นัยน์ตาคมเข้มเหลียวมองต้นเสียง “ไม่มีอะไร เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”
“อ้อ” จินชางหลงลดสายตามองสตรีที่นั่งคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ นางจับจ้องเขาแทบไม่วางตา
แววตาหวานเชื่อมเช่นนี้เป็นเหตุให้เขาขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเร่งปล่อยม่านลงด้วยความรวดเร็ว มือถูกย้ายมาวางบนตักพร้อมกับขยำผ้าเนื้อดีจนเกิดรอยยับย่น
“องค์ชาย เกิดประชวรตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” กงกงที่คอยปรนนิบัติองค์ชายห้าจินชางหลงอย่างใกล้ชิดมองสีหน้าแปลกประหลาดของเขาด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า”
ได้ยินเช่นนี้กงกงก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก
เสียงจากด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง
“จะทะเลาะกันข้าไม่ว่า แต่เหตุใดต้องมาขวางทางข้า หากเกิดเรื่องกับน้องชายข้า ข้าจะตัดศีรษะพวกเจ้าทุกคน”
ฝานฟ่านที่กำลังคิดแก้ต่างพลันหมอบกายลงอีกครั้ง “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่รู้ว่าท่านจะเสด็จผ่านทางนี้ ก็เลย…”
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม “…เจ้าก็เลยรังแกสตรีไร้ทางสู้ไม่สนถูกผิดอย่างนั้นหรือ”
เฉินอิ้งถงที่แสร้งค้อมศีรษะกายสั่นสะท้านลอบอมยิ้ม
เหยียนอ๋องผู้นี้แม้จะเป็นพระเอกธงแดงทว่ากลับไม่ไร้ศีลธรรมเสียทีเดียว แน่นอนว่าเรื่องดูแลราษฎรเขาย่อมตัดสินอย่างเที่ยงธรรม
เฉินอิ้งถงพอคาดเดาอุปนิสัยของจินเหยียนได้บ้าง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นพระเอกในซีรีส์ที่ดูมาแล้วตั้งหนหนึ่ง ชินอ๋องผู้นี้ในท้ายที่สุดก็ต้องย้อมสีผสมลงไปจนกลายเป็นธงสีเขียว
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมิได้มีเจตนาล่วงเกินขบวนเสด็จของท่าน ทว่าบุรุษผู้นั้นเขาข่มเหงสตรีไร้ทางสู้ หม่อมฉันเองก็ไร้แรงต่อต้าน”
“เป็นเช่นที่นางกล่าวมาหรือไม่”
น้ำเสียงแข็งกร้าวสาดประกายเย็นเยียบยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับฝานฟ่านขึ้นอีกหลายส่วน ใจของเขามันเต้นโครมครามดุจดั่งถูกของแข็งหวดตีซ้ำหลายหน ริมฝีปากค่อย ๆ อ้าเผยอ
“ท่านอ๋อง โปรดไว้ชีวิตบุตรชายกระหม่อมด้วย เขายังเด็กจึงมีความคิดเลอะเลือน หากเขาล่วงเกินท่านกระหม่อมยินดีให้เขารับโทษ”
จู่ ๆ ชายวัยกลางคนก็ปรากฏกายขึ้น ที่แท้เป็นเศรษฐีฝานหงจื้อ เขาทราบมาว่าวันนี้จะมีขบวนเสด็จของชินอ๋องจึงรุดมาตามบุตรชาย เพราะเกรงอีกฝ่ายจะเผลอทำงามหน้า แต่แล้วก็ไม่ทันการณ์ เมื่อเขามาถึงทุกอย่างดูเหมือนสายไปเสียแล้ว
หากชินอ๋องรู้ว่าฝานฟ่านมักเที่ยวข่มเหงเหล่าสตรีอ่อนแอจนเป็นนิสัยต้องไม่เก็บลูกชายของเขาเอาไว้แน่
จินเหยียนเหยียดยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าจะลงโทษบุตรชายของตนอย่างไร”
“กระหม่อมจะสั่งสอนเขาไม่ให้กระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้อีก” เอ่ยจบฝานหงจื้อก็ฟาดใบหน้าบุตรชายของตนนับสิบครั้งโดยไม่ยั้งมือ
