ว่านชิงอีเดินตามเขาออกมาพร้อมกับเสี่ยวหม่านและปิงปิง ที่ยามนี้งงกับสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสองคนพานางเดินไปที่ลับตาคน ก่อนจะหันกลับมามองนางอย่างพิจารณา สายตาคมกริบดั่งใบมีดจ้องมองนางอย่างจับผิด
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเตี๊ยมกันมา?” ว่านชิงอีรีบนึกหาคำพูดว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่จู่ๆ ดาบก็พาดมาบนคอ ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติ นึกหาคำพูดไม่ออกเลยทีนี้เพราะหวาดกลัวสุดขีด “ข้ายังเป็นเด็กก็พูดไปเรื่อยเปื่อยท่านอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีรีบพูดออกไปใบหน้าซีดเผือด เสี่ยวหมานเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง แม้จะเป็นห่วงนางมากก็ตาม “แล้วที่เจ้าพูดว่าสามารถมองเห็นวิญญาณ อันนั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอีกสินะ” บุรุษหน้าหล่อแต่ดูอำมหิตอีกคนถามขึ้น แล้วจะให้นางตอบอย่างไรดีละ “ชะ..ใช่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีก้มหน้าเอ่ยตอบเสียงอุบอิบ เจินจางเหว่ยแค่นยิ้มมุมปากกับความไร้สาระของนาง “ข้าเกลียดคนชอบโกหกและพูดเล่นไปเรื่อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง” คราวนี้นำ้เสียงเขาดูเยียบเย็นมากจนนางขนลุก “ข้าเห็นวิญญาณจริงๆ เจ้าค่ะ” คราวนี้ว่านชิงอีรีบตอบเร็วปรือ “พิสูจน์สิ” เจินซีห่าวเอ่ยบอกนางน้ำเสียงกดดัน ว่านชิงอีเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาและรำคาญกับบุรุษสองคนนี้ หน้าตาดีหล่อเหล่าแล้วอย่างไร นางไม่มีทางให้มารังแกได้ง่ายๆ หรอกนะ แต่ว่าก็ได้เพียงแค่คิด . “แล้วจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร ตอนนี้ข้ายังไม่เห็นวิญญาณใครเลย” “ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง ให้คนของเจ้าไปแจ้งคนที่จวนว่า เจ้าไปกับข้าเหว่ยอ๋อง แล้วข้าจะมาส่งเจ้าเอง” ว่านชิงอีได้ยินก็ตกใจ คนคนนี้คือเหว่ยอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์หรอกหรือ แต่ทำไมดูโหดเหี้ยมและป่าเถื่อน เหมือนไม่ใช่เชื้อพระวงศ์เอาเสียเลย ว่านชิงอีพยักหน้าให้กับเสี่ยวหมาน ก่อนจะตามเขาสองคนไปขึ้นรถม้า พอขึ้นมาบนรถม้าเขาสองคนก็ยกแขนขึ้นกอดอกแล้วหลับตา ว่านชิงอีจึงแอบสนทนากับปิงปิงทางจิต “เจ้าว่าเขาจะพาข้าไปไหน?” “น่าจะพาไปพิสูจน์เรื่องวิญญาณนะเจ้าค่ะ” “แต่ว่าข้าจะทำได้หรือปิงปิงเจ้าต้องช่วยข้านะข้าเปิดเนตรแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็นวิญญาณ ต้องโทษปากข้าที่พาซวย” ว่านชิงอีเริ่มหวาดวิตก จะทำอย่างไรดีหากนางมองไม่เห็นชีวิตนางจบแน่ “อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยเจ้าค่ะ ท่านอาจมองเห็นก็อาจเป็นได้” ปิงปิงรีบให้กำลังใจ ว่านชิงอีถอนใจออกมาหลายต่อหลายครั้ง จนสองบุรุษเริ่มรำคาญ “เจ้าจะถอนใจทำไมหนักหนา ข้าเริ่มรำคาญเจ้าเต็มที หากไม่อยากตายก็อยู่เงียบๆ” จบประโยคว่านชิงอีแทบกลั้นหายใจ วันนี้นางจะรอดหรือไม่ ความรู้สึกของนางในรถม้า ช่างยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์เมื่อไหร่จะถึงสักที และแล้วรถม้าก็ได้หยุดลง นางถึงถอนใจอีกครั้งอย่างโล่งอก ว่านชิงอีรีบลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออก เพราะในรถม้านางแทบไม่กล้าหายใจ เจินจางเหว่ยและเจินซีห่าวมองนางอย่างเฉยชา ก่อนเหว่ยอ๋องจะบอกให้นางเดินตามเขาไป ว่านชิงอีเดินตามเขาสองคนจนมาถึงห้องๆ หนึ่ง หน้าห้องมีทหารองค์รักษ์เฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา พอเขามาถึงองครักษ์ก็รีบเปิดประตูให้ทันที เหว่ยอ๋องเดินเข้าไปที่เตียง ที่มีชายผู้หนึ่งนอนอยู่ และมีสตรีใบหน้างดงามผู้หนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง และมีหมออีกสองคนคอยดูอาการ “อาการของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง” ? “ยังไม่ดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยตอบอย่างเป็นกังวล เหว่ยอ๋องหันมามองว่านชิงอี “เจ้าเห็นอะไรบ้างในห้องนี้ ตอบตามความจริง” เขาเน้นย้ำว่านางห้ามโกหก