เข้าสู่ระบบตอนที่ 3
งานเลี้ยงงานแรก
เสียงพิณแผ่วเบาคลออยู่ในงานเลี้ยงยามเย็น แสงโคมทอดตัวเหนือศาลาริมน้ำ กลิ่นดอกไม้หอมจางลอยเคล้ากับไอเย็นของฤดูใบไม้ผลิ
ขุนนางชั้นสูงและคุณหนูตระกูลใหญ่ต่างจับกลุ่มสนทนา หัวเราะเบา ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
จนกระทั่ง เสียงเหล่านั้นเงียบลงแทบจะในทันที เพียงเพราะแค่เธอก้าวเท้าข้ามประตูงานเข้ามา
เฟิงเหม่ยหลิน หญิงสาวในชุดสีขาวปักลายดอกไม้เนื้อบาง ผมดำยาวรวบไว้ด้วยปิ่นหยกเรียบหรู ท่วงท่าการเดินของเธฮสงบนิ่ง ไม่เร่งร้อน แต่มีแรงกดดันอันประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
เธอยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่สายตานับสิบคู่กลับเลือบมามองราวกับต้องมนต์หรืออาจจะเป็นเพราะความกลัว
“นั่นคุณหนูเฟิง”
“นางฟื้นจากการตกน้ำแล้วจริง ๆ งั้นหรือ”
“ข้าคิดว่านางคงไม่มีวันกล้าออกจากเรือนอีกแล้วเสียอีก หลังจากทำเรื่องนั้น”
เสียงซุบซิบแผ่วเบาดังมาจากทุกทิศทาง แต่เมื่อดวงตาคมเรียวของเธอเหลือบมองไปทางกลุ่มใด กลุ่มนั้นก็รีบเงียบเสียง แล้วหลบตาทันที
เส้นทางเบื้องหน้าที่เคยแออัดแหวกออกโดยไม่ต้องใช้คำสั่ง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก ไม่มีใครกล้าทัก มีเพียงสายตาที่มองเธออย่างหวาดหวั่น แฝงรังเกียจ และอยากรู้อยากเห็น
เฟิงเหม่ยหลินเดินอย่างสงบ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักในมุมหนึ่งของศาลา ท่วงท่าการนั่งของเธอสง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ
“ก็แน่ล่ะ ชีวิตก่อนฉันก็เป็นคุณหนู แค่เปลี่ยนฉากหลังมาอยู่ในนิยาย แต่ฉันยังคงรู้วิธีอยู่เหนือสายตาพวกคนเหล่านี้ได้อยู่ดี”
เธอทอดสายตาออกไปยังสระบัวที่เริ่มผลิใบใหม่ แต่เสียงกระซิบกระซาบรอบด้านก็ยังตามมาไม่หยุด
“นางไม่พูดอะไรเลย”
“หรือกำลังวางแผนอะไรอีกแล้ว”
“บางทีที่ตกน้ำคราวก่อน อาจจะไม่ใช่อุบัติเหตก็ได้นะ อาจจะเป็นแผนของนาง”
คำพูดที่ไม่ตั้งใจจะให้เธอได้ยิน กลับไหลเข้าหูเธออย่างชัดเจน เฟิงเหม่ยหลินถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“ปากของคนในงานนี่แหลมกว่ามีดในห้องครัวเสียอีก”
เธอเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ แต่ยังไม่ทันได้จิบ ก็มีเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังเข้ามาใกล้
หญิงสาวในชุดผ้าสีฟ้าอ่อน ปักดอกเหมยสีขาวเดินเข้ามาอย่างนุ่มนวล ดวงตาใสซื่อเปล่งประกาย ริมฝีปากยิ้มน้อย ๆ อย่างอบอุ่น ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนม้านั่งข้างเธอ โดยไม่ขออนุญาต และไม่ลังเล นางคือ ซูเยี่ยน
เฟิงเหม่ยหลินชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะหันหน้าไปมองคนที่กล้าฝ่าดงสายตาทั้งหมดเพื่อเข้ามานั่งข้างเธอ
นางเอกของเรื่องในบทเดิม เธอคงหลบหน้าฉัน หรือไม่ก็มีแม่ทัพซูมาคอยกันแต่ตอนนี้กลับกล้าเข้ามาหาเธอแบบไม่เกรงกลัว
