ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงฝ่ามือทุบประตูไม้จนแทบหลุดกระเด็น ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกจนแสบแก้วหู
“นังตัวขี้เกียจ ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อใด”
หญิงสาววัยสิบห้าดีดเด้งร่างขึ้นพลันนั่งเหยียดตรง ผ้าห่มผืนเก่าถูกเลิกออกไปกองตรงเอว เส้นผมสีดำเงาดุจดั่งน้ำหมึกพันกันยุ่งเหยิง
“รู้แล้ว ท่านมองท้องฟ้าบ้างหรือไม่นี่มันเพิ่งยามอิ๋น [1] จะเร่งให้ข้าตื่นหาสวรรค์วิมานใดมิทราบ” เสียงใสโต้กลับ
ผู้ที่ยืนเท้าเอวอีกด้านก็ไม่ยอมกัน “นังเด็กปากดี หากไม่เพราะแม่ของเจ้าสำส่อนไม่รักดีจะให้กำเนิดมารร้ายเช่นเจ้าได้อย่างไร”
ผัวะ!
ประตูที่งับเมื่อครู่ถูกเปิดออกไม่ทันตั้งตัว หญิงร่างท้วมถึงกับเบิกตาค้างตระหนกตื่น เพราะเมื่อครู่นางลงแรงไปกับการเคาะบานประตูอย่างหนัก เป็นเหตุให้ร่างที่กลมดั่งอึ่งอ่างแม่ไข่กลิ้งหลุน ๆ ไปนอนหงายท้องพังพาบที่พื้นเย็นเยียบ
หญิงสาวยกมือปิดปาก เสียงใสหัวเราะคิกคักด้วยความสาแก่ใจ
“เจ้า! นังตัวดี กล้าทำร้ายข้ารึ ข้าจะไปฟ้องลุงของเจ้า”
นัยน์ตากลมโตกลอกมองบนไม่แยแส “เชิญท่านขี่ม้าสามศอกไปฟ้องท่านลุงของข้าได้เลย ข้าถูกทำโทษจนเคยชินเสียแล้ว ครั้งนี้จะให้ข้าทำอะไรอีกเล่า คุกเข่าสองชั่วยาม หรือว่าโบยข้าให้หลังขาด”
“เจ้า เจ้า…” หญิงร่างท้วมชี้นิ้วพลางกัดฟันพูดไม่ออกจนตัวสั่นเทิ้ม
เสียงที่แผดตั้งแต่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าเป็นเสียงของป้าสะใภ้ใหญ่นามว่าเฉินเจีย ส่วนหญิงสาวที่แค่นหัวเราะสาแก่ใจอยู่ไม่ไกลกันก็คือเฉินอิ้งถง
อันที่จริงเฉินอิ้งถงผู้นี้คือหญิงสาววัยยี่สิบปีจากยุคสองพันหาใช่คนในโลกใบนี้ ทว่าคืนหนึ่งเฉินอิ้งถงนอนดูซีรีส์อยู่เพลิน ๆ กลับเผลอหลับไปให้จอดูคน ลืมตาตื่นอีกทีจิตวิญญาณก็มาสวมร่างนางร้ายที่มีชื่อแซ่คล้ายตัวเองในซีรีส์เรื่องนั้นอย่างน่าอัศจรรย์
ที่ชวนปวดหัวยิ่งกว่านั้น โลกใบนี้ไม่ใช่กองถ่ายละครทว่ามันกลับประหนึ่งโลกคู่ขนานในอีกมิติ หนำซ้ำเฉินอิ้งถงเข้ามาอยู่ในร่างนางร้ายตั้งหลายเดือนแล้ว และไม่มีทีท่าว่าตนจะสามารถทลายมิติกลับไปยังโลกใบเดิมได้ ทั้งยังต้องมาอยู่อาศัยในแถบกันดารอย่างอำเภอฉีหลิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้หญิงสาวจึงทำได้เพียงปล่อยวางและใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ให้ดีต่อไป
เฉินอิ้งถงส่ายหน้าระอิดระอาเพราะดูเหมือนคงไม่มีใครดวงกุดเท่านางอีกแล้ว แทนที่จะได้เข้ามาเป็นนางเอกดันโผล่มาอยู่ในร่างนางร้ายช่วงวัยปักปิ่นไปเสียได้ ซ้ำยังเกิดในตระกูลแร้นแค้น มีป้าสะใภ้ใจทรามกับลูกพี่ลูกน้องจอมรั้น โชคดีนิดหน่อยที่ลุงแท้ ๆ ของนางยังเห็นแก่เยื่อใยจากสายเลือดเดียวกัน เฉินอิ้งถงจึงไม่ถูกสองแม่ลูกตามรังแกมากจนเกินไป อันที่จริงเฉินอิ้งถงคนใหม่นี้ก็แค่รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางต่างหาก
นางร้ายเฉินอิ้งถงในเมื่อก่อนหากว่ากันตามบทบาท นางเป็นคนหัวอ่อน ถูกกดขี่รังแกจากป้าสะใภ้แต่เล็กจนโต กระทั่งถูกขายออกไปเป็นอนุเศรษฐีอย่างไม่เต็มใจ และดูเหมือนว่าเหตุการณ์คล้ายกันนี้กำลังใกล้เข้ามาแล้วเสียด้วย เฉินอิ้งถงจากอีกมิติจึงต้องคิดวิธีรับมือเอาไว้อยู่ทุกวัน
เนื่องจากเฉินอิ้งถงคนก่อนเติบโตมาพร้อมความชิงชังเคียดแค้น ในใจอัดแน่นไปด้วยเพลิงอาฆาต ทำให้ตอนที่นางถูกขายออกไปเลือกกระทำการอุกอาจ กระทั่งกล้าลอบวางยาเศรษฐีหม่าจนตาย จากนั้นนางก็หนีไป ทำให้ฮูหยินของเศรษฐีหม่าหวนกลับมาเอาเรื่องคนสกุลเฉิน
ในตอนที่ทุกคนถูกสั่งสอนจนเอาชีวิตไม่รอด เฉินอิ้งถงก็แอบมองคนตระกูลเฉินล่มจมไปต่อหน้าต่อตาด้วยสีหน้าเลือดเย็น จากหญิงสาวอ่อนแอไร้กำลังก็แปรผันเป็นคนเกรี้ยวกราดไร้หัวใจ หลังจากกำจัดศัตรูที่ชิงชังได้แล้ว นางจึงตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง
กระทั่งได้พบกับจินเหยียนหรือเหยียนอ๋องเข้าโดยบังเอิญ ทำให้นางตกหลุมรักเขาอย่างจัง ทว่าคนผู้นี้เป็นถึงชินอ๋องอีกทั้งยังมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลลู่ซึ่งก็คือนางเอกของเรื่องนามว่าลู่หลันหลิง
