“เจ้าอยากได้อะไรเป็นการตอบแทน” ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นอย่างใจกว้าง ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้นก็แทบระงับอาการตื่นเต้นดีใจเอาไว้ไม่อยู่
“หม่อมฉันขอเป็นตั๋วเงินหมื่น….” นางเหลือบเห็นเหว่ยอ๋องจ้องมองมาที่นางเขม็ง เขาจะคิดว่านางโลภมากหรือเปล่านะ หากพูดออกไปเช่นนั้น แต่ว่าชีวิตอยู่ได้ก็ต้องใช้เงินนะว่านชิงอี ทำไงดีลำบากใจจริงเชียว “หม่อมฉันแล้วแต่พระองค์จะให้เลยเพคะ” ฮ่องเต้มองความอยู่เป็นของนางก็ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู เลยนึกอยากแกล้งนางขึ้นมา “งั้นเราพระราชทานรางวัลให้เจ้าหมั้นกับเหว่ยอ๋องเป็นอย่างไร” ว่านชิงอีตกใจตาเบิกกว้าง ก่อนจะรีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ดีเพคะท่านอ๋องใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตหม่อมฉันไม่อยากตายเร็ว ขอเป็นตั๋วเงินหมื่นตำลึงก็พอเพคะ” พอพูดออกไปแล้ว ว่านชิงอีก็ต้องรีบเอามือมาปิดปาก อุ๊บส์!นางพูดอะไรออกไปแล้ว ดูสายตาของเขาสิถ้าฆ่านางได้คงฆ่าไปแล้วน่ากลัวชะมัด ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอีกครั้งด้วยความชอบใจ ในความตรงไปตรงมาของนาง “ได้เดี๋ยวเราจะให้คนนำไปให้เจ้าที่จวน ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเราในวันนี้ ว่าแต่เราต้องกินยาให้หมดที่เจ้าต้มหรือ?” “เพคะต่อไปร่างกายของพระองค์จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว” ว่านชิงอียกยิ้ม “เหว่ยอ๋องไปส่งนางที่จวน” “ไม่ๆ เป็นไรเพคะแค่ให้ทหารไปส่งก็พอเพคะ” ว่านชิงอีรีบปฎิเสธอย่างรวดเร็ว แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมบอกว่า จะให้ผู้มีพระคุณกลับจวนอย่างไร้เกียรติได้อย่างไร สุดท้ายนางจึงต้องมานั่งบนรถม้าด้วยกันกับเขา แต่นางก็พยายามนั่งชิดมุมติดประตู เพราะภาพที่เขาดึงดาบออกพาดคอนางมันยังติดตา นางจึงนั่งให้เงียบที่สุด เหว่ยอ๋องปรายตามองนางที่นั่งชิดประตูอย่างหงุดหงิด หวาดกลัวเขาขนานนั้นเลยหรือ แต่จะโทษนางก็ไม่ถูกจู่ๆ มีดาบมาจ่อคอ เป็นใครบ้างไม่กลัว “เบียดประตูขนานนั้นเจ้าไม่เข้าไปสิงมันเลยละ” “...” เงียบนางไม่ตอบกลับมา “มานั่งดีๆ ตรงนี้” “....” นางดื้อขนานนี้เลยหรือ พูดด้วยก็ไม่พูดตอบ บอกให้นางมานั่งก็ไม่มา “เจ้าอยากตายหรือ” เขาเอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น ว่านชิงอีตกตะลึงหวาดกลัวสุดขีด รีบลุกพรวดพราดพุงออกจากรถมา แล้วกระโดดลงจากรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่ทันที เหว่ยอ๋องก็ตกใจไม่คาดคิดว่านางจะตัดสินใจรวดเร็วเช่นนี้ ก่อนจะได้ยินเสียงร้องของนาง” โอ้ย!” ไวเท่าความคิดเขารีบกระโจนออกไปทันที รถม้าก็ถูกบังคับให้หยุดลงไม่ห่างออกไป ร่างของว่านชิงอีนั่งอยู่กับพื้นใบหน้าแสดงความเจ็บปวด เพราะตอนกระโดดลงมาข้อเท้านางพลิก เหว่ยอ๋องมองนางด้วยความระอาดื้อจนเจ็บตัวจนได้ ก่อนจะเดินมาแล้วย่อตัวนั่งลง มองมือนางที่ลูบคลำข้อเท้าของตนเองปอยๆ ว่านชิงอีไม่มองหน้าเขา นางเมินหน้าไปทางอื่นเพราะยิ่งเจ็บข้อเท้า ก็ยิ่งนึกโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้นางตัดสินใจกระโดดลงมา เหว่ยอ๋องตัดสินใจอุ้มนาง แต่ว่านชิงอีไม่ยอมถีบเท้าดิ้นไปดิ้นมา เหว่ยอ๋องทนไม่ไหวกับความดื้อดึงของนาง จึงฟาดฝ่ามือลงไปบั้นท้ายของนางอย่างแรง ว่านชิงอีสะดุ้งสุดตัวเมื่อความเจ็บพุงเข้ามาที่บั้นท้าย นี่เขากล้าตีนาง!บุรุษผู้นี้สารเลวจริงๆ พอเขาเห็นนางเงียบไปและเลิกดิ้น ก็ก้าวเท้าเดินไปขึ้นรถม้า พอเข้ามานั่งในรถม้าเขาก็ให้นางนั่งบนตักของเขา ก่อนจะจับข้อเท้าของนางขึ้นมาดู แต่จู่ๆ ว่านชิงอีก็คว้าลำคอเขา ก่อนจะกัดลงไปสุดแรง “อ๊ากก!เจ้าเป็นหมาหรืออย่างไร” เหว่ยอ๋องกัดฟันเอ่ยออกมา แต่ก็ปล่อยให้นางกัดจนพอใจ พอนางผละออกมา เหว่ยอ๋องก็เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและสายตาของความเคียดแค้นของนาง ดวงตาของนางแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้า เขาจ้องมองนางนิ่งไม่พูดสิ่งใดออกมา นางก็จ้องมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา เลือดบนลำคอของเขาไหลไม่หยุด เหว่ยอ๋องกอดกระชับร่างของนางแล้วจับศีรษะของนางให้ซบบนอกเขา ก่อนจะลูบหลังนางอย่างปลอบโยน ตบหัวแล้วลูบหลังเชอะ!นางไม่มีทางให้อภัย เหว่ยอ๋องตัดสินพาว่านชิงอีไปโรงหมอ เพื่อตรวจดูข้อเท้าของนาง เขายังคงอุ้มนางเดินเข้าไปในโรงหมอ อู่ถงองครักษ์ข้างกายเหว่ยอ๋องรีบเข้าไปแจ้งหมอ หมอที่ประจำเวรในวันนี้จึงรีบพาเขาไปที่ห้องคนไข้ เหว่ยอ๋องยังคงไม่ปล่อยนางลง แต่ให้นางนั่งอยู่บนตักของเขา ว่านชิงอีแอบมองเขาที่นั่งเงียบขรึม โอบร่างนางอยู่หลวมๆ ก่อนหมอจะเข้ามาอธิบายว่า เส้นข้อเท้านางพลิกคงต้องใช้วิธีดึงเส้นให้กลับคืน แล้วทายาประคบเย็น แต่ช่วงที่ดึงข้อเท้านางอาจจะเจ็บมาก เหว่ยอ๋องฟังหมออธิบายก็พยักหน้ารับรู้ “อดทนเจ็บแป้บเดียว” เขาก้มลงมาบอกนาง ว่านชิงอีก็พยักหน้ารับ แต่แล้วจู่ๆ ความเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตรงบริเวณข้อเท้าของนาง ว่านชิงอีตกใจร้องกรี๊ดผวาเข้ากอดเขาแน่น เหว่ยอ๋องลูบหลังนางไปมาอย่างให้กำลังใจ แต่พอความเจ็บหายไป ความเขินอายก็เข้ามาแทน ว่านชิงอีหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อคล้ายผลลูกท้อ เหว่ยอ๋องเผลอมองแก้มนางอย่างเอ็นดู พอทายาและพันข้อเท้าเสร็จ เขาก็อุ้มนางพาเดินพาขึ้นรถม้า นางได้แต่คิดว่าเขาไม่หนักหรืออย่างไร พอขึ้นมานั่งบนรถม้าเขาก็ยังให้นางนั่งอยู่บนตัก ไม่ปล่อยให้นางไปนั่งบนเบาะ “ท่านอ๋องไม่หนักหรือเพคะ” นางถามเขาออกไปเพราะกลัวว่าจะทำความลำบากให้เขา แต่เขากลับพูดขึ้นมาอีกอย่าง “ข้าขอโทษ ทำอย่างไรเจ้าถึงจะหายโกรธ” ว่านชิงอีได้ยินก็เงยหน้ามองเขา และสำรวจสีหน้าและความจริงใจ ว่าคำพูดของเข้าเชื่อถือได้แค่ไหน เขาก็มองหน้านางกลับนิ่งๆ ว่านชิงอียิ้มเจ้าเล่ห์มีแผนขึ้นมาทันที “ไม่มีทาง!ยกเว้นท่านจะ….” “จะอะไร?” “ท่านอ๋องต้องจ่ายค่าทำขวัญที่ทำให้หม่อมฉันตกใจและบาดเจ็บเป็นตั๋วเงินห้าพันตำลึง” ว่านชิงอียกแขนขึ้นกอดอกอย่างคนเหนือกว่า เหว่ยอ๋องมองนางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างมันเขี้ยว นางอายุเท่านี้ยังเจ้าเล่ห์ได้ขนานนี้ แต่ว่าเขาจะยอมหรือไม่นั้น? แน่นอนว่าต้องยอม “ได้เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้คนเอาไปให้ที่จวน” พอเขาตอบกลับมา ว่านชิงอีก็ตาโตด้วยความดีใจ “ท่านอ๋อง!ท่านดูหล่อเหล่าขึ้นมาเลยเพคะ” “จริงใจหน่อย” ดูก็รู้ว่านางเสแสร้ง พอถึงจวนสกุลว่านเขาก็อุ้มนางไปส่ง และอธิบายสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าที่มารอฟังข่าวถึงกับหน้าบานยิ้มไม่หุบ ท่านนักพรตทำทายไว้มิมีผิดเลย หลานสาวนางคนนี้มีบุญมากบารมี ว่านจื่อหยวนก็ยืนอึ้งตกอยู่ในภวังค์ ท่านอ๋องอุ้มนางมาส่งไม่อยากเชื่อ ท่านอ๋องผู้แสนเย็นชาเหี้ยมโหด จะมีมุมอ่อนโยนเช่นนี้ ว่านซูอวี้ถึงกับพูดไม่ออกรีบหยิบพัดมาพัดให้ตัวเอง เพื่อดับความร้อนระอุภายในใจ ชายหญิงถูกเนื้อต้องตัว ต่อไปนางจะออกเรือนได้อย่างไร ว่านชิงหลินอยู่ในอารมณ์เพ้อฝัน ท่านอ๋องอุ้มว่านชิงอีเข้ามาส่งถึงในจวน เหมือนในหนังสือที่มีขายในท้องตลาด ความรักช่างสวยงาม ว่านชิงหลานนั่งเด็ดดอกไม้อย่างเหม่อลอย บุรุษผู้โหดเหี้ยมอำมหิตร้ายกับคนโลก แต่อ่อนหวานและอ่อนโยนกับนางเพียงผู้เดียว ว่านชิงอีมองอาการของแต่ละคนอย่างไม่เข้าใจ เป็นอะไรกันไปหมดไม่มีใครสนใจนางเลยเหล่าบรรดาขุนนางพากันปาดเหงื่อกับปริศนาคำทายของท่านหญิง เหล่าคุณหนูและฮูหยิน ต่างพากันขบคิดกับปริศนาคำทายกันอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว และรัชทายาท ก็พากันขบคิดว่าปริศนาคำทายนี้หมายถึงสิ่งใด นางบอกเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน อันนี้ง่ายสุดแล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้แอบดูคำตอบที่นางให้มาก็แอบยิ้มด้วยความสะใจ คำตอบที่ส่งมาให้ฮ่องเต้ตรวจคำตอบยังไม่มีใครที่ตอบถูกเลยสักคน การสั่งสอนคนบางทีก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเสมอไป ธูปที่จุดบอกเวลาไหม้ลงเรื่อยๆ สร้างความกดดันให้กับเหล่าขุนนางเป็นอย่างมาก ก่อนขันทีจะประกาศหมดเวลา ทำเอาเหล่าขุนนางตกใจหน้าซีด เหตุใดเวลาถึงได้เดินเร็วนักเล่า “ทูลฝ่าบาทขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฮ่องเต้หันไปมองว่านชิงอี ว่าจะเอาอย่างไร นางก็พยักหน้าให้โอกาสอีกครึ่งชั่วยาม “ได้เราจะให้เวลาอีกครึ่งชั่วยาม หากยังไม่ได้คำตอบก็ถือว่าไม่มีใครหาคำตอบได้ เราจะเก็บของรางวัล500ตำลึงเข้ากองคลัง” ไม่นานครึ่งชั่วยามก็มาถึงอีกครั้ง เหล่าขุนนางเหงื่อตก เพราะไม่สามารถคิดหาคำตอบได้ทันเวลา “เอาละหมดเวลาแล้ว วันนี้ท่านหญิงได้ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย ขุนนางของเ
หลังจากเรื่องราวคลี่คลาย ทุกอย่างก็กลับมาปกติอีกครั้ง วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลอง การแต่งตั้งท่านหญิงจวินจู่ ซึ่งฝ่าบาทจัดงานนี้เพื่อนางโดยเฉพาะ ตระกูลต่างๆ มาพร้อมฮูหยินและคนในครอบครัว แม้จะไม่ยินดีที่จะมาร่วมงาน แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ พองานใกล้เริ่มทุกคนก็พากันไปนั่งประจำที่ ที่ทางวังหลวงจัดเอาไว้ตามตำแหน่งของแต่ละคน วันนี้ท่านหญิงจวินจู่มาในชุดอาภรณ์สีขาวขลิบสีชมพูอ่อน ประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวเข้าชุด นางไม่ได้ประโคมแต่งมากจนเกินไป ตั้งใจให้ดูเรียบๆ แต่ดูดี ถึงจะเป็นเจ้าของงาน แต่ก็ไม่อยากโดดเด่นจนเกินไป พอนางมาถึงบริเวณจัดงาน ก็เห็นวิญญาณของพระสนมกุ้ยเฟยยืนรออยู่ นางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าดูงดงามมาก” “ขอบพระทัยเพคะ” ว่านชิงอียิ้มหวานให้พระสนม และก้าวเดินเข้างานไปพร้อมกับนาง ก่อนจะไปยอบกายถวายความเคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระที่นั่ง “ท่านหญิงวันนี้ท่านดูงดงามมากจริงๆ เอาละไปนั่งที่ของท่านเถิดงานจะเริ่มแล้ว” ฮ่องเต้เจินเฉินหลงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอนางนั่งลงดนตรีก็เริ่มบรรเลง เหล่านางกำนัลก็เริ่มทำหน้าที่ ยกอาหารและสุรามาวาง ว่านชิงอีมองอาหารอย่างสนใจ อาหารในว
“ท่านอ๋องยามนี้ผู้คนร่ำลือถึงข่าวท่านหญิง ว่าคบบุรุษทีเดียวสามคน ซึ่งในข่าวลือมีท่านร่วมอยู่ด้วย” อู่ถงหลังจากออกไปทำธุระกลับมา ได้ยินข่าวลือเรื่องท่านหญิงจึงรีบมารายงาน “เล่ามาให้ละเอียด” อู่ถงจึงเริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาอย่างละเอียดให้เขาฟัง ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่พอใจ ใครกันนะที่สร้างข่าวพวกนี้ขึ้น แล้วนางจะทนคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? ช่วงนี้เขาต้องห่างจากนางออกมาหรือว่าเขาต้องทำตัวปกติดีนะ แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อองครักษ์เข้ามารายงานว่า องค์ชายซีห่าวและรัชทายาทมาขอเข้าพบ เหว่ยอ๋องถอนใจ ดีเหมือนกันพวกเขามา จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรดี เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ “เสด็จพี่ท่านได้ข่าวหรือยัง?” องค์ชายซีห่าวร้อนใจร้องถามตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง “เหว่ยอ๋องเราจะทำอย่างไรกันดี นางต้องทุกข์ใจมากเป็นแน่ เรื่องนี้ข้าต้องหาต้นตอคนปล่อยข่าวให้ได้” รัชทายาทเอ่ยน้ำเสียงเจ็บแค้น กับคนสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นจริง “เราจะโทษคนปล่อยข่าวก็ไม่ถูก พวกเราออกไปข้างนอกกับนางจริงมีคนเห็นมากมาย เราควรคิดหาวิธีดีกว่า ว่าต่อไปพวกเราจะไปมาหาสู่นางได้อย่างไร เพราะนางเหมือนจะอยากให้พวกเราช่
จางเจียอีพอกลับมาถึงจวน ก็รีบตรงไปหาฮูหยินจางทันที นางต้องพยายามข่มเก็บอาการเคืองขุ่นและน้อยใจรัชทายาทเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมา เขาปกป้องสตรีนางนั้นอย่างออกหน้า แม้เขาและนางจะยังไม่ได้หมั้นหมายแต่ แต่ก็ได้มีการพูดคุยถึงว่าจะให้หมั้นหมายกัน ตั้งแต่ตระกูลจางรับรู้ข่าวนั้น ก็ได้ให้นางเตรียมตัวฝึกฝนกิริยามารยาท เพราะหากหมั้นและแต่งกับรัชทายาท นั้นก็หมายถึงตำแหน่งฮองเฮาในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นนางจึงต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด แต่ว่าวันเวลาผ่านไปรัชทายาท ก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลจาง เจอกันในงานก็เพียงทักทาย ยามนี้ยังมาแสดงท่าทีแบบนี้ ใจของนางเหมือนแหลกสลาย พอมาถึงเรือนมารดา จางเจียอีก็โผเข้ากอดนางแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างอัดอั้น จากนั้นก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฮูหยินจางฟัง ฮูหยินจางได้ฟังก็นึกขุ่นเคืองรัชทายาท และพาลโกรธไปถึงท่านหญิง เป็นท่านหญิงแล้วอย่างไร คิดจะแย่งบุรุษที่มีคู่หมายแล้วได้อย่างงั้นรึ แต่ว่าวันนี้บุตรสาวนางบอกมีเหว่ยอ๋อง องค์ชายซีห่าว และองค์รัชทายาท ฮึเรื่องนี้นางจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องเรียกอีกสามตระกูลมาคุยกัน “ท่านแม่ข้าไม่ยอม ข้าเตรียมตัวมาตั้งหลายปี หากข้าไม่ได้แต่งกับรั
“ถวายบังคมรัชทายาท ท่านอ๋อง องค์ชาย สตรีสามนางยอบกายถวายความเคารพอย่างงดงาม ตามแบบฉบับคุณหนูที่เพียบพร้อม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรัชทายาทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เหตุใดไม่ทำความเคารพท่านหญิง หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสตรีที่เพียบพร้อมเขาปฎิบัติกับคนที่สูงกว่าหรือ?” สตรีสามนางหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าพวกนางจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นนี้ “ถวายบังคมท่านหญิงจวินจู่ ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ ได้โปรดท่านหญิงอย่าถือสา” จางเจียอีเอ่ยออกมาอย่างอ่อนหวาน แม้ภายนอกจะแสดงออกมาว่ารู้สึกผิด แต่ภายในใจนั้นกลับสุ่มไปด้วยเพลิงโทสะจางเจียอีจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ เพื่อระงับอารมณ์และความรู้สึกภายในใจ เหว่ยอ๋องยืนอยู่ด้านหลังของว่านชิงอี มีองค์ชายซีห่าวและรัชทายาทยืนประกบซ้ายขวาคล้ายดั่งองครักษ์ ยิ่งทำให้สตรีสามนางแทบอยากกรีดร้องออกมา จึงได้แต่ขอตัวและจากไปด้วยความแค้นเคือง หลังจากพวกนางไปแล้วว่านชิงอีก็หมุนกายเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ ก่อนจะสั่งอย่างละเอียดว่าชามไหนใส่อะไรไม่ใส่อะไร ทำเอาสามบุรุษหนุ่มยกยิ้มด้วยความพอใจที่นางให้ความใส่ใจกับพวกเขา พอชามบะหมี่ถูกยกมาวางบนโต๊ะ ว่านชิงอี
จวนสกุลว่าน เสนาบดีว่านพอกลับมาถึงจวนก็รีบตรงดิ่งไปหามารดา วันนี้เขารู้สึกมีความสุขอย่างยากจะบรรยาย เขารอแทบไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องราวที่รับรู้ในท้องพระโรงให้ผู้เป็นมารดาฟัง แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมารดาอยู่ที่เรือน พอสอบถามบ่าวรับใช้ก็ได้ความว่านางไปที่เรือนใหญ่ได้สักพักแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปที่เรือนใหญ่ทันที พอมาถึงก็เห็นทุกคนนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงคิดว่าเป็นการดีที่จะได้เล่าทีเดียว แต่พอเขาเล่าจบทุกคนกลับนั่งนิ่งไม่มีอาการดีใจเลยสักนิด เขารู้สึกผิดหวังที่ทุกคนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวนี้ “เหตุใดไม่มีใครดีใจกับข่าวนี้เลย” ? “จื่อหยวนข่าวเจ้านะพวกข้ารู้ตั้งนานแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ นึกขำบุตรชายที่รีบรุดมาแจ้งข่าว แต่ที่ไหนได้ข่าวนี้กระจายออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ออกมากระพือข่าวนอกวัง “พวกข้าดีใจก่อนเจ้าจะมาแล้ว แต่ว่ามีข่าวใหม่ที่เจ้ายังไม่รู้อีกนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นแล้วยกชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนที่จะเล่าออกไป ทำให้เสนาว่านร้อนใจอยากรู้มากขึ้น “ท่านแม่ท่านรีบเล่ามาเถิดข้ารอไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายื่นกระดาษปกแข็งมาให้เขาตรงหน้า