จื่อหนิงรู้สึกเหมือนสติของนางดับวูบไปเพียงชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่ทันทีที่ลืมตาเสียงหวีดร้องโวยวายก็ดังแสบแก้วหูจนทำให้เธอต้องขมวดคิ้วแน่น
มิหนำยังสายตายังพร่ามัวจนต้องกระพริบตาถี่พยายามปรับโฟกัสให้ชัดขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น!? เธอปวดหัวไม่น้อยจนใบหน้าคนงามบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ พยายามเพ่งมองตรงหน้าอย่างยากลำบาก ฟึ่บ! “เจ้าสมควรตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเฝิงอวี่เซี่ยน” น้ำเสียงเย็นชาดังก้องในโสตประสาท เฝิงอวี่เซี่ยนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ นัยน์ตาคมกริบจ้องอีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว อาภรณ์ค่อยๆ เปียกชุ่มไปด้วยเลือด “เจ้าคนทรยศ!” กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วอากาศ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เมื่อปลายมีดแหลมคมแทงทะลุผ่านอาภรณ์เข้ามา เฝิงอวี่เซี่ยนแทบกระอักเลือดออกมาทันทีที่คนผู้นั้นออกแรงกดขยี้บาดแผลซ้ำลงไปอย่างไร้ปรานี “เหอะ! สภาพเช่นนี้คิดว่าจะทำอันใดข้าได้” ฟึ่บ! สวบบ!! เสียงคมดาบถูกชักออกก่อนที่เฉิงอี้หยางจะแทงกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง ครานี้บาดแผลลึกทะลุผ่านไปจนเกือบถึงหัวใจ มุมปากหนาโค้งเหยียดยิ้มร้าย เฝิงอวี่เซี่ยนกระตุกเฮือก ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั้งร่าง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวยามนี้กลับสั่นไหว อึก! “อักกก!..” เฝิงอวี่เซี่ยนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง บางทีนี่อาจเป็นจุดจบของชีวิตเขาแล้วก็ได้...ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวมานานเกินไป ภาพร่างไร้วิญญาณของผู้คนในจวนสกุลเฝิงยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเฝิงอวี่เซี่ยนไม่เคยเลือนหาย ทุกครั้งที่นึกถึงยังคงโทษตนเองที่กลับมีชีวิตรอดเพียงผู้เดียว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดและไม่อาจฝืนชะตาให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว... ร่างของเขาพลันอ่อนแรง ทรุดลงกับพื้น น้อมรับความตายโดยไม่ขัดขืน เฝิงอวี่เซี่ยนเหลือบสายตามองสตรีผู้หนึ่งด้วยความอ่อนโยน “เจียงชุนหลิน...นับจากนี้ข้าคงไม่อาจปกป้องเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว” ฟึ่บ! สวบ!! “อวดดี!” คมดาบถูกดึงออกจากร่างเขา ก่อนจะกดแทงกลับเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สามอย่างเยือกเย็น “หากไม่มีเจ้าข้าย่อมสามารถปกป้องนางได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม!” “อั่กกก!” ทั่วทั้งร่างของเฝิงอวี่เซี่ยนชุ่มไปด้วยเลือดสีแดง สายตาคมกริบดูว่างเปล่าจำนนต่อโชคชะตา “อี้หยาง! พอได้แล้ว!” “เฝิงอวี่เซี่ยน!!” น้ำเสียงหวานตวาดก้อง แค่ได้อ่านยังรู้สึกสะเทือนใจ ไหนเลยจื่อหนิงไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะได้มาเห็นเหตุการณ์นี้กับตาจริงๆ “ข้าจะฆ่าเจ้าแน่!” นางร้องตวาดก้องอย่างไร้ความเกรงกลัวก่อนที่นางจะพุ่งตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว “หลี่จื่อหนิง!” เฉิงอี้หยางสบถออกมา สตรีวุ่นวายผู้นี้อีกแล้ว! ท่ามกลางบรรยากาศมงคล ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นความวุ่นวายอลหม่านเต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องโวยวายและกลิ่นคาวเลือด