เป็นเหตุให้เฉินอิ้งถงเกิดความริษยา นางจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนสามารถคว้าหัวใจพระเอกคนนี้มาให้ได้ ทั้งยังยัดเยียดตัวเองสารพัดวิธีจวบจนได้พบเหยียนอ๋องอีกครั้งที่โรงน้ำชา แน่นอนว่านางเกือบสมปรารถนาเพราะเบื้องหลังของนางร้ายผู้นี้ย่อมมิใช่ธรรมดา ต่อให้นางเกิดมาในตระกูลสามัญก็ตาม แต่ใครจะล่วงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของนางได้กันเล่าเพราะนั่นคือปมที่ชวนซับซ้อนเสียเกินจะกล่าว ทว่าท้ายที่สุดนางร้ายก็ไม่อาจฝืนดวงชะตา ในเมื่อเฉินอิ้งถงถูกวางตัวให้เป็นนางร้ายจะหมายเคียงคู่พระเอกได้อย่างไร
ดังนั้นเฉินอิ้งถงที่เข้ามาสวมบทบาทเป็นนางร้ายในตอนนี้ ย่อมรู้ซึ้งถึงจุดจบของตนเองดีว่าไม่มีทางสมหวังกับพระเอกไปได้ อีกทั้งยังเป็นการเอาคอไปแขวนบนผ้าขาวโดยใช่เรื่อง
ในเมื่อตนได้โผล่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้แล้ว เฉินอิ้งถงจะไม่ยอมกลายเป็นนางร้ายที่มีชีวิตสุดอาภัพแน่นอน อีกอย่างเหยียนอ๋องคนนี้ก็ไม่ใช่พระเอกที่นิสัยดีเด่อะไร
เฉินอิ้งถงชอบพระเอกธงเขียว หาได้ชมชอบพระเอกธงแดง ต่อให้กลับตัวกลับใจแล้วอย่างไร ในบทบาทช่วงแรกเขาก็ร้ายยิ่งกว่าปีศาจไม่ใช่หรือ
ดังนั้นเป้าหมายใหม่ของเฉินอิ้งถงก็คือ การแต่งงานกับตัวประกอบของเรื่องเช่นองค์ชายห้านอกจากช่วยให้หลีกหนีชะตาที่น่าอดสู ก็ยังสามารถเปลี่ยนช่วงวิกฤติของชีวิตให้เป็นโอกาส
ที่นางจงใจเลือกเขานั่นเพราะองค์ชายห้าจินชางหลงเป็นน้องชายสุดรักของเหยียนอ๋อง ชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับเฉินอิ้งถงในตอนนี้ อาจจะราวสิบหกสิบเจ็ด หนำซ้ำเขายังสุขภาพไม่ดีขี้โรคอีกต่างหาก บิดามารดาหมางเมินมีเพียงจินเหยียนและไทเฮาเท่านั้นที่เอาใจใส่เขาดุจไข่ในหิน
นั่นยิ่งทำให้เฉินอิ้งถงมั่นใจได้ว่าในอนาคตนางจะไม่ถูกสามีข่มเหง อีกอย่างบุรุษที่อ่อนแอไร้กำลังจะมีตระกูลใดอยากส่งบุตรีเข้าไปหมั้นหมายด้วยกันหรือ ต่อให้เป็นถึงองค์ชายก็ตามทว่าตำแหน่งนี้ก็หาได้มีประโยชน์ เช่นนั้นองค์ชายห้าย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการพลิกบทนางร้ายสุดอนาถ
ทว่าตอนนี้เฉินอิ้งถงเป็นเพียงหญิงสาววัยกระเตาะต่อให้มีปัญญาแต่ไร้กำลังก็ดูจะลำบาก ทั้งยังติดแหง็กอยู่ที่อำเภอฉีหลินสุดแร้นแค้น แล้วอย่างนี้นางจะไปคว้าองค์ชายตัวประกอบผู้สูงส่งมาทำสามีได้อย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งชวนปวดสมอง
“ท่านแม่!”