ฝานฟ่านตะลึงลานพูดไม่ออก โลหิตตีตื้นขึ้นกลางลำคอจนรู้สึกถึงความเค็มและคาวในเวลาเดียวกัน
“เจ้าลงโทษบุตรชายตนเองหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ เมื่อครู่ข้ายังไม่ไต่สวนสิ่งใดด้วยซ้ำ เช่นนั้นก็หมายความว่าเรื่องที่แม่นางผู้นี้เอ่ยเป็นความจริงสินะ”
ฝานหงจื้อตกใจจนหน้าสั่น เป็นเขาที่ผลีผลามเพราะรู้นิสัยมุทะลุของบุตรชายดี ทำให้ยามนี้แม้คิดแก้ต่างก็คงไม่ทัน
จินเหยียนผินหน้ามองหญิงสาวที่นั่งหมอบนิ่ง ทั้งที่ถูกรังแกนางกลับไม่โวยวายหรือร้องไห้ฟูมฟายเฉกเช่นนิสัยสตรีทั่วไป “เจ้าลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
กิริยาท่าทางของเฉินอิ้งถงสะดุดตาเขาอย่างมาก แม้นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดากระนั้นกลับรู้กิริยาวางตัวได้อย่างเหมาะสม
อันที่จริงนางกำลังคิดหาแผนการใกล้ชิดขบวนเดินทางของเขาต่อไปอยู่ต่างหาก
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเขาข่มเหงเจ้า เช่นนั้นข้าจะไม่ถามว่าเขาทำอย่างไร เมื่อครู่…” นัยน์ตาคมหรี่ลงจนแคบ จากนั้นเบนมองไปยังสองพ่อลูกที่ยืนก้มหน้าเป็นเบื้อใบ้ “เจ้านามว่าอะไร”
ฝานหงจื้อเร่งคุกเข่า “กระหม่อมฝานหงจื้อ ส่วนนี่คือบุตรชายนามว่าฝานฟ่านพ่ะย่ะค่ะ” เขาดึงแขนฝานฟ่านให้คุกเข่าตาม อีกฝ่ายหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแต่ก็ต้องรีบทำตามบิดาอย่างเสียไม่ได้
“เศรษฐีฝาน ข้าเอ่ยเช่นนี้คงถูกกระมัง ดูจากการแต่งกายของพวกเจ้าสองพ่อลูกแล้วช่างแตกต่างจากทุกคนเสียเหลือเกิน”
เหล่าชาวบ้านที่อยู่รอบด้านต่างก้มหน้าเงียบ ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบตัดเย็บอย่างเรียบง่าย อีกอย่างจินเหยียนก็รู้มานานว่าอำเภอฉีหลินแห้งแล้งกันดาร กระนั้นเขากลับไม่คิดว่าจะได้เห็นบางคนแต่งตัวประหนึ่งนกยูงรำแพนอยู่ที่นี่ หากเทียบกับเขาซึ่งเป็นถึงอ๋อง สองพ่อลูกกลับดูแต่งกายมีอันจะกินมากกว่าตนเสียอีก
“กระหม่อมมิบังอาจ” ฝานฟ่านหน้าเผือดสี
“หึ” จินเหยียนเหยียดยิ้ม เสียงทุ้มกล่าวต่อ “เช่นนั้นก็ไปไต่สวนกันตามกระบวนการกฎหมาย คนผิดก็ว่าไปตามผิด แม่นางเจ้าคิดเห็นเช่นไร”
เฉินอิ้งถงตอบนอบน้อม “ท่านอ๋องทรงพระปรีชายิ่ง ทว่าหม่อมฉันเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา เกรงว่าคงมิอาจสร้างแรงกระเพื่อมให้พวกเขาได้”
“เจ้าจะบอกว่ากฎหมายที่นี่หละหลวมอย่างนั้นหรือ”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”
“เอาล่ะ ข้าเสียเวลามามากพอแล้ว”
หลังจบประโยคนายอำเภอก็พาเหล่าเจ้าหน้าที่กรูเข้ามาคุมตัวฝานฟ่านและไม่ลืมเชิญเฉินอิ้งถงไปให้ปากคำต่อ
“ท่านอ๋อง กระหม่อมต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น” นายอำเภอค้อมศีรษะ