เจียงชุนหลินยกชายกระโปรงแต่งงานขึ้นก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง นางพลันหลั่งน้ำตา สายตามองเฝิงอวี่เซี่ยนที่กำลังกระอักเลือดด้วยความเวทนาและเจ็บปวด นางไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้... น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา “เฝิงอวี่เซี่ยน…” หลี่จื่อหนิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาโดยไร้ความเกรงกลัวก่อนจะออกแรงผลักเฉิงอี้หยาง ออกไปอย่างรุนแรงเพื่อให้เขาถอยห่าง“ออกไปให้พ้น!” น้ำเสียงหวานตวาดด้วยความโกรธ นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองกำลังอ่านบทสุดท้ายของนิยาย...ฉากตอนจบของตัวร้ายที่เพียงมาแสดงความยินดีแต่กลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้คิดจะแย่งเจ้าสาวไป แล้วเหตุใด...พระเอกถึงได้โง่งมหูเบาถึงเพียงนี้!? “เกรงว่าวันตายของเจ้ายังคงมาไม่ถึงเฝิงอวี่เซี่ยน” น้ำเสียงทุ้มของเฉิงอี้หยางเอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น เจียงชุนหลินส่ายหน้าทั้งน้ำตารั้งเฉิงอี้หยางเอาไว้ไม่ให้ลงมือไปมากกว่านี้ “พอได้แล้ว!...หยุดได้แล้วอี้หยาง!” เฝิงอวี่เซี่ยนเงยหน้าขึ้น มุมปากหนาเหยียดยิ้มเย้ยหยัน สายตาคมกริบเพ่งมองอีกอย่าง “หากมีโอกาสแล้วสังหารข้าไม่ตายเช่นนั้นข้าจะผู้สังหารเจ้าคืน” “เกรงว่าคงไม่มีวันนั้น” เฉิงอี้หยางกล่าว “อวี่เซี่ยน!” “…” “เฝิงอวี่เซี่ยน!” ไม่นะ! เธอพึ่งทะลุมิติเข้ามาเพื่อช่วยตัวร้ายผู้นี้…แต่กลับสายไปแล้วงั้นหรือ!? สติของเฝิงอวี่เซี่ยนเริ่มเลือนราง สายตาพร่ามัวจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด หัวใจเต้นแผ่วลงเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะสิ้นใจ เหตุใดเขาถึงมองเห็นสตรีผู้นั้นกัน…!? หลี่จื่อหนิงรู้สึกจุกอกอย่างบอกไม่ถูก นางรีบทรุดตัวลงโอบร่างที่โชกเลือดของเขาเข้ามาแนบอก มือเล็กค่อยๆ เกลี่ยเลือดออกจากใบหน้าคมคายอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ “ท่านมีชีวิตอยู่มาได้นานถึงเพียงนี้แล้วไฉนฝืนต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ” พ่อตัวร้ายของนางจะมีจุดจบเช่นเดียวกันกับนิยายจริงรึ!?? “เฝิงอวี่เซี่ยน…ข้าขอโทษ” นัยน์ตาของนางสั่นระริกเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา เจียงชุนหลินหมายจะเดินเข้าไปแต่ทว่ากับถูกเฉิงอี้หยางฉุดรั้งเอาไว้ เฉิงอี้หยางเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เจียงชุนหลิน…เจ้ายังคิดจะช่วยคนผู้นั้นอีกอยู่หรือ” “เฝิงอวี่เซี่ยนทำอันใดผิด!” นางหันขวับมองเขาทั้งน้ำตาแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองใจ “เหตุใดต้องถึงขั้นลงมือสังหารหมายจะเอาชีวิตเข้าด้วยเฉิงอี้หยาง!” แม้นางจะมีใจให้เฉิงอี้หยางแล้วอย่างไรกัน ทว่าการกระทำเช่นนี้…เจียงชุนหลินรู้สึกว่าไม่ถูกนัก เขาคือคนที่ส่งนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว! หวังดีและปกป้องมาตลอดชีวิต! ไฉนถึงถูกกระทำเช่นนี้ เจียงชุนหลินโกรธเคืองเฉิงอี้หยางไม่น้อย นางพลันสะบัดมือออกจากอีกฝ่ายก็จะก้าวเดินไปหาร่างของเฝิงอวี่เซี่ยนแทน “ปล่อยข้า!” “เจียงชุนหลิน!” น้ำเสียงทุ้มของเฉิงอี้หยางเต็มไปด้วยความโกรธไม่น้อย เขาทำไปเพียงเพราะปกป้องนางแต่ไฉนนางกลับมองไม่เห็นกัน ระยะเวลาสองสามปีผ่านมานี้เจียงชุนหลินตกอยู่ในกลลวงของเฝิงอวี่เซี่ยนมาตลอด โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้นั้นเพียง เสแสร้งทำดีเพื่อสร้างความไว้วางใจและหลอกใช้นาง