เฉินอิ้งถงหลุดจากภวังค์ ดวงตากลมโตจดจ้องภาพบุตรสาวประคองมารดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นังตัวแสบ เจ้ารังแกท่านแม่ข้ารึ”
เฉินจิงลูกสาวแท้ ๆ ของเฉินเจียขบฟันแน่น นางเขม้นมองเฉินอิ้งถงแววตาเจือความมาดร้าย
สองแม่ลูกคู่นี้เมื่อก่อนก็กดขี่เฉินอิ้งถงคนก่อนอย่างหนัก มีสิทธิ์ใดมาชักสีหน้าใส่นาง
“ผู้ใดรังแกป้าสะใภ้กันเล่า ก็แม่ของเจ้ากินจนขึ้นอืด ทรงตัวไม่อยู่เลยล้มกลิ้งลงไปเอง แร้นแค้นเพียงนี้ไม่ช่วยกันประหยัด เล่นยัดของกินไม่แบ่งก็สมควรแล้ว”
เฉินเจียโดนต่อว่าก็โมโหจนหน้าสั่น
“กรี๊ด…นังเด็กเหลือขอ วันนี้ข้าจะเอาเลือดหัวเจ้ามาล้างเท้า แล้วจะถลกหนังเอาเกลือทาตัวเจ้าส่งไปให้เศรษฐีหม่าเสียวันนี้เลย”
เฉินอิ้งถงมองอีกฝ่ายกระทืบเท้าเร้า ๆ ก็ขบขัน ทว่าหูของนางกลับได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนมุ่งตรงมาอย่างเร่งร้อน
“โอ๊ย…ท่านป้า ข้าเจ็บนะเจ้าคะ” เฉินอิ้งถงแสร้งล้มลงไปกองบนพื้น
“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงทุ้มดังแทรกที่หน้าประตู
ชายวัยกลางคนปรากฏกายพร้อมสีหน้าคร่ำเคร่ง
สองแม่ลูกอ้าปากค้างพูดไม่ออก
“ท่านพ่อ นังเด็กนี่มัน…”
“ท่านลุงเจ้าคะ ข้ากำลังจะลุกไปเตรียมตัวทำหมั่นโถวขาย แต่อยู่ ๆ ท่านป้าสะใภ้กับอาจิงก็พรวดพราดเข้ามาผลักข้า ข้ายังไม่รู้เลยว่าทำสิ่งใดผิด” เฉินอิ้งถงตัดบทแสร้งตีหน้าสลด
ชายวัยกลางคนหน้าหม่นทะมึนลงเดี๋ยวนั้น เขาช่วยประคองหลานสาวเพียงหนึ่งให้ยืนเคียงกัน “ถงเอ๋อร์ เจ็บตรงไหนหรือไม่”
สองแม่ลูกแทบกรีดร้อง เฉินจิ้นซงเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของมารดาเฉินอิ้งถง ตั้งแต่น้องสาวของเขาตายจากไปก็สัญญาจะดูแลหลานสาวคนนี้ให้ดี แต่บ่อยครั้งที่เขาหูเบาเชื่อคำยุแยงตะแคงรั่วของภรรยาจนเผลอทำร้ายหลานสาวโดยไร้เหตุผล
หนำซ้ำเฉินจิ้นซงยังไม่เคยระแคะระคายเลยว่าในตอนที่ตนออกไปทำงาน เฉินอิ้งถงนั้นถูกสองแม่ลูกคู่นี้เอาเปรียบอย่างไร เฉินอิ้งถงคนก่อนก็หัวอ่อนจนไม่กล้าปริปากฟ้อง ในเมื่อนางร้ายได้เปลี่ยนไปแล้ว เช่นนั้นเฉินอิ้งถงผู้นี้จึงขอพลิกบทบาทให้ใหม่เสียเลย หลังจากเฉินจิ้นซงพบเหตุวิวาทของภรรยาและหลานสาวซ้ำ ๆ เขาจึงแน่ใจแล้วว่าเฉินอิ้งถงนั้นเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
“ท่านพี่ นังเด็กนี่มันโกหก ข้ายังไม่ได้…”
“พอได้แล้ว! พวกเจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ยามที่ข้าออกไปทำงานเจ้าก็เอาแต่รังแกนาง เฉินเจีย นางเป็นหลานข้าก็เหมือนหลานของเจ้า ไยไม่พูดจากันให้ดี เจ้าให้ข้าลงโทษนางมาตั้งกี่ครั้งกี่ครายังไม่สาแก่ใจอีกรึ เช่นนั้นวันนี้เจ้าสองคนแม่ลูกก็ทำงานส่วนของถงเอ๋อร์ทั้งหมด”