ซูเยี่ยนหันมายิ้มให้เธออย่างใจเย็น ก่อนจะขึ้นกล่าวเบา ๆ
“ข้าดีใจที่ท่านฟื้นแล้ว”
น้ำเสียงไม่มีรอยเสแสร้ง ไม่มีความดูแคลน มีเพียงความจริงใจที่เธอสัมผัสได้
เฟิงเหม่ยหลินหลุบตาลงเล็กน้อย มุมปากของนางขยับขึ้นเบา ๆ ราวกับรอยยิ้มที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“อย่างน้อยก็มีคนหนึ่ง ที่ไม่มองฉันเป็นตัวประหลาด”
สายลมยามเย็นพัดผ่านช้า ๆ ใบเหมยปลิวร่วงลงบนพื้นกระเบื้องหิน เสียงพิณจากมุมศาลาค่อย ๆ เบาลง
เฟิงเหม่ยหลินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่หันมองคนที่นั่งข้างๆ
“เจ้ามานั่งกับข้า ไม่กลัวหรือ”
น้ำเสียงเธอไม่ได้ดุดัน หากแต่เยือกเย็นราวกับผิวน้ำยามค่ำคืน สายตาของเธอยังทอดมองสระบัวเบื้องหน้า ไม่แสดงความรู้สึกใด
ซูเยี่ยนหันมามองใบหน้าด้านข้างของเฟิงเหม่ยหลิน นางยิ้มบาง ๆ ดวงตาใสแจ่ม
“ไม่กลัว และข้าเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น เจ้าคงมิได้ตั้งใจ”
เฟิงเหม่ยหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตาคู่นั้นโดยตรง ดวงตาของเธอนิ่งสนิท ไร้ความหวั่นไหว
“ไม่ ข้าตั้งใจ”
ซูเยี่ยนเบิกตาขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ถอยหนี ไม่มีความตกใจ ไม่มีความรังเกียจ
เฟิงเหม่ยหลินจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าเคยตั้งใจทำเรื่องโง่เขลาเหล่านั้นจริง ๆ ข้าอิจฉาเจ้า อยากผลักเจ้าออกจากชายที่ข้ารัก อยากทำลายทุกสิ่งที่เจ้าได้รับมา”
เธอหันหน้ากลับไปมองสระบัวอีกครั้ง ปลายนิ้วลูบถ้วยชาเบา ๆ
“แต่ตอนนี้ ข้าเบื่อแล้ว ข้าไม่อยากแย่ง ไม่อยากแสดง ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น”
เธอบอกเบา ๆ แต่ซูเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เธอเลยพูดต่อ
“แค่ได้นั่งอยู่นิ่ง ๆ เช่นนี้ ไม่มีใครยุ่ง ไม่มีใครมองข้าก็พอใจแล้ว”
เสียงของเธอไม่สั่น แต่กลับมีบางอย่างในน้ำเสียงนั้นที่ชวนให้จุกแน่นในอก เป็นเสียงของคนที่เหนื่อยล้าเกินกว่าจะสนใจสิ่งใดอีก
ซูเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น ดวงตาของนางสะท้อนประกายอ่อนโยน
“ความจริง ข้าชอบท่านนะ”
คำพูดนั้นทำให้เฟิงเหม่ยหลินขมวดคิ้ว ซูเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ แต่แววตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“ข้าชอบความมั่นใจของท่านที่ข้าไม่มี ชอบความกล้าของท่าน ที่กล้าพูดในสิ่งที่คิด กล้าทำในสิ่งที่ต้องการ แม้บางครั้งมันจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ แต่ท่านก็ยังเป็นตัวของตัวเอง ข้าไม่เคยกล้าทำอะไรแบบนั้นเลย”
เธอหันมาสบตาเฟิงเหม่ยหลิน ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนและเปล่งประกายในยามแสงโคมสะท้อน
“แม้แต่จะบอกว่า ข้าชอบใครสักคน ข้าก็ยังไม่กล้าเลย”
ประโยคนั้นทำให้เฟิงเหม่ยหลินนิ่งงัน ดวงตาว่างเปล่าของเธอสะท้อนประกายบางอย่างวาบขึ้นชั่วขณะ เธอหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“น่าสนใจ นางเอกแสนดีของเรื่องนี้กลับไม่กล้าแม้แต่จะบอกรักใครอย่างตรงไปตรงมา แต่ตัวเธอนี่นะกลับเคยกล้าทำเรื่องโง่ ๆ เพียงเพราะคิดว่าความรักคือการครอบครอง”
เธอยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าเจ้าอยากเป็นแบบข้าก็เริ่มจากการนั่งกับข้าโดยไม่กลัวเหมือนวันนี้ เจ้าก็เข้าใกล้ข้าไปหนึ่งก้าวแล้ว”
ซูเยี่ยนยิ้มกว้างขึ้นนิดหน่อยอย่างดีใจ
“ขอบคุณท่านมาก ข้าดีใจที่ได้มานั่งข้างท่านจริง ๆ”
และเป็นครั้งแรกในงานเลี้ยง ที่เฟิงเหม่ยหลินหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วหัวเราะในลำคออย่างบางเบา
“เช่นกัน”
ภาพตรงหน้านั้นเหนือความคาดหมายของทุกผู้คนในงาน เฟิงเหม่ยหลิน กับ ซูเยี่ยน หญิงสาวสองคนที่ในความทรงจำของทุกคนคือ คู่ปรับแห่งแคว้น ผู้หนึ่งดุร้ายแรง โฉบเฉี่ยว กลั่นแกล้งสารพัด อีกผู้หนึ่งนุ่มนวล ใจดี และเงียบสงบเกินกว่าจะตอบโต้
ใคร ๆ ก็เคยเห็นเฟิงเหม่ยหลินแผดเสียงไล่ซูเยี่ยนออกจากงานเลี้ยง หรือใช้พัดฟาดโต๊ะแล้วตำหนิว่า “เจ้ากำลังแย่งคนของข้า”
แต่ตอนนี้ทั้งสองนั่งข้างกัน ไม่มีแม้เงาของความขัดแย้ง
ซูเยี่ยนพูดเสียงเบา หัวเราะน้อย ๆ ขณะเล่าเรื่องขบขันในเรือน
ส่วนเฟิงเหม่ยหลินก็นั่งนิ่ง รับฟังอย่างเงียบ ๆ เป็นครั้งคราวก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
บางจังหวะเธอยกยิ้มจาง ๆ เหมือนคนที่กำลัง ฟังไม่ใช่เฝ้ารอจังหวะจะตอกกลับ
“นั่นเฟิงเหม่ยหลินจริงเหรอ”
“ข้าไม่เคยเห็นนางยิ้มแบบนั้นมาก่อนเลย”
“ข้าคิดว่านางต้องวางแผนร้ายอะไรอยู่แน่”
เสียงกระซิบของสตรีรอบงานยังดังไม่หยุด แต่ครั้งนี้ เฟิงเหม่ยหลินไม่ได้หันไปมอง ไม่แม้แต่จะเหลือบตา และไม่เอ่ยตอบโต้แม้เพียงคำเดียว
เธอแค่ฟังหญิงสาวข้างกายพูด และยิ้มบาง ๆ กับมุกเล็ก ๆ ที่อีกฝ่ายเล่า สายตาของเธอไม่กดดัน ไม่แข็งกร้าว ราวกับปล่อยให้โลกภายนอกเงียบหายไปชั่วขณะ
จนเมื่อเวลาล่วงผ่านไปจนใกล้ยามราตรี แสงโคมเริ่มริบหรี่ เสียงพิณก็เงียบลง
เฟิงเหม่ยหลินลุกขึ้นจากเก้าอี้ เธอหันไปมองซูเยี่ยนซึ่งลุกตาม ดวงตาของทั้งสองสบกันครู่หนึ่ง แล้วเฟิงเหม่ยหลินก็พูดขึ้นเบา ๆ
“ถ้าเจ้าเบื่อหรืออยากมีคนฟังเรื่องไร้สาระของดจ้า เจ้ามาหาข้าได้ที่จวน”
เธอยักคิ้วเล็กน้อย เพิ่มน้ำเสียงล้อ ๆ ที่แทบไม่เคยมีในตัวตนของเฟิงเหม่ยหลิน
“ข้าไม่กัดเจ้าหรอก”
ซูเยี่ยนเบิกตานิด ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เจ้าสัญญาแล้วนะ ข้าจะไปแน่นอน”
คำพูดง่าย ๆ แต่จริงใจ แฝงด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจ
เฟิงเหม่ยหลินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินออกจากศาลาอย่างสงบ ข้างกายของเธอไม่มีบ่าว ไม่มีกลุ่มคนติดตาม มีเพียงเงาของตนเองและรอยยิ้มจาง ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เบื้องหลังเธอ ซูเยี่ยนยังคงยืนมอง ดวงตาอ่อนโยนของนางฉายแววเหมือนเห็นใครบางคนที่นางอยากรู้จักมากกว่าเดิม
และเสียงกระซิบในงานก็แปรเปลี่ยนจากความระแวง เป็นความงุนงงสงสัย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
แต่มีเพียงเฟิงเหม่ยหลินเท่านั้นที่รู้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกเธอแค่ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
บทส่งท้ายหลายปีผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิหมุนเวียนมาอีกครั้ง แต่จวนแม่ทัพกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังไปทั่วทั้งสวน ลูกชายคนโตของซูหมิงเฉินและเฟิงเหม่ยหลินอายุสิบสามปีแล้ว รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคมดุดันถอดแบบจากพ่อทุกกระเบียดนิ้ว ขณะนี้กำลังยืนอยู่กลางลานฝึกดาบ ใบหน้าจริงจังไม่ต่างจากตอนหมิงเฉินยังเป็นแม่ทัพหนุ่มหมิงเฉินในชุดฝึกยืนประจันหน้าลูกชาย มือใหญ่ถือดาบไม้ ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความเข้มงวด “จับดาบให้มั่น อย่าปล่อยให้ศัตรูเห็นความลังเลของเจ้า”เด็กหนุ่มยกดาบขึ้นอย่างมั่นคง ก้าวเท้าเข้าโจมตีด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมพลัง เสียงฟันดาบไม้เสียงดัง ก่อนหมิงเฉินจะเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มพึงพอใจฉายบนใบหน้าเข้ม “ดีขึ้นมาก อีกไม่นานเจ้าจะใช้ดาบได้เฉียบคมยิ่งกว่าพ่อ”กลางศาลา เฟิงเหม่ยหลินนั่งจิบชาพร้อมลูกสาววัยสิบขวบที่ฉลาดและแสนซน ดวงตากลมโตเปล่งประกาย รอยยิ้มและความเจ้าเล่ห์เหมือนแม่ เธอนั่งมองพี่ชายฝึกดาบ พลางเอ่ยถามเสียงใส “ท่านแม่ เมื่อไรข้าจะได้ฝึกดาบกับพ่อเหมือนท่านพี่บ้าง”เฟิงเหม่ยหลินยิ้มบาง ลูบผมนุ่มของลูกสาวเบา ๆ “เจ้าฉลาดพอ ๆ กับแม่แล้ว ฝึกดาบคงไม่ใช่สิ่งที่เจ
ตอนที่ 73 ลูกสาวแม่ทัพยามค่ำในฤดูใบไม้ผลิ จวนแม่ทัพถูกปกคลุมด้วยความตึงเครียดและความตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อเสียงฝีเท้าบ่าวไพร่ดังเร่งรีบไปมาหน้าห้องคลอด บรรยากาศวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ลูกชายคนโตลืมตาดูโลกซูเยี่ยนที่ท้องอ่อนยืนพิงอี้เหิง มือหนึ่งจับท้องของตน อีกมือกุมมือสามีแน่นอย่างลุ้นไปพร้อมกับเพื่อนรักเหวินซียืนอยู่ไม่ไกล มือถือพัดแต่พัดแรงจนเส้นไหมขาดเล็กน้อย สีหน้าแสดงถึงความตื่นเต้นสุดขีดองค์รัชทายาทมานั่งจิบชาช้า ๆ ที่โต๊ะไม้ข้างทางเดิน ที่เก้าอี้ข้าง ๆ พระองค์มีเด็กชายสองคนนั่งกินขนมอยู่อยู่ นั่นคือลูกชายของเหม่ยหลินกับซูเยี่ยน พระองค์มองไปที่เด็กชายทั้งสองพร้อมยิ้มบาง ๆก่อนจะหันไปกล่าวล้อ “ข้าว่าแม้คราวนี้เป็นลูกคนที่สอง แต่บรรยากาศไม่ต่างจากครั้งคนแรกเลย ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าดูตื่นเต้นกว่าเดิมเสียอีก”ภายในห้องคลอด แสงตะเกียงสว่างไสว หมิงเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือเฟิงเหม่ยหลินแน่นเหมือนเดิม ดวงตาคมลึกเต็มไปด้วยความกังวลและความรักที่ไม่เคยจางหายเฟิงเหม่ยหลินแม้จะเหนื่อยหอบแต่ยังคงดวงตาคมที่เด็ดเดี่ยว เธอบีบมือสามีแน่น เสียงแผ่วแต่ชัดเจน “ครั้งนี้ ท่านก็ยังไม่ยอมออกไปเหมื
ตอนที่ 72 ลูกชายแม่ทัพภายในห้องพักของฮูหยินแม่ทัพ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ เฟิงเหม่ยหลินนอนพิงหมอนนุ่ม ใบหน้างดงามแม้ยังซีดเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาคมเต็มไปด้วยประกายแห่งความรักเมื่อมองลูกชายตัวน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของหมิงเฉินหมิงเฉินในชุดแม่ทัพลำลอง นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างมั่นคง มือใหญ่ประคองลูกชายด้วยความทะนุถนอมราวกับของล้ำค่าที่สุดในโลก ดวงตาคมที่มักเด็ดขาดและแข็งกร้าวบนสนามรบ วันนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนซูเยี่ยนกับเหวินซียืนอยู่ปลายเตียง น้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ ซูเยี่ยนกระซิบกับเหวินซี “ดูสิ…หมิงเฉินอุ้มลูกเหมือนกลัวว่าลมจะพัดแรงไปหน่อยก็จะทำให้เจ้าตัวเล็กเจ็บ”เหวินซีหัวเราะเบา ๆ “ถ้ามีใครบอกว่านั่นคือแม่ทัพที่น่าเกรงขามที่สุดในแผ่นดิน ข้าคงไม่เชื่อถ้าไม่ได้เห็นกับตา”อี้เหิงก้าวเข้ามาใกล้ เอ่ยยิ้ม ๆ “ข้าขออุ้มหลานได้หรือไม่แม่ทัพซู”หมิงเฉินหันมามองด้วยสายตาที่แม้ไม่ดุดันแต่ก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ยื่นลูกชายให้อี้เหิงอย่างช้า ๆ พร้อมกับกำชับเสียงทุ้มต่ำ “ระวังหัว ระวังตัวเขาด้วย ถ้าเจ้าทำให้เขาเจ็บแ
ตอนที่ 71 ตอนรับสมาชิกใหม่ยามบ่ายในจวนแม่ทัพ แสงแดดลอดผ่านม่านผ้าไหมสีอ่อนเข้ามาในห้องนั่งเล่น กลิ่นดอกเหมยหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้ง ซูเยี่ยนกับเหวินซีเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส ตามหลังมาด้วยองค์ชายสามอี้เหิงที่ถือห่อผ้าไหมซึ่งมีของขวัญสำหรับทารกน้อย และองค์รัชทายาทที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายเฟิงเหม่ยหลินนั่งพิงหมอนบนเก้าอี้ไม้สลักลายมังกร มือเรียววางบนหน้าท้องที่เริ่มใหญ่ขึ้นทุกวัน เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเข้ามา ดวงตาคมก็อ่อนลงทันทีซูเยี่ยนรีบเดินเข้ามานั่งข้างเธอ มือเรียวลูบหน้าท้องเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายตื่นเต้น “พี่สะใภ้ อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นแม่คนแล้ว ข้าตื่นเต้นแทนเจ้าจริง ๆ”เฟิงเหม่ยหลินยกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยความสนิทสนม “ถ้าเจ้าตื่นเต้นนัก ก็รีบแต่งกับองค์ชายสามเสียสิ แล้วรีบมีลูก ลูก ๆ ของข้ากับเจ้าจะได้โตมาเป็นเพื่อนเล่นกัน”ซูเยี่ยนหน้าแดงวูบทันที ก่อนจะหันไปมองอี้เหิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลอย่างเขินอาย “ข้า” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันพูดต่ออี้เหิงก็หัวเราะเบา ๆ พร้อมก้าวมานั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมเป็นประกายระหว่างมองซูเยี่ยนกับเฟิงเหม่ยหลิน “
ตอนที่ 70 จบสงครามด้วยจดหมายฉบับเดียวคืนนั้น หลังการกวาดล้างเสร็จสิ้น เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่ในห้องลับของจวนแม่ทัพ มือเรียวเขียนจดหมายลงบนกระดาษอย่างใจเย็น“ถึงผู้นำกองกำลังตะวันออก ข้าคือเฟิงเหม่ยหลิน ฮูหยินแม่ทัพซู ข้าทราบว่าแผนของพวกท่านคือการใช้จังหวะที่ราชสำนักวุ่นวายเพื่อบุกเมืองหลวงหากพวกท่านยังไม่หยุดแผนนี้ ข้าจะสั่งให้ทางเมืองตะวันออกที่ข้าเคยเดินทางไป ใช้ไฟเผาทุกเส้นทางและป่าที่เป็นเสบียงของพวกท่านให้หมด ข้าสอนพวกเขาแล้วว่าจะหยุดไฟป่าไม่ให้ลามมาถึงบ้านเมืองของตนเองอย่างไร แต่ข้าไม่ได้สอนว่าจะหยุดไฟที่ไหม้ดินแดนของพวกท่านอย่างไรถ้าไม่อยากเห็นแผ่นดินของท่านกลายเป็นทะเลเพลิง ให้ถอนกองกำลังและลืมแผนการนี้ซะ”หมิงเฉินก้าวเข้ามาในห้องเงียบ ๆ เขาอ่านข้อความในจดหมาย สายตาคมจ้องภรรยาที่กำลังเขียนเสร็จ ก่อนจะยิ้มบางและพูดเสียงทุ้ม “ข้าบอกแล้ว เจ้าร้าย แต่ร้ายถูกที่เสมอ”เฟิงเหม่ยหลินพับจดหมายอย่างสงบ ดวงตาคมหันมาสบสายตาสามี “ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายความสงบของแผ่นดินนี้ และจะไม่ให้ใครพรากความสงบสุขของเราสองคนไปอีก”หมิงเฉินเดินเข้ามากอดร่างบอบบางไว้แน่น กระซิบเสียงหนักแน่น “ข้าจะจัดก
ตอนที่ 69 ปิดฉากพวกกบฏค่ำคืนหนึ่งหลังการวางแผนลับ ห้องลับในวังหลวงถูกใช้เป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการ เฟิงเหม่ยหลินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มือเรียววางพัดพู่กันลงบนโต๊ะอย่างสงบ แต่ในดวงตาคมกริบส่องแสงเย็นชาที่ทำให้ทุกคนในห้องสัมผัสได้ถึงพลังของผู้ล่าหมิงเฉินยืนอยู่ด้านหลังเธฮ แขนแข็งแรงพาดไว้บนอก สีหน้าสงบนิ่งแต่ดวงตาคมลึกจับจ้องเธอด้วยรอยยิ้มบางอย่างภาคภูมิใจและหวงแหน เขาเคยพูดกับเธอครั้งหนึ่ง “เจ้าร้าย แต่ร้ายอย่างถูกที่ และนั่นทำให้เจ้าหยุดยั้งสิ่งที่ไม่มีใครทำได้” และคืนนี้ เขาได้เห็นว่าคำนั้นเป็นความจริงองค์รัชทายาทนั่งข้าง ๆ องค์ชายสาม ขณะฟังเฟิงเหม่ยหลินอธิบายแผนการอย่างละเอียดบนแผนที่“พวกมันคิดจะโค่นราชสำนักโดยใช้กองกำลังของแคว้นชิงลู่ ก็ดี” เธอกล่าวเสียงเรียบแต่เฉียบคม “ข้าจะปล่อยข่าวว่าหนึ่งในสามตระกูลที่สมรู้ร่วมคิดมีแผนจะหักหลังอีกสองตระกูล และเตรียมเจรจาลับกับแคว้นชิงลู่เพื่อตัดพวกมันออกจากข้อตกลง”องค์ชายสามหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้า “พวกนั่นจะกัดกันเอง จนไม่มีใครไว้ใจใคร”เฟิงเหม่ยหลินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ใช่ ข้าจะให้พวกมันทำลายกันเองโดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงแม้หยดเลือดเดียว







