการอะไรเพื่อแลกเปลี่ยน หากเราสามารถหาให้ได้ก็จะจัดการอย่างไม่รีรอ”“กระหม่อมไม่ได้ต้องการสิ่งใด แต่หากท่านอ๋องประสงค์จะกำหนดการแต่งงานให้เร็วขึ้น เมื่อถึงวัดประจำราชวงศ์ก็พอจะมีทางแก้ไขดวงชะตาของฉีเอ๋อร์ พิธีปัดเป่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ถึงเวลานั้นขอเพียงท่านอ๋องให้ความร่วมมือก็เพียงพอ”“เราตกลง” มู่เลี่ยงหรงรับคำหนักแน่น“กระหม่อมจดจำไว้แล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงอมยิ
ขณะที่ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย มู่เลี่ยงหรงได้ลอบสาบานในใจ หากถึงวันร่วมหอของทั้งสองเมื่อใด เขาจะกดนางเอาไว้ใต้ร่างตลอดทั้งราตรี จะใช้เพลิงรักแผดเผาโฉมสะคราญจนมอดไหม้เป็นลูกไฟดวงแล้วดวงเล่า จนกว่าสตรีผู้ยั่วเย้าจะสิ้นสติไปพร้อมกับความปริ่มเปรม“หากเจ้ามอบจุมพิตให้ยามเราพบกัน เช่นนี้ข้าคงมีแรงให้อดทนรอคอยได้บ้าง”“พอได้แล้วเพคะ ท่านอ๋องเรียกร้องขอกินเต้าหู้มากเกินไป แบบนี้หม่อมฉันมีแต่ขาดทุน”“ก็มันช่างหวานอร่อยยิ่ง พอรู้ตัวอีกที ข้าก็กลายเป็นคนตะกละไปเสียแล้ว”“ท่านอ๋องเพคะ เยว่ฉีหนาวแล้ว เรารีบออกไปจากห้องนี้กันเถิด” นางแสร้งเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เขาคลายกำหนัด หากขืนปล่อยตัวปล่อยใจต่อไปอีกนิด เกรงว่าท่านอ๋องจะตบะแตกไปเสียก่อนมู่เลี่ยงหรงผละออกจากร่างบาง มือทั้งสองรีบคว้าชุดที่กองอยู่บนพื้นยื่นให้เยี่ยนเยว่ฉี จากนั้นก็หันมาสวมอาภรณ์ของตนเองอย่างชำนาญ ไม่น่าเชื่อว่าแม้ไม่มีนางกำนัลปรนนิบัติ เขาก็ไม่มีอาการเงอะงะแม้แต่น้อย ซ้ำยังรีบมาช่วยคู่หมั้นสาวใส่เสื้อผ้าสตรีได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่นานนักร่างเปลือยเปล่าของนางก็กลับมาอยู่ชุดสีขาวงดงามอีกครั้ง“ท่านอ๋องดูคุ้นเคยกับการสวมชุดให้สตรี” ส
เพื่อยั่วยุอารมณ์ของนางให้แตกกระเจิงมากกว่าเก่า เขาจึงครอบครองยอดสีชมพูบนนวลเนื้ออวบอิ่มไปพร้อมกัน ทั้งขบเม้มดูดเน้นจนกายนางผวา ร่างบางพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม“อ่ะ...ท่านอ๋อง” นางร้องเรียกเสียงสั่น หัวสมองขาวโพลนไปหมด“หืม...ข้าอยู่นี่” เขาส่งเสียงขานรับอย่างนุ่มนวลในขณะที่มู่เลี่ยงหรงมอบความรู้สึกอันลึกซึ้งด้วยการขยับปลายนิ้วเข้าออกผ่านความคับแคบของพรหมจรรย์สตรี เยี่ยนเยว่ฉีทำได้เพียงหลับตาแน่นและส่งเสียงครวญครางเบา ๆ ยามเขาเฝ้ารุกเร้าถาโถมโจมตี สิ่งที่นางได้รับมีเพียงกระแสร้อนรุ่มหวามไหวระคนอึดอัดทรมาน เสมือนร่างกายพร้อมแตกสลายด้วยน้ำมืออันร้ายกาจได้ทุกเมื่อ“ต้องการอีกหรือไม่”“อือ...ท่านอ๋อง...เยว่ฉีไม่รู้” สตรีด้อยประสบการณ์ตกประหม่า นางไม่รู้ว่าจะต้องตอบเขาอย่างไร ร่างกายนี้พร้อมจะหลุดจากการความคุม ด้วยไม่อาจต่อต้านเพลิงแห่งปรารถนาที่แผดเผานางให้มอดไหม้“เด็กดี ข้าจะทำให้เจ้าอิ่มหนำ”“ยะ...อย่า...” เสียงเสียงห้ามแว่วหวานแผ่วเบา ยิ่งปลุกเร้าให้บุรุษขี้แกล้งได้ใจมู่เลี่ยงหรงไม่สนใจเสียงร้องห้าม เขาขยับปลายนิ้วร้อนชอนไชให้ลึกขึ้น โจนจ้วงเร่งจังหวะกระชั้นถี่ ร่างงามสั่นสะท
มู่เลี่ยงหรงแทรกกายเข้าไปใกล้ชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า เยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งตระหนักว่าตนกำลังอยู่ในท่วงท่าอันแสนน่าอาย มือทั้งสองโอบคอแกร่ง สองขาเกี่ยวกระหวัดรัดเอวสอบของเขาไว้แน่น หญิงงามแรกแย้มหน้าแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางจึงซุกหน้าลงกับอกเขา หวังว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นสีหน้าของตนเองในยามนี้บุรุษผู้เหิมเกริมจึงได้โอกาสใช้ปากกัดกระตุกสายเอี๊ยม ผ้าเนื้อบางเบาไหลหล่นพ้นเรือนร่าง เมื่อไม่มีอะไรบดบัง ทรวงอกงดงามที่อาบไล้ด้วยแสงนวลของตะเกียงก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เนื้อนวลขาวดุจหิมะแต้มด้วยสีชมพูที่ปลายยอดช่างอวบอิ่มอลังการอย่างเกินตัว มู่เลี่ยงหรงตกตะลึงขณะที่มองเนื้อนวลสล้างสะท้อนไหวขึ้นลงไปตามจังหวะหายใจ ช่างเป็นภาพอันยั่วเย้าแสนตราตรึง กายบุรุษร้อนวูบวาบ กระแสอุ่นร้อนไหลรวมลงมาที่ท้องน้อยไม่ขาดสาย ความเป็นชายถูกปลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มเต็มตัวถูกภาพงดงามเบื้องหน้ากระตุ้นจนถึงกับกัดฟันกรอด แต่จิตสำนึกพยายามข่มกลั้นไม่ให้จับนางกระแทกกระทั้นเพื่อระบายความอัดอั้นทรมานไปเสียก่อน ดวงแก้วสีนิลส่องประกายร้อนแรงแผดเผาทำลาย เยี่ยนเยว่ฉีหน้าแดงซ่าน พยายามใช้สองมือหวังปิดบังทรวงอกจากสายสา
เยี่ยนเยว่ฉีสะอื้นเพราะเจ็บไปหมด โทสะของเขายังคงคุกรุ่นจึงรั้งใบหน้าของนางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบอันลึกซึ้งและรุนแรงมากกว่าเก่า เฝ้ารุกเร้าผ่านทางแยกที่เผยอออก สอดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดดูดดึงขบกัดลิ้นบางอย่างมันเขี้ยว หญิงสาวแทบหายใจไม่ออก ร่างสั่นสะท้านครางหวิว ทั้งเจ็บปวดและสุขสมในเวลาเดียวกัน ก่อเกิดเป็นความทรมานอันแสนหวาน บุรุษผู้นี้กำลังลงทัณฑ์นางให้สาสม สัมผัสจึงเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ไม่เหมือนจูบอันดูดดื่มเมื่อวันวาน นางเสียใจที่เขาไม่ทะนุถนอมตนเองอีกแล้ว“อือ จะ...เจ็บ” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามร้องประท้วง ในขณะที่เขาถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย“ข้าเจ็บกว่าเจ้ามากมายนัก” เขาโต้ตอบด้วยเสียงอันแหบพร่า“ท่านอ๋องเจ็บปวดด้วยเรื่องใด” ประกายน้ำใสคลอเบ้าตา เจ็บเพราะจูบที่เขามอบให้นาง“เจ้ายิ้มให้ชายอื่น หัวเราะยามเขาพูดจา ที่สำคัญเจ้ามองเมินไม่สนใจ ทำให้ข้าทั้งเจ็บปวดและริษยา”“ท่านอ๋องหึงหม่อมฉันจริง ๆ ด้วย” มุมปากอิ่มงามเผยรอยยิ้ม“สาแก่ใจเจ้าแล้วใช่หรือไม่ จะหัวเราะเยาะข้าก็ได้” ใบหน้าคมเบี่ยงหลบเล็กน้อย ด้วยไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ามองเห็นร่องรอยของความหวั่นไหว คำพูดเหล่านี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปา
“ไม่หึงก็ไม่หึง เยว่ฉีรับรู้ความรู้สึกของท่านอ๋องแล้วเพคะ”“ก็ดี”“ในเมื่อท่านอ๋องยืนกรานว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ หม่อมฉันก็จะได้คลายใจ”“คลายใจ เรื่องใด”“เรื่องที่รู้สึกผิดต่อท่านอ๋อง หม่อมฉันคงทึกทักไปเองว่าเผลอทำให้คู่หมั้นทรมานใจแล้ว”“หึ! หวังให้เราเจ็บปวดเพราะเจ้าคงเร็วไปร้อยปี” มู่เลี่ยงหรงยังคงปฏิเสธ“เยว่ฉีทราบแล้วเพคะ” นางเสมองไปทางอื่น แล้วแสร้งถอนหายใจ “หน้าเสียดายจริง ๆ ทั้งที่หลังจบเทศกาลหยวนเซียวหม่อมฉันคิดว่าระหว่างเราคงไปกันได้ดี มาวันนี้ก็รู้ซึ้งแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดคงไม่ได้มาจากใจอันแท้จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำหวานเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว”“เจ้าคิดว่าเราโป้ปดอย่างนั้นหรือ”“มิได้ แต่เมื่อครู่ท่านอ๋องเป็นผู้กล่าวเองว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชายอื่นมาสารภาพรักกับหม่อมฉัน อีกทั้งไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากกลัวเสียหน้าเท่านั้น เช่นนี้จะให้ผู้อื่นคิดเห็นเช่นไรได้” เยี่ยนเยว่ฉีจดจ้องดวงตาบุรุษตรงหน้านิ่ง “ช่างน่าขันยิ่งนัก หม่อมฉันบังอาจคิดว่าตนเป็นคนสำคัญ แต่ความจริงแล้วสำหรับท่านอ๋องหม่อมฉันคงเป็นเพียงบุปผาดาดดื่นดอกหนึ่งเท
“เยี่ยนเยว่ฉีอย่ามาเฉไฉ! คอยดูให้ดีเถิดว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร” มู่เลี่ยงหรงตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่มีทางยอมรับว่าทำเรื่องไร้มารยาทเป็นอันขาดเฟิงหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะบันดาลโทสะถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับหญิงสาว อย่างไรเสียก็เป็นชายชาตินักรบและตนเองก็คือต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาจึงหวังไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ท่านอ๋องทำร้ายสตรีที่ตนมีใจ“เรียนท่านอ๋อง หากจะลงโทษนาง กระหม่อมยินดีจะเป็นผู้รับโทษแทน” แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น แต่คำพูดประโยคนี้กลับเหมือนดั่งการน้ำมันราดลงบนกองไฟ ยามนี้ฉินอ๋องอยากจะสับเขาเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอดมู่เลี่ยงหรงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้บังอาจแตะต้องสตรีของตนอีกครั้ง น้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาขึ้นในแววตา อากาศเย็นสบายกลายเป็นหนาวจับจิตจนเฟิงหลี่จื้อขนลุกขึ้นมาจริง ๆ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ทางที่ดีสงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมที่ละเลยเรื่องชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้ากลับไปอย่างไม่บุบสลาย” มู่เลี่ยงหรงไม่ได้สนใจเหตุผล
“กระหม่อมคงรับไม่ไหว ท่านอ๋องไม่ได้ทำผิดอันใดไม่ต้องกล่าวเช่นนั้นกับซือเซิน” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ ด้วยสถานะสูงส่ง ฉินอ๋องไม่มีความจำเป็นจะต้องลดตัวลงมากล่าวคำขออภัยเขา“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”“ซือเซินรู้...” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มเพื่อคลายความกังวลใจให้สหายสูงศักดิ์หลังจากปรับอารมณ์ความรู้สึกกับถางซือเซินเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงหันกลับไปยังโต๊ะของตระกูลเยี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยนเยว่ฉีกับเฟิงหลี่จื้อเสียแล้ว แม้สังเกตดี ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจะหายไปด้วยก็ตามความกระวนกระวายแทรกซึมเข้ามาอย่างเฉียบพลัน เขาไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งสิ้น ด้วยรอยยิ้มงดงามเป็นธรรมชาติที่นางมอบให้ชายคนนั้นเป็นแบบที่ไม่เคยมีให้กับตนเองไฟริษยายังคงตอกย้ำในจิตใจ อ๋องหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไปเพื่อตามหาคู่หมั้นในทันทีเยี่ยนจิ้นหลิงเดินนำน้องสาวกับเฟิงหลี่จื้อไปบนดาดฟ้า เขาชวนทั้งสองพูดคุยตลอดทาง ในที่สุดก็พามาหยุดยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเรือ แต่แล้วบุรุษผมสีเงินก็อ้างว่าลืมวางพัดไม้หอมไว้บนโต๊ะ จึงขอตัวกลับไปเอา แล้วบอกให้คนทั้งสองรอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเมื่อกุนซือหนุ่มเดินจากไป
มู่เลี่ยงหรงคิดว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะ การจากไปตั้งหลักน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านอ๋องหนุ่มจึงพยายามเก็บงำอาการ ก่อนจะเดินนำถางซือเซียนกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปทางห้องโถงอย่างมิรั้งรอ เพราะไม่ต้องการเห็นภาพบาดตานี้อีกแม้แต่ชั่วเค่อเยี่ยนจิ้นหลิงอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ฉินอ๋องเก็บกักอารมณ์ได้ดีเยี่ยม แต่สายตากรุ่นโกรธนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาจิ้งจอกไปได้‘ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนสิ ถึงจะได้ผลลัพธ์ชั้นดี ฉินอ๋องท่านคิดว่าแค่นี้จะหนีพ้นหรือ นี่มันบนเรือนะ’“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“ดีเหมือนกัน น้องสาวก็รู้สึกหิวแล้ว”“หลี่จื้อ เจ้ามาร่วมโต๊ะกับพวกข้าสิ ท่านแม่ทัพเฟิงคงไม่ว่ากระไรหรอก” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“หากไม่รังเกียจ หลี่จื้อขอรบกวนแล้ว”จิ้งจอกเงินปรายยิ้มเล็กน้อย ก็เดินนำสหายเก่ากับน้องสาวแสนสวยไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารตลอดเส้นทางเฟิงหลี่จื้อคอยปรายตามองเยี่ยนเยว่ฉีอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ใช่งานเลี้ยง ที่นั่งจึงถูกจัดวางไว้สำหรับแต่ละครอบครัวเป็นสัดส่วน ขณะที่ฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นทรงประทับอยู่ในห้องแยกที่มีม่า