“กรี๊ด…ท่านพ่อลำเอียง”
“หุบปาก! เป็นข้าเอง ข้าผิดเองที่ตามใจเจ้าจนเสียคน”
สองแม่ลูกตาค้างตะลึงลาน หลายเดือนมานี้พวกนางไม่สามารถรังแกเฉินอิ้งถงได้เหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ว่านางถูกปีศาจตนใดมาสิงร่างนิสัยจึงได้พลิกกลับดุจคนละคน พวกนางหาเรื่องเฉินอิ้งถงมากเท่าใด ก็ถูกโต้กลับมากยิ่งกว่านั้น ช่างสร้างความประหลาดใจให้สองแม่ลูกยิ่งนัก
“ถงเอ๋อร์ วันนี้เจ้านอนพักเถิด งานที่เจ้าต้องทำก็ให้จิงเอ๋อร์กับป้าสะใภ้เจ้าทำแทนแล้วกัน ถือซะว่าเป็นการขอโทษเจ้า”
เฉินจิงกระทืบเท้าเร้า ๆ ทว่ากลับถูกบิดาตวัดตามองเข้ม เพราะยุคสมัยนี้อำนาจบุรุษยิ่งใหญ่ดุจฟ้า ครั้นเฉินเจียเห็นแววตาสามีเต็มไปด้วยไอสังหารก็ไม่คิดล่วงเกินอีก
มืออวบอั๋นดึงบุตรสาวมายืนขนาบข้าง ตอบรับสามีลอดไรฟัน “ข้ารู้แล้ว”
สองแม่ลูกกระฟัดกระเฟียดจากไป เฉินอิ้งถงมองตามจนลับสายตา ริมฝีปากสีกุหลาบกดลึกเป็นรอยยิ้ม
ในเมื่อข้าเป็นนางร้าย ก็ต้องร้ายให้สุด เพียงแต่ใครดีมาข้าดีตอบ ใครร้ายมาข้าก็ร้ายตอบเท่านั้นเอง
เชิงอรรถ
^ยามอิ๋น (寅:yín) คือ 00 – 04.59 น.
สองปีผันผ่าน ณ แคว้นเป่ยเซี่ย“พี่หญิงเฉิน เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ข้าขี่ม้าเก่งหรือไม่” จินม่านม่านกล่าวด้วยแววตาซุกซน“ม่านเอ๋อร์เก่งมาก ฝีมือขี่ม้ายิงธนูของเจ้าบุรุษยังต้องอับอาย”วันนี้จินม่านม่านรบเร้าอยากให้เฉินอิ้งถงออกมาขี่ม้าเป็นเพื่อน ทำให้แม่ลูกอ่อนเช่นนางต้องปลีกตัวจากลูกน้อยชั่วครู่ ส่วนเจ้าตัวน้อยในยามนี้ก็อยู่ในความดูแลของจินชางหลง และเหล่าแม่นมไม่รู้จะวางใจได้หรือไม่ ทั้งจินชางหลงและเฉินอิ้งถงล้วนเป็นพ่อแม่มือใหม่ด้วยกันทั้งคู่ หากเจ้าตัวเล็กลืมตาตื่นแล้วไม่พบหน้านางเกรงว่าต่อให้เป็นแม่นมหรือจินชางหลงเองก็คงเอาไม่ลง“บ่ายคล้อยแล้ว อากาศเริ่มอบอ้าวเรากลับกันเถิด”“ได้เพคะ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแวะไปหาเจ้าสองแสบด้วยได้หรือไม่”เฉินอิ้งถงยิ้ม “ได้แน่นอน เย็นนี้ม่านเอ๋อร์ก็อยู่ทานสำรับเย็นด้วยกันสิ”จินม่านม่านตาเป็นประกาย “ได้ด้วยหรือเพคะ”“ได้แน่นอน” เฉินอิ้งถงยิ้มทั้งสองเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักจวิ้นอ๋อง ครั้นถึงหน้าตำหนักก็ได้ยินเสียงเหล่านางกำนัลและแม่นมโหวกเหวกกันจ้าละหวั