ว่านชิงอีกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะหันไปมองปิงปิง “บอกไปตามที่คุณหนูเห็นก็ได้แล้ว” ปิงปิงเอ่ยขึ้น ว่านชิงอีจึงมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะพูดไปตามที่เห็น “ท่านอ๋องสตรีที่นั่งข้างเตียงเป็นใครหรือเพคะนางดูเป็นห่วงคนผู้นั้นมากเลยเพคะ” พอนางพูดจบ ภายในห้องก็เงียบกริบ เหว่ยอ๋องหันไปสบตากับเจินซีห่าว นี่นางมองเห็นเสด็จแม่จริงๆ หรือ ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เสด็จพอละเมอพูดกับเสด็จแม่ก็เป็นเรื่องจริง “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้พูดไปเรื่อย” “หม่อมฉันพูดความจริงไม่โกหกแน่นอนเพคะ” วิญญาณพระสนมกุ้ยเฟยพอรู้ว่า ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณของนาง ก็รีบลุกขึ้นมาแล้วเดินมาจับมือของว่านชิงอี “เจ้ามองเห็นข้ารึ?” ว่านชิงอีพยักหน้าเพราะไม่รู้ว่านางเป็นใคร “เจ้าช่วยบอกกับเหว่ยอ๋องให้ข้าที ว่าข้าพระสนมกุ้ยเฟยมารดาของเขายืนอยู่ตรงนี้” นางกล่าวจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้มราวทำนบแตก “ท่านอ๋องพระสนมกุ้ยเฟยให้หม่อมฉันบอกกับพระองค์ว่า พระนางยืนอยู่ตรงนี้” เหว่ยอ๋องได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็แดงก่ำ “เสด็จแม่” สุดท้ายว่านชิงอีก็ต้องกลายเป็นล่ามให้กับคนและวิญญาณ เพราะพระสนมมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับเหว่ยอ๋อง เลยกลายเป็นว่านางต้องมารับรู้เรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ เรื่องราวที่นางไม่สมควรได้รับรู้ เพราะนางเป็นใครก็ไม่รู้ ยิ่งเป็นล่ามนานขึ้นเท่าใด ชีวิตของนางก็เหมือนจะสั้นลงเรื่อยๆ ความรู้สึกของนางยามนี้ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี “เจ้าไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่เจ้าได้รับรู้วันนี้ จะทำให้เจ้าได้รับอันตราย บอกเขาไปว่าข้าบอกให้เขาคอยดูแลเจ้า” “ให้บอกท่านอ๋องว่า พระสนมบอกท่านอ๋องให้คอยดูแลหม่อมฉันหรือเพคะ! หม่อมฉันว่าคงไม่เหมาะ” ว่านชิงอีรีบปฎิเสธทันที ถึงแม้เขาจะหล่อเหล่าแต่ว่าดูโหดเหี้ยมมากเลย เหว่ยอ๋องหรี่ตามองนาง ที่นั่งสนทนากับวิญญาณมารดาของเขาอย่างจับผิด นางเสแสร้งเก่งหรือว่านี่คือเรื่องจริงกันนะ เขายังไม่อยากปักใจเชื่อ “เหตุใดข้าถึงไม่เห็นนาง?” เขาถามขึ้น “พระองค์อยากเห็นพระสนมหรือเพคะ” “อืม” เขาพยักหน้า ว่านชิงอีจึงลองจับมือพระสนมและจับมือเขา โดยใช้นางเป็นตัวเชื่อม และแล้วเขาก็เห็นมารดาขึ้นมาจริงๆ ว่านชิงอีคิดว่าที่จริงนางน่าจะลองใช้วิธีนี้ตั้งแต่ตอนแรก เสียเวลาให้นางเป็นล่ามตั้งนาน จากนั้นพวกเขาคุยกันนางก็นั่งฟัง จนตาก็เริ่มปรือเพราะง่วงจนนั่งหลับสัปหงก พระสนมมองนางอย่างเอ็นดู “เจ้าชื่อว่าอะไร? “เพคะ” ว่านชิงอีสะดุ้งตื่นจากอาการเคลิ้มหลับ เมื่อพระสนมเอ่ยถามขึ้นมา “หม่อมฉันนามว่าว่านชิงอีเพคะ” “ข้าอยากให้เจ้าลองใช้วิธีนี้กับฝ่าบาทดูหน่อย” “คนนี้คือฝ่าบาทหมายถึงฮ่องเต้หรือเพคะ?” พระสนมกุ้ยเฟยหลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูกับความใสซื่อของนาง ว่านชิงอีจึงเอื้อมมือไปจับมือของฮ่องเต้ แต่ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ ต่างๆ ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้ ก็ทำเอานางตกใจ เหตุใดนางจะต้องมารับรู้และเห็นเรื่องราวของราชวงศ์ นางไม่อยากอายุสั้น พระสนมกุ้ยเฟยและเหว่ยอ๋องที่เห็นท่าทางของนาง ก็นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น “เป็นอะไร” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เอ่อ..หม่อมฉันเห็น เหมือนจะเป็นขันทีข้างกายฝ่าบาท คิดไม่ซื่อวางยาฝ่าบาทเพคะ” “เจ้าว่าอย่างไรนะ! แล้วเหตุใดหมอหลวงถึงตรวจไม่พบเจ้าพูดบ้าอะไรกัน!” เหว่ยอ๋องหลุดบันดาลโทสะคว้าดาบจ่อไปที่ลำคอของนาง แต่เจินซีห่าวรีบเข้ามาขวางไว้ทันที ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติหวาดกลัวสุดขีด นำ้ตาคลอเบ้าด้วยความหวาดกลัว คนคนนี้บ้าไปแล้วต่อไปนางจะอยู่ให้ห่างจากเขา อีพรี่ใจเย็นคะ!น้องตกใจกลัวหมดแล้วเหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า