จุดประสงค์ของเขาคือการล้างแค้นจวนสกุลเจียง…ต้นเหตุที่ทำให้เฝิงอวี่เซี่ยน ต้องโทษจำคุกตั้งแต่วัยเยาว์จากเหตุการณ์สังหารฆ่าล้างชีวิตผู้คนทั้งจวนสกุลเฝิงเมื่อหลายปีก่อน และงานมงคลครั้งนี้… จอกน้ำชาและกาสุราล้วนผสมยาพิษถูกเตรียมไว้เพื่อหวังสังหารทุกชีวิตในจวนให้หมดสิ้น แผนการเช่นนี้ ไฉนเฉิงอี้หยางเลยจะไม่ล่วงรู้! “ชุนหลิน…” สติของเฝิงอวี่เซี่ยนกำลังจะดับวูบลงแต่แล้วกลับได้ยินน้ำเสียงหวานรื่นหูดังขึ้น…สายตาคมกริบพร่ามัวมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสตรีตรงหน้าผู้นี้ !!!! “เฝิงอวี่เซี่ยน!!!” สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพียงชั่วอึดใจก่อนนั้น จื่อหนิงเพิ่งรู้ว่าตัวเองทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่กำลังอ่านอยู่แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ เธอได้เข้ามาอยู่ในตอนจบของเรื่องแล้ว! ช่วงที่ตัวร้ายกำลังจะถูกฆ่าทิ้ง...!? ในขณะเดียวกันนั้นร่างของเฝิงอวี่เซี่ยนพลันอ่อนแรงลงก่อนจะนอนแน่นิ่งไปทันที ดวงตาเมล็ดซิ่งตกใจเอาแต่ตะโกนเรียกชื่อเขาไม่หยุด “เฝิงอวี่เซี่ยน! ตื่นขึ้นมาบัดเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อนุญาตให้ท่านตายเด็ดขาด!” “…” “ข้าบอกว่าอย่าตาย!” น้ำเสียงหวานสั่นเครือ ร่างของเจียงชุนหลินหยุดชะงัก มองร่างของเฝิงอวี่เซี่ยนที่แน่นิ่งไปราวกับร่างไร้วิญญาณ “เฝิงอวี่เซี่ยน…” “อย่าเข้ามา!” จื่อหนิงหันขวับมองตาขวางด้วยความโกรธ หากเดาไม่ผิดนั้นสตรีตรงหน้าผู้นี้คงเป็นแม่ดอกบัวขาวกระมัง “เจ้าทำให้เขาต้องตายแล้วจะมาร้องไห้เสียใจอะไรอีก!”ภายในเรือนหอประดับประดาตกแต่งอย่างงดงาม โคมไฟสีและแสงเทียนสีแดงส่องแสงวูบไหวสะท้อนเงาลวดลายมงคลบนผ้าปูเตียงลายคู่นกยวนยาง ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของกำยานหอมจางๆ ราวกับพรให้กับคู่บ่าวสาวที่พึ่งแต่งงานใหม่เฝิงอวี่เซี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้าม่านสีแดงสด…เขาสวมใส่อาภรณ์สีแดงเข้มมงคลที่ปักลวดลายอย่างประณีต ท่าทางสงบนิ่งดังเดิมทว่าภายในดวงตาคมกริบกลับสะท้อนแววอ่อนโยนออกมาอย่างปิดไม่มิดในยามนี้หลี่จื่อหนิงนั่งอยู่หลังม่าน ใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงใบหน้าของนางร้อนผ่าวเล็กน้อย จู่ๆ หัวใจก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาแม้จะพยายามสงบอารมณ์ให้เป็นปกติก็ตามนางไม่รู้ว่าด้านนอกเขากำลังทำสีหน้าเช่นไรและไม่รู้ว่าเขาจะก้าวเข้ามาหานางเมื่อใด…หลี่จื่อหนิงฟังแต่เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความประหม่า“วันนี้ทำเจ้าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่เบื้องหน้า เฝิงอวี่เซี่ยนค่อยๆ ก้าวเดินอย่างแผ่วเบานางเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาเบาๆ“อืม...” วันนี้นางเหนื่อยมาจริงๆ หลี่จื่อหนิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดสนิทมิหนำซ้ำแล้ว ตลอดทั้งวันนางยังถูกพิธีการต่างๆ เคี่ยวกรำอย่างหนักกว่าจะได้พักผ่อนก็เ