“ท่านแม่นางเด็กเหลือขอนั่นจะกลับบ้านเหตุใดท่านพ่อจะต้องจัดเตรียมโน่นนี่ให้ลำบาก เงินทองที่นางทิ้งเอาไว้ก็ไม่ให้เราแตะสักอีกแปะ ทำราวกับว่าตนเองเป็นองค์หญิง ไปแล้วก็ยังมีหน้าอยากกลับมาที่นี่อีกหรือ” เฉินจิงเบ้ปากตั้งแต่นางลอบติดตามเฉินอิ้งถงไม่สำเร็จก็หอบสภาพสุดสังเวชกลับมาบ้าน เฉินจิงเข็ดขยาดเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคียดแค้นที่เฉินอิ้งถงกล้าทิ้งนางเอาไว้กลางทาง“ข้าจะไปรู้รึ พ่อของเจ้าไม่บอกอะไรเลย บอกเพียงให้เราปฏิบัติกับนางดี ๆ”“จะทำดีกับนางเพื่อสิ่งใด ท่านก็เห็นแล้วคราวก่อนอุตส่าห์พูดดีด้วยสมบัติพะเนินเป็นภูเขายังไม่คิดจะเจียดให้เราใช้ ชิ” เฉินจิงกระฟัดกระเฟียด คอยดูเถิดหากเฉินอิ้งถงมาถึง นางจะไล่ตะเพิดเยี่ยงหมูเยี่ยงสุนัขรถม้าขนาดกลางมาจอดที่หน้าจวนสกุลเฉิน เฉินจิงเบ้ปากไม่สบอารมณ์ “ข้าก็คิดว่านางไปได้ดิบได้ดีอันใด ดูสิเจ้าคะท่านแม่รถม้าเล็กกระจ้อยร่อย ยังจะมีหน้าให้ท่านพ่อจัดเตรียมห้องหับอย่างดี ข้าอยากจะเห็นนักว่ากลับมาหนนี้นางจะหอบความลำบากใดมาอีก”เฉินจิ้นซงได้ยินเสียงก็วางมือจากงานตรงหน้า เขารุดเข้ามาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ถงเอ๋อร์”
สามวันสามคืนหลังจากอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายา เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้พักร่าง วันยกน้ำชาทั้งไทเฮาและไท่เฟยก็รบเร้าให้นางเร่งมีทายาท หลานชายก็แสนเชื่อฟังตั้งแต่หายจากอาการป่วยก็ใช้งานตัวเองไม่คิดถนอม“ที่แท้ท่านก็รู้เรื่องราวของหม่อมฉันหมดแล้ว นางไปหาพระองค์แต่เหตุใดไม่เคยปรากฏตัวให้หม่อมฉันเห็นเลย”“คงเพราะเจ้าไม่ได้มีความหวาดกลัวเช่นข้า นางจึงมิอาจพบเจ้าได้ เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ข้าก็ไม่เคยฝันถึงนางอีก”“เช่นนี้เองหรือ อันที่จริงนางน่าเห็นใจมากนะเพคะ บางทีอาจเป็นหม่อมฉันที่ช่วงชิงชีวิตมาจากนาง”จินชางหลงยกมือปิดปากคนในอ้อมแขน “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล นี่คือชะตาของนางและเจ้า มันควรเป็นเช่นนี้ จำเอาไว้เจ้ามิได้ช่วงชิงชีวิตผู้ใดมาทั้งสิ้น และไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากมิติใดข้าก็รักเจ้าที่สุด”เฉินอิ้งถงยิ้ม แววตาคู่สวยระริกไหว “เพคะ เชื่อท่านหม่อมฉันไม่พูดแล้ว ขอบคุณท่านที่เข้าใจและขอบคุณที่เป็นบุพเพของหม่อมฉันนะเพคะ”จินชางหลงยิ้มตอบ เขาโน้มจุมพิตลงบนหน้าผากหญิงสาวอย่างทะนุถนอม “ข้าเองก็ขอบคุณเจ้า หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีข้าจนถึงตอนนี้”“คืนนี้บรรทมเถิดเ