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงผ่านทางมาเท่านั้น เรื่องทางนี้ฝากท่านนายอำเภอจัดการต่อด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ร่างระหงเดินขนาบรถม้าที่จอดนิ่งสนิทผ่านไปเนิบช้า นางเห็นปลายนิ้วเรียวยาวขาวซีดกำลังแง้มม่านเล็กน้อยก็ลอบอมยิ้ม ครั้นม่านเริ่มขยับหญิงสาวจึงแสร้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นเซื่องซึมประหนึ่งต้องการฟ้องอยู่กลาย ๆ
หากไปทั้งอย่างนี้เฉินอิ้งถงรู้ดีว่านางไม่มีทางรอดพ้นจากเงื้อมมือคนมีเงินไปได้แน่ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยคนที่ถูกเอาเปรียบได้โดยง่ายก็หลีกไม่พ้นชาวบ้านตาดำ ๆ วันนี้นางจะไม่ยอมจับเสือมือเปล่าเป็นอันขาด
จินชางหลงลอบมองเหตุการณ์ผ่านช่องแคบได้ยินและได้เห็นทุกสิ่ง สีหน้าเศร้าหมองของเฉินอิ้งถงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเวทนาหญิงสาวขึ้นมา นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ถูกข่มเหงรังแกไม่พอ ยังต้องไปให้ปากคำที่ศาลตัวคนเดียว เกรงว่าความยุติธรรมอาจกลายเป็นดั่งสายลม เพียงพัดผ่านไปพริบตาก็ดุจมิเคยมี
กระทั่งแผ่นหลังเล็กลับตาไป จินชางหลงจึงกล่าว “ท่านพี่ เรื่องรักษาไม่ต้องเร่งร้อนเพียงนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างไม่รู้ว่าเราจะไปถึงที่หมายก่อนฟ้ามืดหรือไม่ มิสู้เราอยู่ที่อำเภอฉีหลินสักคืนก่อนดีหรือไม่”
“ชางหลง จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อาการป่วยของเจ้าไม่อาจรอช้า ยิ่งตกดึกเจ้าก็จะยิ่งเหน็บหนาวเข้ากระดูก ถึงอย่างไรข้าก็จะเร่งพาเจ้าไปให้เร็วที่สุด”
“ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไร อีกอย่างข้ารู้ว่าท่านเองก็เห็นใจแม่นางน้อยคนนั้นใช่หรือไม่ พวกเราเป็นถึงคนของราชวงศ์ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยของราษฎรก็ไม่ควรมองข้าม ท่านเคยสอนข้าเอง”
จินเหยียนเลิกคิ้ว “เจ้าหมายถึง อยากไปช่วยนางอย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ…” จินชางหลงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ช่างเถิด เช่นนั้นเจ้าพักสักหน่อยก็ดี ข้าจะได้ถือโอกาสนี้ถามทางคนที่นี่ไปเสียเลย บางทีอาจได้เบาะแสมากขึ้น”
จินชางหลงยิ้มไปจนถึงดวงตา “ยังเป็นท่านพี่ที่เข้าใจข้าที่สุด”
“เจ้านะเจ้า สุขภาพก็ไม่ดียังอยากช่วยเหลือผู้อื่นอีก”
“ท่านจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก เมื่อครู่ข้าเองก็เห็นว่าท่านจัดการอย่างไร เพียงแต่ท่านเอาแต่กังวลเรื่องของข้าจึงปล่อยผ่านไปใช่หรือไม่”
จินเหยียนแค่นยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะหาโรงเตี๊ยมให้เจ้าก่อน”
จินชางหลงส่ายหน้า “ข้าอยากไปดูการตัดสินคดีนี้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