เนิ่นนานหลายปีกว่าเฝิงอวี่เซี่ยนจะลบคำกล่าวหาได้…แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่ได้ลงไปคุกเข่าต่อบรรพชนสกุลเฝิงที่ปรโลกแล้วอย่างไรกัน แต่ทว่าในตอนนี้มีสภาพย่ำแย่แม้แต่ขุดหลุมหนียังทำไม่ได้“นายท่านเจ้าคะ...คุณหนูหลี่มาขอพบเจ้าค่ะ”เสียงสาวใช้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด มือที่กำลังตวัดพู่กันอย่างสงบนิ่งพลันชะงัก เฝิงอวี่เซี่ยนวางพู่กันลงบนแท่นหมึกอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง“นางมาแล้วหรือ”ใบหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดทั้งวัน ทว่าบัดนี้กลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเหล่าสาวใช้ที่เฝ้ามองนายท่านของตนลอบขนลุกไม่น้อย แม้ว่าพวกนางจะคุ้นชินกับสีหน้าดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง แต่ก็ยังอดรู้สึกแปลกประหลาดมิได้คงมีเพียงแต่คุณหนูหลี่เท่านั้นกระมังที่นายท่านยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นนี้“อวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานเจื้อยแจ้วดังขึ้นด้านนอกเรือน เฝิงอวี่เซี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงก้าวออกไปหาอีกฝ่าย สายตาคมกริบเต็มไปด้วยความคะนึงหาหลี่จื่อหนิงเข้าออกจวนสกุลเฝิงราวกับเป็นจวนของอีกหลังของตนเอง และไม่มีผู้ใดกล้าปริปากห้ามปราม ใบหน้างามของนางประดับด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ดวงตากลมโตกวาดมองสอดส
เกรงว่าคงเป็นนางที่ตาฝาดไปเองกระมัง…หลี่จื่อหนิงหรี่สายตาลงเพ่งมองบุรุษตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าพลางกระพริบตาถี่ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาราวกับว่าตาฝาดมองเห็นผิดเพี้ยนไปเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้กัน…!?นางกำลังนอนหลับอย่างสบายใจ ทว่าสะดุ้งตื่นเมื่อสาวใช้เข้ามาปลุกบอกว่ามีคุณชายผู้หนึ่งมาหาถึงจวน เดิมทีหลี่จื่อหนิงขี้เซาไม่น้อยกว่าจะลืมตาตื่นลุกขึ้นมาจากเตียงได้ก็ใช้เวลาอยู่นานเอาแต่พลิกกายบิดขี้เกียจซ้ำแล้วซ้ำเล่าทว่าพอได้ยินสาวใช้กล่าวเช่นนั้น นางก็พลันตื่นเต็มตา ลุกพรวดขึ้นจากทันทีนางจะรู้จักผู้ใดได้อีกเล่านอกจากเฝิงอวี่เซี่ยน!แล้วเหตุใดจึงบุกมาหานางถึงจวนแต่เช้าตรู่เช่นนี้อย่างเร่งร้อนราวกับมีเรื่องด่วน…หรือเขาถูกทางการตามจับได้แล้ว?“มาหาข้ามีเรื่องอันใดกัน” นางเอ่ยถามด้วยเสียงแข็ง พลางเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยราวกับมิได้ใส่ใจ ทั้งที่ในใจนั้นกลับร้อนรนอยากจะเค้นความจากปากอีกฝ่ายออกมาตอนนี้ให้ได้หลี่จางเหว่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พอได้ยินประโยคก่อนหน้าจึงเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เช้าปานนี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้…จวนสกุลหลี่ก็ปิดประตูไม่รับแขก” เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ“เจ้าค่ะ”เหล่าส
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เจียงชุนหลินเอาแต่ทำตัววุ่นวายคอยหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าหรือไม่แม้แต่จะสบตาเฉิงอี้หยางเพียงแวบเดียวเลยด้วยซ้ำ…นางโกรธเขาไม่น้อยทว่าในใจก็สับสนว้าวุ่นเสียจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป“แม่…กลายเป็นภาระของเจ้าหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนล้าของเจียงฮูหยินขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมากอบกุมมือของบุตรสาวไว้แน่น ดวงตาของนางฉายแววเวทนาตนเองไม่น้อยเจียงชุนหลินได้ยินแล้วพลางเงยหน้ามองมารดา นางเม้มฝีปากแน่นภาระหรือ…?ยามนี้ จวนสกุลเจียงที่เคยสูงศักดิ์กลับร่วงหล่นลงมาเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปจนไม่หลงเหลือสิ่งใดภายหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนนั้น บิดาของนางพลันถูกเรียกตัวเข้าวังกะทันหันถึงขั้นส่งทหารจากวังหลวงมาตามถึงที่จวนสกุลเฉิงเพื่อสอบสวนคดีทุจริตในราชสำนัก ซึ่งเป็นการตรวจสอบย้อนหลังไปหลายสิบปี ตั้งแต่ยามที่ท่านพ่อรับราชการเป็นขุนนางครั้งแรกมิใช่ว่าที่ผ่านมานางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยแต่ทว่า…ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาบิดาพยายามชุบตัวให้ใสสะอาดเสมือนสายน้ำแต่ภายในกลับเป็นน้ำที่ตกตะกอนเพียงแค่มีผู้ยื่นมือไปกวนก็พลันขุ่นมัวขึ้นมาที่ผ่านมาล้วนกล่าวได้ว่าสวรรค์บังตาหรือเห็นใจกันแน่ถึง
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เจียงชุนหลินเอาแต่ทำตัววุ่นวายคอยหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าหรือไม่แม้แต่จะสบตาเฉิงอี้หยางเพียงแวบเดียวเลยด้วยซ้ำ…นางโกรธเขาไม่น้อยทว่าในใจก็สับสนว้าวุ่นเสียจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป“แม่…กลายเป็นภาระของเจ้าหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนล้าของเจียงฮูหยินขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมากอบกุมมือของบุตรสาวไว้แน่น ดวงตาของนางฉายแววเวทนาตนเองไม่น้อยเจียงชุนหลินได้ยินแล้วพลางเงยหน้ามองมารดา นางเม้มฝีปากแน่นภาระหรือ…?ยามนี้ จวนสกุลเจียงที่เคยสูงศักดิ์กลับร่วงหล่นลงมาเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปจนไม่หลงเหลือสิ่งใดภายหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนนั้น บิดาของนางพลันถูกเรียกตัวเข้าวังกะทันหันถึงขั้นส่งทหารจากวังหลวงมาตามถึงที่จวนสกุลเฉิงเพื่อสอบสวนคดีทุจริตในราชสำนัก ซึ่งเป็นการตรวจสอบย้อนหลังไปหลายสิบปี ตั้งแต่ยามที่ท่านพ่อรับราชการเป็นขุนนางครั้งแรกมิใช่ว่าที่ผ่านมานางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยแต่ทว่า…ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาบิดาพยายามชุบตัวให้ใสสะอาดเสมือนสายน้ำแต่ภายในกลับเป็นน้ำที่ตกตะกอนเพียงแค่มีผู้ยื่นมือไปกวนก็พลันขุ่นมัวขึ้นมาที่ผ่านมาล้วนกล่าวได้ว่าสวรรค์บังตาหรือเห็นใจกันแน่ถึง
หลี่จื่อหนิงเงยหน้ามองเฝิงอวี่เซี่ยนตาปริบๆ คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหรี่ลงราวกับกำลังจับผิดอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยออกมา “เหอะ! ข้าจะเชื่อได้อย่างไร”เพียงแค่แม่ดอกบัวขาวนางนั้นปรากฏตัวขึ้น…เขาก็รีบตามติดราวกับสุนัขที่เจอเจ้าของแล้ว!ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเฝิงอวี่เซี่ยนจึงต้องสนใจความรู้สึกของนางนัก มุมปากหนาโค้งยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า สายตาคมกริบเพ่งมองหลี่จื่อหนิงจากนั้นจึงโน้มใบหน้าลงมาใกล้“แล้วต้องทำอย่างไรเล่าเจ้าถึงจะเชื่อข้า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าพูดอย่างแผ่วเบาหลี่จื่อหนิงส่ายหน้าไปมา “ช่างเถอะ…ท่านจะชอบผู้ใดแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า”หากว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องความรู้สึกของจิตใจปล่อยให้เขาจัดการเองเถอะ นางหาได้สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสร้างความวุ่นวายให้…ขอเพียงเฝิงอวี่เซี่ยนมีชีวิตรอดอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ก็พอ!!!ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวหลี่จื่อหนิงยังไม่ทันได้ตั้งตัวกลับต้องสะดุ้งด้วยความตกใจทันที ฝ่ามือหนาเอื้อมมาประคองใบหน้าคนงามอย่างอ่อนโยน นิ้วโป้งลูบผ่านแก้มนุ่มนิ่มราวกับสำรวจความรู้สึกของนางก่อนที่จู่ๆ เฝิงอวี่เ