พิธีมงคลผ่านไปอย่างราบรื่น สตรีร่างระหงนั่งตัวตรงภายใต้ม่านมุ้งสีชาด มือเรียวประสานกันไว้พลางบีบแน่น เดิมทีเฉินอิ้งถงคิดว่าตนจะไม่ประหม่าและเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์นี้ไว้เป็นอย่างดี ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ นางกลับรู้สึกว่าความเป็นจริงและสิ่งที่คิดช่างแตกต่างกันลิบลับ“นายท่าน การแต่งงานต้องประหม่าเช่นนี้เชียวหรือเจ้าคะ”“เจ้าจะไปรู้อะไร ไม่เช่นนั้นหากเจ้าโตขึ้นก็ลองแต่งงานดูสิ”“น่าเสียดายที่เสี่ยวฮวาโตได้แค่นี้เจ้าค่ะ”เฉินอิ้งถงมันเขี้ยวมือเรียวเขี่ยปลายจมูกเล็กเบา ๆ เสี่ยวฮวาหัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั้กจี้ “นายท่านอย่ารังแกข้าสิเจ้าคะ อ้อ…จริงด้วย ในงานเสี่ยวฮวาแอบเห็นว่ามีผู้คนมอบของขวัญวันแต่งงานให้นายท่านและท่านอ๋องเยอะแยะเลย”“เจ้าอยากได้บ้างหรือ”เสี่ยวฮวาลอยโฉบไปมาอารมณ์ดี “เปล่าสักหน่อย เสี่ยวฮวาก็แค่กำลังคิดว่าจะให้ของขวัญใดกับนายท่านและท่านอ๋องดีเจ้าค่ะ”“เจ้ายังต้องให้สิ่งใดข้าอีก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ขอบคุณนะเสี่ยวฮวาฮวา” เฉินอิ้งถงยิ้มปลื้มปริ่ม หากนางไม่บังเอิญได้พบกับเจ้าภูติตัวน้อย ไม่รู้ว่าการเล่นนอกบทนาง
“กุ้ยเฟยเพคะ”มือเรียววางถ้วยชาในมือลงแช่มช้า “มาแล้วหรือ”“ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ” เฉินอิ้งถงประหม่า นางยังไม่เคยสนทนาและอยู่กับเสิ่นกุ้ยเฟยตามลำพังเช่นนี้มาก่อนใบหน้างดงามรับกับท่าทีสูงสง่าดุจนางพญาทว่าแววตากลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนนี่น่ะหรือมารดาที่ไม่แยแสโอรสตนเอง!“เจ้ามาตรงนี้สิ”เฉินอิ้งถงขาแข็งไม่กล้าขยับ นางจะริอ่านนั่งเทียบเคียงพระสนมเอกได้อย่างไร “เอ่อ…”“เป็นท่านหญิงแล้วจึงไม่เชื่อฟังใครงั้นหรือ”เฉินอิ้งถงเร่งคุกเข่า “หามิได้เพคะ เพียงแต่ที่ตรงนั้นหม่อมฉันมิอาจนั่งเทียบเคียงท่านได้”เฉินอิ้งถงอยากตบปากตนเองนัก เมื่อคืนกล่าวเรื่องคุณค่าของคนให้ซูซูฟังเสียดิบดี ทว่ายามนี้นางกลับตกม้าตายเสียเองเสิ่นเพ่ยเหราขบขัน “เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าไม่กี่ประโยค นั่งห่างกันมากเกินไปเกรงว่าข้าคงต้องตะโกนจนเจ็บคอ”“เพคะ”เฉินอิ้งถงจำใจย้ายร่างไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเสิ่นกุ้ยเฟย นางกำนัลรินชาส่งให้นาง“เจ้าชอบหลงเอ๋อร์หรือไม่”เฉินอิ้งถงที่ตั้งใจจิบชาให้คอโล่งแทบสำลัก เรื่อ
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท