“หม่อมฉันมีเงื่อนไขอยู่สามข้อเพคะ หากว่าพระองค์รับปาก”
“ข้ารับปาก”
“หม่อมฉันยังไม่ทันได้พูดเลย”
“ว่ามาสิ”
“หม่อมฉันต้องการห้องส่วนตัว พระชายากับท่านอ๋องคงไม่จำเป็นจะต้อง…พักห้องเดียวกันหรอกกระมังเพคะ”
“นั่น…ก็ใช่ ย่อมเป็นเช่นนั้นข้าไม่มีปัญหา จัดการให้เจ้าได้เลย”
"เรื่องที่สอง หม่อมฉันอยากมีอิสระ สามารถออกมาจากจวนท่านอ๋องบ้างเป็นบางเวลา ระหว่างที่อยู่ที่จวนอ๋อง"
“อะไรนะ…เรื่องนี้….”
“หม่อมฉันเคยชินกับการอยู่อย่างอิสระมานาน แต่เรื่องภายในจวนอ๋องจะไม่ให้ขาดตกบกพร่องหวังว่าท่านอ๋องคงมิขัดข้อง”
“ก็ได้ ข้ารับปาก แล้วเรื่องสุดท้าย…”
“เรื่องที่สาม ห้ามล่วงเกินหม่อมฉันหากหม่อมฉันมิได้ยินยอม”
“เช่นนี้ก็ได้หรือ แล้วหากว่าข้าทำไปโดยมิได้ตั้งใจเล่า แล้วถ้า….”
“แต่พระองค์รับปากแล้วนี่เพคะ”
“เช่นนั้นข้าจะขอตั้งเงื่อนไขกลับสักเล็กน้อยเพื่อป้องกันเอาไว้หน่อยได้หรือไม่”
“อย่างไรหรือเพคะ”
“ห้ามเจ้าขอยกเลิกสัญญาก่อนจะถึงเวลา”
“ได้เพคะ”
“เมื่อเข้าจวนอ๋องแล้วต้องทำตามคำขอร้องของข้าห้ามขัดด้วยเหตุผลนี้โดยเด็ดขาดแต่ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า ข้าเขียนรายละเอียดทุกอย่างที่เจ้าต้องทำเอาไว้แล้ว”
ท่านอ๋องดึงซองสีน้ำตาลออกมาให้อันเฟยเปิดอ่านดู นางอ่านละเอียดคร่าว ๆ ถึงกับนึกแปลกใจ
“คอยกันพวกแมลงน่ารำคาญในจวนให้พระองค์ อะไรคือแมลงน่ารำคาญ”
“เมื่อไปที่จวนเจ้าก็จะรู้เอง”
“คอยแสดงละครตบตาผู้คนเช่นราชวงศ์ในวังหลวง ร่วมงานในวังหลวงตามเสด็จท่านอ๋องเข้าวังในฐานะพระชายาและห้ามหลุดพิรุธให้ผู้ใดจับได้”
“อันนี้ไม่มีปัญหา หม่อมฉันว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเก่งเกินหม่อมฉันเป็นแน่”
“ห้ามหาเรื่องกับเชื้อพระวงศ์เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เอ๊ะ เหตุใดจึงต้อง…”
“เจ้า…ทำได้หรือไม่”
“แล้วถ้าหากว่าหม่อมฉันถูกหาเรื่องก่อนเล่าเพคะ หม่อมฉัน…ไม่มีสิทธิ์สู้เลยหรือเพคะ”
“ข้า…มีหน้าที่ปกป้องเจ้าอย่างสุดความสามารถในฐานะสามี เจ้าจะไม่ได้รับอันตรายหากอยู่กับข้า เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ออกนอกจวน ข้ากับเจ้าจะดุจเงา ห้ามห่างกายข้าเป็นอันขาดเพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจ พระองค์คงมิได้มีเรื่องกับคนในวังหลวง หรือว่าพี่น้องทะเลาะกันเองหรอกนะเพคะ”
ท่านอ๋องวางจอกชาลง สีหน้าของเขาอันเฟยดูไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าคิดอะไรอยู่ แม้ว่าเขาจะรูปงามดุจเซียนบนสวรรค์แต่ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี้และนั่งคุยกับนาง เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอื่นเลย นี่เขาเป็นก้อนน้ำแข็งหรืออย่างไรกันนะ
“เรื่องนั้นเอาไว้เจ้า….จะเข้าใจเองข้าอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ ตกลงว่าเจ้ามีเงื่อนไขอื่นหรือต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันต้องการทราบลำดับและขั้นตอนหลังจากนี้ว่าจะต้องทำเช่นไรต่อเพคะ”
“อีกสองวันจะมีคนในจวนแม่ทัพฮั่วมารับตัวเจ้า ต่อไปเจ้าจะเป็นคุณหนูสี่สกุลฮั่วและข้าจะทำเรื่องสู่ขอเจ้า”
“สกุลฮั่ว แม่ทัพอันดับหนึ่งของฉินโจว ฮั่วตูผู้นั้น!!”
ท่านอ๋องหันมามองนางด้วยความประหลาดใจเมื่อนางรู้ว่านางจะถูกส่งไปที่ใด
“เจ้ารู้จักแม่ทัพฮั่วด้วยหรือ”
“ตอนที่ข้าเรียนที่สำนักเทียนซูก็ได้ยินชื่อของแม่ทัพผู้นี้แล้ว เขาเป็นอาจารย์ของ…. คนที่ข้ารู้จักเพคะ”
“ไม่แปลกเพราะแม่ทัพฮั่วก็คืออาจารย์ของข้าเช่นกัน เขาได้รับเชิญไปที่สำนักอันดับหนึ่งนั่นบ่อย ๆ ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักเทียนซูงั้นหรือ”
อันเฟยหลับตานิ่ง เพราะความตื่นเต้นแท้ ๆ ที่ทำให้นางหลุดปากออกไป เช่นนี้ก็คงปิดบังไม่ได้แล้วแต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรู้เข้าสักวันเพราะนางใช้วิชาของเทียนซู หากว่าท่านอ๋องเป็นศิษย์ของฮั่วตูจริง ๆ มีหรือที่เขาจะมองไม่ออก
“เพคะ เป็นศิษย์ที่ไม่ได้เรื่องเท่าใดก็เลยลงจากเขามาก่อน”
“ไม่ได้เรื่องงั้นหรือ แต่วรยุทธ์ของเจ้าเมื่อวันก่อนข้ากลับคิดว่า…ดีทีเดียว”
“ท่านอ๋องเพคะ เช่นนั้นหากตกลงกันเรียบร้อยแล้วหม่อมฉันคิดว่าเราร่างสัญญาเถิดเพคะ”
“แต่หากทำสัญญาแล้ว มีคนพบเข้าอาจจะทำให้เจ้าเสียหายได้ นี่เป็นโทษหลอกลวงเบื้องสูงเชียวนะเจ้ากล้าเสี่ยงหรือเอ่อ….อันเฟย ข้าเรียกเจ้าเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่”
“ได้เพคะ หม่อมฉันอนุญาต แล้ว…หม่อมฉันต้องเรียกพระองค์ว่าอย่างไรเพคะ”
“ก็เรียกท่านอ๋องเช่นเดิมก็ได้ หรือไม่ก็เรียกชื่อข้า เซียวฟู่เฉิน”
“เซียว…."ฟู่" ท่านก็คือหนึ่งในผู้จ้างวานของหอต้าหรง"
“ใช่ เจ้ามีปัญหาใดงั้นหรือ”
“เปล่าเพคะ ไม่มี ๆ แค่ตกใจเท่านั้น”
“ดี เช่นนั้นอีกสองวันเราจะส่งคนมารับเจ้า”
“แล้วสัญญาไม่ต้องเขียนหรือเพคะ พระองค์ไม่กลัวว่าหม่อมฉันจะหนีหรือเพคะ”
“ไม่กลัวหรอก”
“เพราะเหตุใดเพคะ”
“เพราะหากว่าเจ้ากล้าหนี ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย”
"อะไรนะ!!"
“ข้าไม่อยากเสียเวลา คุยจบแล้วเอาเป็นว่าเรื่องที่เจ้าต้องจำเอาไว้มีเพียงสองอย่าง เมื่อรับปากแล้วก็ทำให้ได้ และ เมื่อคิดจะผิดสัญญาก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอด ข้าไปก่อนล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ ไม่ได้คุยกันแบบนี้นี่ นี่ข้อตกลงอะไรกันข้า…ยกเลิกสัญญาไม่ได้งั้นหรือ ถึงกับจะฆ่ากันตายเชียวหรือ”
“หากเจ้าไม่ได้ทำผิด ก็ไม่มีผู้ใดอยากได้ชีวิตเจ้าหรอกนะ”
“แต่เช่นนี้ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวันดีคืนดีพระองค์นึกไม่อยากให้หม่อมฉันเล่นบทพระชายาจำเป็นนี่แล้วพระองค์จะไม่ฆ่าหม่อมฉันเล่าเพคะ”
เขาหันมามองหน้าของนางที่กำลังวิตกกังวลอย่างหนักเมื่อคิดว่าอาจจะถูกเขาฆ่าเมื่อใดก็ได้ขึ้นมา
“ไม่ล่ะ ๆ ท่านอ๋อง เช่นนั้นหม่อมฉันขอล้มโต๊ะก็แล้วกันถือว่าพวกเรา….ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ก็แล้วกันนะเพคะ”
หมิงอันเฟยเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็วแต่นางก็ไม่เร็วมากไปกว่าเขา ท่านอ๋องดันประตูเอาไว้ได้ก่อนพร้อมกับคว้ารอบเอวบางของนางได้และให้หันมา เขาจับมือนางเอาไว้ได้ กลิ่นกายและกลิ่นจากเรือนผมนางลอยแตะจมูกเขาอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง ปล่อยนะเพคะ”
“เจ้ารับปากแล้ว ฟังเงื่อนไขจนหมดสุดท้ายมาบอกว่าจะไม่ทำ เช่นนี้ก็เพียงพอที่จะปลิดชีพเจ้าแล้วหมิงอันเฟย”
“แต่ว่าพระองค์มิได้บอกว่าจะฆ่าหม่อมฉันนี่เพคะ มิน่าเล่าถึงได้จ่ายค่าจ้างเสียแพงแต่นี่….ปล่อยนะ”
“ไม่ได้ เจ้ารับปากแล้วก็ต้องทำตามเงื่อนไขเดิม ข้าไม่ได้บอกว่าจะฆ่าเจ้าเสียหน่อย เพียงแค่เจ้าเล่นละครครบหกเดือนข้าก็จะคืนอิสรภาพให้กับเจ้า รับรองว่าจะไม่แตะต้องชีวิตเจ้าอย่างแน่นอน”
“แต่ว่า..อ๊ะ อย่านะจะทำอะไร”
ท่านอ๋องยื่นพระพักตร์เข้ามาใกล้นางจนจมูกของเขาเกือบจะชนแก้มของอันเฟย นางตกใจจึงได้หลับตาและเบือนหน้าหนี ตั้งแต่โตเป็นสาวพ้นวัยปักปิ่นมา นางก็ไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดใกล้เพียงนี้มาก่อน
ท่านอ๋องมองคนที่ยืนสั่นตรงหน้าอย่างนึกขำแต่สีหน้าเขายังคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เขาเอื้อมไปปลดป้ายหยกของนางมาและปล่อยนางในที่สุด
“ท่านอ๋องนั่นพระองค์จะทำสิ่งใด คืนป้ายหยกของหม่อมฉันมานะ!!”
“เจ้าทำตามสัญญาข้าจบเมื่อใด ป้ายหยกนี้ข้าก็จะให้เจ้าคืนเมื่อนั้น”
“ไม่ได้นะ ป้ายหยกนั่น!!….”
สำรับถูกยกมาโดยสนมลี่ เมื่อเดินมาถึงห้องท่านอ๋อง นางจึงเคาะประตูและเปิดเข้าไปทันที นางเห็นท่านอ๋องและอันเฟยนั่งแทบจะศีรษะชนกันที่โต๊ะบัญชีอยู่แล้ว ท่านอ๋องเองก็ตกใจเมื่อหันมาเห็นว่าผู้ใดคือคนที่ยกสำรับมาให้“พวกเจ้าเข้ามาได้เช่นไรผู้ใดสั่งให้เข้ามา”“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยกสำรับมาให้”“เอาวางไว้และรีบออกไปเดี๋ยวนี้”“ท่านอ๋องเพคะ เดิมทีหน้าที่นี้หม่อมฉันเป็นผู้ทำแต่เหตุใดต้องตะคอกหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเพคะ”“ข้าบอกให้ออกไป หากยังถามวุ่นวายอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า....สนมลี่”“หม่อมฉันเพียงไม่เข้าใจ นางมาเพียงวันเดียวแต่เหตุใด….”“เจ้าจะออกไปดี ๆ หรือว่าจะให้ข้าให้ทหารลากตัวเจ้าออกไป”“ท่านอ๋อง!!”“ออกไป!!”ลี่ฟางหันไปมองอันเฟยที่ไม่ได้มองนางเลยแม้แต่น้อยเพราะนางมัวแต่ก้มมองดูสมุดบัญชีที่เหลือ นางไม่ได้ฟังที่พวกเขาถกเถียงกันด้วยซ้ำและก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อจนลี่ฟางเดินออกไป ท่านอ๋องจึงได้เดินไปสั่งให้ทหารห้ามสนมคนใดหรือสาวใช้เดินมาหากเขาไม่ได้เรียก“อันเฟย เจ้ามากินข้าวก่อนเถอะ”ไม่มีเสียงนางที่ตอบกลับมาเขาจึงเดินไปที่โต๊ะอีกครั้งพบว่านางกำลังนั่งตรวจบัญชีอย่างตั้งใจ กองสมุดบัญชีย้อนหลังส
กงหลี่นั้นแม้จะจะรู้สึกแปลกใจกับพระทัยที่แปลก ๆ ของท่านอ๋องแต่เขาก็ทำตามคำสั่งในทันที ไม่นานกองสมุดบัญชีของที่จวนก็ถูกนำมาวางข้าง ๆ โต๊ะหนังสือของท่านอ๋อง อันเฟยเริ่มขยับตัว นางตื่นขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองท่านอ๋องที่ทำหน้าตึงอยู่ที่โต๊ะหนังสือของเขา“ตื่นแล้วงั้นหรือ”“หม่อมฉัน…หลับไปนานหรือไม่เพคะ”“ชั่วยามกว่าเห็นจะได้”“นานจริงด้วย”“มานั่งนี่สิ นี่คืองานที่เจ้าต้องทำตอนที่อยู่ที่จวน”อันเฟยหันไปมองกองสมุดบัญชีที่กองเกือบพ้นศีรษะของนางเมื่อไปนั่งที่โต๊ะที่ถูกจัดมาวางข้าง ๆ เขาอย่างตกใจ นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะโหดขนาดนี้ “ทำเป็นใจดีให้นอนพัก แต่ตื่นมาก็ทรมานข้าทันทีเลยเหรอนี่ กลัวทำงานไม่คุ้มค่าจ้างหรืออย่างไรกัน”“เจ้าบ่นอะไร”เปล่าเพคะ นี่คืออะไรเพคะ"“สมุดบัญชีของจวน มีทั้งรายรับรายจ่ายและบัญชีรายชื่อของบ่าวไพร่และสาวใช้ในจวนรายละเอียดเกี่ยวกับจวนทั้งเรือนหน้าและเรือนหลัง เจ้าต้องดูแลทั้งหมด”“วะ…ว่าอย่างไรนะเพคะเหตุใดรวดเร็วถึงเพียงนี้ แล้ว…หม่อมฉันคนเดียว....”“ใช่ เจ้าทำเพียงคนเดียว หากมีคำถามก็มาถามข้า วันนี้ดูคร่าว ๆ ไปก่อน นอนมานานแล้วนี่น่าจะทำงานได้แล้ว”“แต่นี่ห้องบรรทมนะเพ
“ท่านอ๋อง พระองค์ไม่ทำตามข้อตกลง”“เจ้าเป็นผู้แหกกฎก่อนจะโทษผู้ใดได้เล่า ถึงแล้ว”“ปล่อยสิเพคะ”“ไม่ได้ ยังไม่ได้ปิดประตู”“เช่นนั้น…”“ข้าเปิดแล้ว เจ้าปิดสิ”อันเฟยหันไปปิดประตู สายตานางพลันมองไปด้านนอกเห็นว่าเหล่าบ่าวไพร่และสาวใช้หลายคนมองมาที่นางที่กำลังปิดประตูอยู่ทำเอารู้สึกอายมากเช่นกัน นางเริ่มเข้าใจที่เขาบอกแล้ว เช่นนี้นางคงใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นแล้วล่ะเพราะสายตาในจวนดุจสับปะรดเช่นนี้คงต้องเล่นละครไปตลอดเป็นแน่ แล้วหัวใจนางจะหวั่นไหวและใจเต้นแรงเช่นนี้ตลอดไป เป็นเช่นนี้นางต้องแย่แน่ ๆ“แย่แน่ ๆ ข้าต้องตายแน่ ๆ”“อะไรอีกล่ะ เจ้าบ่นอะไรได้ตลอด”“เปล่าเพคะ ปิดประตูแล้ว ปล่อยลงได้แล้วเพคะ”เขาเดินไปที่เตียงและปล่อยนางลงอย่างนิ่มนวล แม้รู้ว่านางมิได้เป็นอะไรก็ตามแต่เขาก็ไม่อยากให้นางรู้สึกแย่ วันนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีมากพอแล้ว“พระองค์….แย้มพระสรวลงั้นหรือเพคะ”ท่านอ๋องรีบหุบยิ้มทันที เขาไม่เคยทำเช่นนี้มานานแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่าหมิงอันเฟยจะเป็นคนเช่นนี้ เห็นอะไรก็ทักออกมาโพล่ง ๆ เช่นนี้เลยเขาคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้ว“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะข้าจะต้องนั่งในนี้อีกสักพัก”“เพราะเหตุใดเ
ลี่ฟางในชุดสีแดงเพลิง แต่งแต้มใบหน้าด้วยสีแดงเช่นเดียวกับชุดที่นางสวมใส่พร้อมกับสายตาที่มองมาที่อันเฟยอย่างวิเคราะห์ก่อนจะเอ่ยออกมา“ท่านอ๋องเพคะ แต่ในยามนี้นางเป็นเพียงแค่สตรีธรรมดา หาได้ใช่พระชายาไม่ หม่อมฉันเป็นถึงบุตรแม่ทัพคงไม่มีความจำเป็นจะต้อง…ถวายความเคารพนาง”“หม่อมฉันก็ด้วยเพคะ”“นางเป็นบุตรของแม่ทัพหลวงอันดับหนึ่งของฉินโจว แม่ทัพฮ่าวตู อย่าว่าแต่บิดาของพวกเจ้าจะต้องให้ความเคารพแม่ทัพฮ่าวตูแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังเกรงพระทัย เช่นนี้แล้ว เจ้ายังกล้าลบหลู่นางต่อหน้าข้าอีกงั้นหรือ!!”ลี่ฟางและซูหลิงรีบคุกเข่าลงในทันทีเมื่อสิ้นเสียงของท่านอ๋องที่แฝงออกมาด้วยความโกรธ พวกนางยังจำรสชาติของการถูกโบยได้กว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาก็หลายวันดังนั้นจึงไม่กล้าจะถกเถียงกับท่านอ๋อง“หม่อมฉัน…เพียงแค่รู้สึกว่านางยังไม่ควร…”“ควรหรือไม่อยู่ที่ข้าตัดสิน หากไม่เคารพนางก็เท่ากับไม่เคารพข้าเช่นกัน”"ช่างเถิดเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันเองก็พึ่งมาพวกเจ้าก็ลุกขึ้นเถอะอย่ามากพิธีเลยอันเฟยเดินเข้าไปพยุงลี่ฟางที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแต่นางกลับกระซิบคำบางอย่างออกมา “อย่าแตะต้องข้านังจิ้งจอก ข้าไม่มีวันยอมแพ้เจ้า”อันเฟยไม่ค
“พวกนางก็ส่วนพวกนาง หม่อมฉันก็คือหม่อมฉันสิเพคะ บอกว่าไม่ได้คิดอะไรก็คือไม่คิดเหตุใดพระองค์พูดไม่รู้เรื่องเพคะ”“นี่เจ้ากล้าด่าข้างั้นหรือ หาว่าข้าพูดไม่รู้เรื่อง”“มิใช่หรือเพคะ พระองค์ต้องแยกแยะก่อนที่จะมีคนจับได้นะเพคะ มีอย่างที่ไหนไม่ชอบท่าทางที่พี่น้องแสดงออกต่อกัน นี่มันออกจะเกินไปนะเพคะ”“ข้า!!….”“หม่อมฉันเดินมาส่งพระองค์แล้ว กลับได้หรือยังเพคะ”“ข้า….เจ้า มือเจ้าเจ็บหรือไม่”“ไม่เท่าไหร่เพคะ ยังดีที่ไม่ถูกกำไลนี่บาด สวมพวกนี้แล้วน่ารำคาญชะมัดเลย”“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดึงแขนของเจ้าแรงขนาดนั้น ข้าขอโทษ”สายตาเขาอ่อนโยนลงนิดหน่อยเมื่อเอ่ยคำขอโทษออกมา อันเฟยหันไปมองเขาพลันต้องเบี่ยงหน้าหนีในทันทีเพราะสายตาที่เขามองมาทำเอานางรู้สึกแปลก ๆ ราวกับจะมองทะลุเข้ามาในใจนาง อันเฟยพึ่งเคยรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก นางเองก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไรเช่นกันแต่มันอันตรายมากจริง ๆ และมักจะเป็นเวลาที่ท่านอ๋องผู้นี้เข้ามาใกล้นาง“พรุ่งนี้สาย ๆ ข้าจะมารับเจ้าไปที่จวน รอข้าอยู่นี่”“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว”“เจ้าเข้าจวนไปเถอะ”“เพคะ กลับดี ๆ นะเพคะ”“อืม”แม้ว่าสายตานั้นจะอ่อนโยนลง
อันเฟยตกใจจนตั้งตัวไม่อยู่ นางเผลอตะโกนถามเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องนี้ควรต้องแจ้งนางล่วงหน้ามิใช่หรือเหตุใดเขาจึงบอกกะทันหันเช่นนี้กัน“เหตุใดจึง….”“ข้าตัดสินใจแล้ว เปลี่ยนแผนนิดหน่อย เสด็จพ่อประทานหนังสือหมั้นหมายมาแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่จวนนี้ ไปอยู่ที่จวนข้าได้แล้ว”“แต่ว่า พิธีสมรสมิได้จะมีขึ้นในขั้นต่อไปงั้นหรือ เหตุใด….”“ข้าบอกให้ไปก็ไป เจ้าตกลงแล้วว่าจะทำตามเงื่อนไข”“หม่อมฉันไปตกลงเมื่อใดกัน”“ป้ายหยก”“ท่านอ๋อง!!”นางโกรธจนถึงที่สุดเพราะไม่นึกว่าเขาจะมาเร่งนางเช่นนี้ ท่านอ๋องเองก็พึ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้เองที่นางตกลงมาสู่อ้อมกอดของฮั่วเทียนอี้ เขารู้สึกเจ็บที่หัวใจแปลก ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นเขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจแต่ไม่มีเหตุผลอะไรเพราะที่เทียนอี้ทำไปก็เพราะช่วยนางเท่านั้น แต่เขาแอบเห็นสายตาของแม่ทัพหนุ่มซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคิดกับว่าที่พระชายาของเขาเพียงน้องสาว “ฝากปลาย่างไว้กับแมว ไม่ปลอดภัยแน่”“อะไรนะเพคะ”“ข้า…คือว่าวันนี้มีโองการออกมาแล้วให้อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเป็นพิธีแต่งงานแต่ก่อนหน้านี้ ข้า…จำเป็นต้องพาเจ้าไปพักอยู่ที่จวนก่อนเนื่องจากว่า…มีบางคนเริ