สองปีผันผ่าน ณ แคว้นเป่ยเซี่ย“พี่หญิงเฉิน เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ข้าขี่ม้าเก่งหรือไม่” จินม่านม่านกล่าวด้วยแววตาซุกซน“ม่านเอ๋อร์เก่งมาก ฝีมือขี่ม้ายิงธนูของเจ้าบุรุษยังต้องอับอาย”วันนี้จินม่านม่านรบเร้าอยากให้เฉินอิ้งถงออกมาขี่ม้าเป็นเพื่อน ทำให้แม่ลูกอ่อนเช่นนางต้องปลีกตัวจากลูกน้อยชั่วครู่ ส่วนเจ้าตัวน้อยในยามนี้ก็อยู่ในความดูแลของจินชางหลง และเหล่าแม่นมไม่รู้จะวางใจได้หรือไม่ ทั้งจินชางหลงและเฉินอิ้งถงล้วนเป็นพ่อแม่มือใหม่ด้วยกันทั้งคู่ หากเจ้าตัวเล็กลืมตาตื่นแล้วไม่พบหน้านางเกรงว่าต่อให้เป็นแม่นมหรือจินชางหลงเองก็คงเอาไม่ลง“บ่ายคล้อยแล้ว อากาศเริ่มอบอ้าวเรากลับกันเถิด”“ได้เพคะ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแวะไปหาเจ้าสองแสบด้วยได้หรือไม่”เฉินอิ้งถงยิ้ม “ได้แน่นอน เย็นนี้ม่านเอ๋อร์ก็อยู่ทานสำรับเย็นด้วยกันสิ”จินม่านม่านตาเป็นประกาย “ได้ด้วยหรือเพคะ”“ได้แน่นอน” เฉินอิ้งถงยิ้มทั้งสองเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักจวิ้นอ๋อง ครั้นถึงหน้าตำหนักก็ได้ยินเสียงเหล่านางกำนัลและแม่นมโหวกเหวกกันจ้าละหวั
“ท่านแม่นางเด็กเหลือขอนั่นจะกลับบ้านเหตุใดท่านพ่อจะต้องจัดเตรียมโน่นนี่ให้ลำบาก เงินทองที่นางทิ้งเอาไว้ก็ไม่ให้เราแตะสักอีกแปะ ทำราวกับว่าตนเองเป็นองค์หญิง ไปแล้วก็ยังมีหน้าอยากกลับมาที่นี่อีกหรือ” เฉินจิงเบ้ปากตั้งแต่นางลอบติดตามเฉินอิ้งถงไม่สำเร็จก็หอบสภาพสุดสังเวชกลับมาบ้าน เฉินจิงเข็ดขยาดเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคียดแค้นที่เฉินอิ้งถงกล้าทิ้งนางเอาไว้กลางทาง“ข้าจะไปรู้รึ พ่อของเจ้าไม่บอกอะไรเลย บอกเพียงให้เราปฏิบัติกับนางดี ๆ”“จะทำดีกับนางเพื่อสิ่งใด ท่านก็เห็นแล้วคราวก่อนอุตส่าห์พูดดีด้วยสมบัติพะเนินเป็นภูเขายังไม่คิดจะเจียดให้เราใช้ ชิ” เฉินจิงกระฟัดกระเฟียด คอยดูเถิดหากเฉินอิ้งถงมาถึง นางจะไล่ตะเพิดเยี่ยงหมูเยี่ยงสุนัขรถม้าขนาดกลางมาจอดที่หน้าจวนสกุลเฉิน เฉินจิงเบ้ปากไม่สบอารมณ์ “ข้าก็คิดว่านางไปได้ดิบได้ดีอันใด ดูสิเจ้าคะท่านแม่รถม้าเล็กกระจ้อยร่อย ยังจะมีหน้าให้ท่านพ่อจัดเตรียมห้องหับอย่างดี ข้าอยากจะเห็นนักว่ากลับมาหนนี้นางจะหอบความลำบากใดมาอีก”เฉินจิ้นซงได้ยินเสียงก็วางมือจากงานตรงหน้า เขารุดเข้ามาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ถงเอ๋อร์”
สามวันสามคืนหลังจากอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายา เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้พักร่าง วันยกน้ำชาทั้งไทเฮาและไท่เฟยก็รบเร้าให้นางเร่งมีทายาท หลานชายก็แสนเชื่อฟังตั้งแต่หายจากอาการป่วยก็ใช้งานตัวเองไม่คิดถนอม“ที่แท้ท่านก็รู้เรื่องราวของหม่อมฉันหมดแล้ว นางไปหาพระองค์แต่เหตุใดไม่เคยปรากฏตัวให้หม่อมฉันเห็นเลย”“คงเพราะเจ้าไม่ได้มีความหวาดกลัวเช่นข้า นางจึงมิอาจพบเจ้าได้ เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ข้าก็ไม่เคยฝันถึงนางอีก”“เช่นนี้เองหรือ อันที่จริงนางน่าเห็นใจมากนะเพคะ บางทีอาจเป็นหม่อมฉันที่ช่วงชิงชีวิตมาจากนาง”จินชางหลงยกมือปิดปากคนในอ้อมแขน “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล นี่คือชะตาของนางและเจ้า มันควรเป็นเช่นนี้ จำเอาไว้เจ้ามิได้ช่วงชิงชีวิตผู้ใดมาทั้งสิ้น และไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากมิติใดข้าก็รักเจ้าที่สุด”เฉินอิ้งถงยิ้ม แววตาคู่สวยระริกไหว “เพคะ เชื่อท่านหม่อมฉันไม่พูดแล้ว ขอบคุณท่านที่เข้าใจและขอบคุณที่เป็นบุพเพของหม่อมฉันนะเพคะ”จินชางหลงยิ้มตอบ เขาโน้มจุมพิตลงบนหน้าผากหญิงสาวอย่างทะนุถนอม “ข้าเองก็ขอบคุณเจ้า หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีข้าจนถึงตอนนี้”“คืนนี้บรรทมเถิดเ
พิธีมงคลผ่านไปอย่างราบรื่น สตรีร่างระหงนั่งตัวตรงภายใต้ม่านมุ้งสีชาด มือเรียวประสานกันไว้พลางบีบแน่น เดิมทีเฉินอิ้งถงคิดว่าตนจะไม่ประหม่าและเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์นี้ไว้เป็นอย่างดี ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ นางกลับรู้สึกว่าความเป็นจริงและสิ่งที่คิดช่างแตกต่างกันลิบลับ“นายท่าน การแต่งงานต้องประหม่าเช่นนี้เชียวหรือเจ้าคะ”“เจ้าจะไปรู้อะไร ไม่เช่นนั้นหากเจ้าโตขึ้นก็ลองแต่งงานดูสิ”“น่าเสียดายที่เสี่ยวฮวาโตได้แค่นี้เจ้าค่ะ”เฉินอิ้งถงมันเขี้ยวมือเรียวเขี่ยปลายจมูกเล็กเบา ๆ เสี่ยวฮวาหัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั้กจี้ “นายท่านอย่ารังแกข้าสิเจ้าคะ อ้อ…จริงด้วย ในงานเสี่ยวฮวาแอบเห็นว่ามีผู้คนมอบของขวัญวันแต่งงานให้นายท่านและท่านอ๋องเยอะแยะเลย”“เจ้าอยากได้บ้างหรือ”เสี่ยวฮวาลอยโฉบไปมาอารมณ์ดี “เปล่าสักหน่อย เสี่ยวฮวาก็แค่กำลังคิดว่าจะให้ของขวัญใดกับนายท่านและท่านอ๋องดีเจ้าค่ะ”“เจ้ายังต้องให้สิ่งใดข้าอีก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ขอบคุณนะเสี่ยวฮวาฮวา” เฉินอิ้งถงยิ้มปลื้มปริ่ม หากนางไม่บังเอิญได้พบกับเจ้าภูติตัวน้อย ไม่รู้ว่าการเล่นนอกบทนาง
“กุ้ยเฟยเพคะ”มือเรียววางถ้วยชาในมือลงแช่มช้า “มาแล้วหรือ”“ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ” เฉินอิ้งถงประหม่า นางยังไม่เคยสนทนาและอยู่กับเสิ่นกุ้ยเฟยตามลำพังเช่นนี้มาก่อนใบหน้างดงามรับกับท่าทีสูงสง่าดุจนางพญาทว่าแววตากลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนนี่น่ะหรือมารดาที่ไม่แยแสโอรสตนเอง!“เจ้ามาตรงนี้สิ”เฉินอิ้งถงขาแข็งไม่กล้าขยับ นางจะริอ่านนั่งเทียบเคียงพระสนมเอกได้อย่างไร “เอ่อ…”“เป็นท่านหญิงแล้วจึงไม่เชื่อฟังใครงั้นหรือ”เฉินอิ้งถงเร่งคุกเข่า “หามิได้เพคะ เพียงแต่ที่ตรงนั้นหม่อมฉันมิอาจนั่งเทียบเคียงท่านได้”เฉินอิ้งถงอยากตบปากตนเองนัก เมื่อคืนกล่าวเรื่องคุณค่าของคนให้ซูซูฟังเสียดิบดี ทว่ายามนี้นางกลับตกม้าตายเสียเองเสิ่นเพ่ยเหราขบขัน “เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าไม่กี่ประโยค นั่งห่างกันมากเกินไปเกรงว่าข้าคงต้องตะโกนจนเจ็บคอ”“เพคะ”เฉินอิ้งถงจำใจย้ายร่างไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเสิ่นกุ้ยเฟย นางกำนัลรินชาส่งให้นาง“เจ้าชอบหลงเอ๋อร์หรือไม่”เฉินอิ้งถงที่ตั้งใจจิบชาให้คอโล่งแทบสำลัก เรื่อ
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท