เช้าวันถัดมา...
ท้องฟ้าแจ่มใสเกินเบอร์ เหมือนฟ้ากำลังตบไหล่บอกว่า “สู้ ๆ นะยัยบ้า ไปตายซะดี ๆ”
ลลิล คหบดีวัฒน์ ยืนอยู่หน้าตึกกระจกสูงระฟ้าของ Ramius Group ในมือถือกระเป๋าหนังแบรนด์เนม ชุดเดรสสีครีมที่เธอเลือกใส่มาอย่างตั้งใจดูเรียบหรู แม่เรียกว่าเรียบร้อย — แต่เธอเรียกมันว่า ‘ชุดสารภาพบาป’
ภายนอกดูเป็นคุณหนูผู้ดี แต่ภายใน...เหมือนใส่เกราะเหล็กพร้อมระเบิดเวลาไว้ตรงอก
แน่นไปหมด
หายใจก็ไม่สุด หัวใจก็สั่น ระดับความเครียดพุ่งเท่าภาษีที่ต้องจ่ายตอนรู้ว่าเธอทำน้ำไวน์ราดสูทคนมีอำนาจที่สุดในเมืองนี้
เธอกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
สายตาเงยขึ้นไปมองโลโก้ “Ramius Group” ตัวอักษรสีดำเงาเรียบหรูบนกระจกใสที่สูงเสียดฟ้า
ข้างใต้เขียนว่า Power. Precision. Privacy.
“...เออ ใช่สิ พาวเวอร์จนฉันอยากเป็นลม เพรซิชันจนฉันราดไวน์ใส่เขา แล้วพรายเวซี่...เออ แม่งจะลากฉันไปทำอะไรหลังม่านอีกก็ไม่รู้!”
เธอสาปแช่งตัวเองในใจพลางสูดลมหายใจลึก
“โอเค ลลิล...แกแค่ไปขอโทษ เขาคงไม่ใจร้ายมั้ง—ถึงแม้เขาจะหน้าหล่อแบบฆ่าได้โดยไม่กะพริบตาก็ตาม”
เธอพึมพำ
“…แล้วก็อธิบายไปตรง ๆ ว่าแกไม่มีเงินจ่ายค่าสูทบ้า ๆ นั่น! ขอผ่อน 48 งวดกับดอกเบี้ย 0% ก็ยังดี!”
เอาเข้าจริง เธอพร้อมเซ็นสัญญาผ่อนค่าสูทยิ่งกว่าสัญญาเรียนต่อโทอีก!
รวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย เธอถอดรองเท้าส้นสูงตัวเองออกมาเคาะพื้นเบา ๆ สองทีเหมือนสะกดใจ แล้วเดินเข้าสู่ตึกทรงอำนาจที่สูงพอจะบดบังแสงแห่งความหวังของคนอย่างเธอ
ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดอย่างนุ่มนวล
อากาศเย็นฉ่ำราวกับไหลออกมาจากช่องแช่แข็ง ล็อบบี้ตึกดูเงียบเย็นแบบที่โรงแรมห้าดาวบางแห่งยังต้องอาย เสาเพดานสูง เงาสะท้อนจากพื้นหินอ่อนวาววับ และเสียงรองเท้ากระทบพื้นของเธอดังชัดในความเงียบ มีพนักงานในชุดสูทดำเดินไปมาอย่างเร่งรีบ แต่ทุกคนดูนิ่ง สุภาพ และ...ไม่ยิ้มให้ใครง่าย ๆ
เธอเดินเข้าสู่ล็อบบี้หรูหราราวกับฉากในซีรีส์เกาหลี แล้วตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ขะ…ขอเข้าพบคุณอลิสแตร์ค่ะ นัดไว้สิบโมงตรง”
เจ้าหน้าที่ต้อนรับหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มหรูยิ้มสุภาพก่อนจะกดโทรศัพท์เพียงสองวินาที แล้วพูดเสียงนิ่ม
“คุณคิมหันต์จะลงมารับค่ะ”
...ห้านาทีต่อมา
ประตูลิฟต์วีไอพีเปิดออก พร้อมชายหนุ่มคนหนึ่งในสูทเข้ารูปพอดีตัว ใบหน้าหวานจัดเหมือนนายเอกซีรีส์ แต่ดวงตานี่โคตรสายลับ MI6
ทั้งเงียบ ทั้งนิ่ง ทั้งคม
ลลิลกลืนน้ำลายอีกหนึ่งครั้ง มือกำนามบัตรไว้แน่นเหมือนเป็นยันต์กันผี
“คุณลลิล?”
เสียงของเขาทุ้มต่ำ แต่เนิบชัดแบบมีแรงกดดันแฝงอยู่ในทุกคำ
“ตามผมมา”
...จังหวะนั้นเธออยากหันหลังแล้วตะโกนว่า
“เปลี่ยนใจได้ไหมคะะะะะ!!!”
แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเดินตามหลังไปเหมือนคนจะไปขึ้นเขียง
ลิฟต์กระจกพาเธอไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ จากท้องฟ้าโปร่งใสด้านนอก กลับกลายเป็นความหนาวเหน็บภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เธออยู่กับเลขาหน้าหวาน เสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ ไม่ได้ช่วยให้ความตึงเครียดในอกคลายลงเลยแม้แต่น้อย
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เปิดออก เผยให้เห็นโถงหินอ่อนสว่างไสว ตกแต่งด้วยงานศิลป์ร่วมสมัยที่ดูแพงชนิดที่ “ราคามากกว่าบ้านทั้งหลังของเธอรวมกัน”
คิมหันต์ก้าวออกจากลิฟต์ก่อน เปิดประตูกระจกใสอัตโนมัติให้เธอด้วยท่าทางนิ่งขรึม
ลลิลยิ้มแห้ง ๆ แล้วพยายามยืนตัวตรง ทั้งที่ขาข้างในกำลังสั่นคล้ายสลิงชำรุด โถงทางเดินตกแต่งด้วยโทนสีดำ-ทองแบบมินิมอล แต่มีแผงไม้ขัดมันจากอิตาลีพาดยาวตลอดแนวผนัง
กลิ่นหอมจากเครื่องอโรมาสูงข้างกำแพงลอยคลุ้ง — ไม่แรงจนฉุน แต่เย้ายวนเหมือนเดินเข้าร้านเสื้อชั้นในราคาเหยียบแสน
“เชิญครับ”
คิมหันต์เปิดประตูบานสุดท้าย แล้วผายมือให้เธอก้าวเข้าไป และสิ่งแรกที่เธอเห็นคือ...
โต๊ะไม้โอ๊คสีเข้ม ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องอย่างเด่นชัด เก้าอี้หนังแท้ตัวเดียวด้านหลังโต๊ะ…
และ…
ไม่มีเก้าอี้ฝั่งเธอ ไม่มีแม้แต่สตูลตัวเล็ก มีเพียง ‘พรมขนนุ่ม’ ที่ดูแพงจนเธอไม่กล้าเหยียบแรง
อลิสแตร์ นั่งอยู่หลังโต๊ะนั้นในชุดเชิ้ตสีดำติดกระดุมถึงลำคอ ดวงตาสีเทาคมกริบเหลือบมองเธอขึ้นมาชั่วขณะ ขณะปลายนิ้วยังคงขีดเซ็นชื่อในเอกสารอย่างต่อเนื่อง
แรงกดดันในห้องนั้นหนาแน่นระดับ “กดลิฟต์ผิดชั้นแล้วไปโผล่ในดงเสือ”
ลลิลยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าเสียงจะดังไปถึงหูเขา
“นั่งสิ” เสียงของเขาดังขึ้น ทุ้ม ต่ำ ช้า
ลลิลกวาดสายตาไปรอบห้องช้า ๆ เหมือนกำลังมองหาสิ่งที่จะทำให้เธอนั่งหน้าเขาได้
“…แต่มันไม่มีเก้าอี้ค่ะ”
เขาเงยหน้าขึ้น สบตาเธอตรง ๆ แล้วเอียงคอเล็กน้อย
“ผมรู้”
ลมหายใจเธอติดขัด ริมฝีปากของเขากระตุกยิ้มเบา ๆ เหมือนพึงพอใจกับความกระอักกระอ่วนของเธอเต็มที่
“คุณลลิล คหบดีวัฒน์ ทายาทตระกูลอสังหาฯ ชั้นนำของไทย ปีสี่ บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย RCU ผลการเรียนดี...แต่ไม่มีใครรู้ว่าโกงนิด ๆ เวลาทำโปรเจกต์กลุ่ม”
เขายักคิ้ว
“ขี้โวยวายในไลน์กลุ่ม แต่เวลาพูดกับอาจารย์คือเสียงอ่อนหวานเป็นลูกแมว”
“…คุณ…” ลลิลแทบสำลัก
“…ไปสืบมาจากไหนเนี่ย!?”
“มีคนรู้จักอยู่ RCU เยอะน่ะ” เขาตอบหน้าตาย ก่อนวางปากกาในมือลง
“และคุณก็เพิ่งทำไวน์หกใส่สูททอมฟอร์ดที่ผมรักที่สุด…ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสัมภาษณ์งานนี้”
“…สัมภาษณ์?” ลลิลถามเสียงสูง
“ใช่”
เขาพยักหน้า
“ผมจะให้คุณฝึกงานกับผม โดยตรง ในตำแหน่ง ‘เลขานุการส่วนตัว’ ”
เขาเน้นคำว่า ส่วนตัว ด้วยโทนเสียงที่ชัดกว่าคำอื่น ๆ ทั้งหมด
“คุณจะมีหน้าที่แค่...ฟังคำสั่ง และทำตาม โดยเฉพาะตอนที่ผมเรียกหา แม้จะเป็นกลางดึก หรือในห้องลับที่ไม่ได้มีใครเข้าได้ง่าย ๆ”
ลลิลเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
นี่มันฝึกงาน หรือคัดตัวเข้าฮาเร็มกันแน่!?
“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะคะ” เธอถาม เสียงสั่นน้อย ๆ
อลิสเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ พลิกแฟ้มบางอย่างขึ้นมา แล้ววางกระแทกโต๊ะเบา ๆ
ด้านบนคือ…
เอกสารหนี้สินของ KHB Property และชื่อพ่อของเธอในบรรทัดล่างสุด
“งั้นผมคงต้องติดต่อคุณพ่อคุณ...ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนใหม่ของตระกูลคหบดี”
ลลิลตัวชา เธอเม้มปากแน่น
อลิสลุกขึ้นช้า ๆ เดินอ้อมโต๊ะอย่างไร้เสียง ก่อนจะมายืนตรงหน้าเธอ สูงกว่า นิ่งกว่า และมีแรงดึงดูดระดับกลืนใจ
“หรือจะชดใช้ด้วยวิธีที่...น่าสนใจกว่านี้หน่อย?”
เขากระซิบข้างหูเธอเบา ๆ เสียงนั้นราวกับราดไฟใส่น้ำแข็ง—เย็นแต่แสบวาบจนขนอ่อนลุกชัน
ลลิลมองชายตรงหน้าที่กำลังยืนใกล้เธอจนกลิ่นหอมจากตัวเขาลอยแตะปลายจมูก
ดวงตาสีเทานั้นจับจ้องใบหน้าเธออย่างเย็นชาแต่…มีแรงกดดันแบบ “ถ้าหนีไปตอนนี้ จะมีคนลากกลับมาแน่”
เธอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กำหมัดแน่น แล้วกัดฟันตอบเสียงสั่นนิด ๆ
“…ก็ได้ ฉันจะรับตำแหน่งนั่นก็ได้”
เขายกคิ้วน้อย ๆ แต่ยังไม่พูดอะไร
เธอจึงรีบพ่นต่อ “แต่…ฉันขอถามก่อนนะคะ ว่าฉันจะได้อะไรตอบแทน?”
อลิสยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือไขว้หลัง เสียงของเขาราบเรียบ แต่เจือด้วยน้ำเสียงของนักล่า
“เงินเดือนห้าหมื่นบาท”
ลลิลเบิกตากว้าง “ห้าหมื่น!?”
“ยังไม่จบ” เขาเอ่ยต่อ ดวงตาเรียบนิ่งเหมือนกำลังอ่านรายชื่อของเล่นที่เพิ่งซื้อมาใหม่
“คุณจะมีรถประจำตำแหน่ง พร้อมคนขับ 24 ชั่วโมง จะมีคอนโดในชื่อคุณเอง—อยู่ชั้นบนสุดของอาคารติดตึกสำนักงาน คุณจะได้อาหารดี ๆ ทุกมื้อ ได้บัตร VIP เข้างานระดับสูง และได้สิทธิ์เดินเข้าห้องผม…เมื่อไหร่ก็ได้”
ลลิลฟังจนตาโต โอ้โห นี่มันเลขาหรือสนมประจำวัง!?
“แต่…” เสียงของเขาหนักแน่นขึ้น ดวงตาเฉียบคมเจาะลึกตรงมา
“มีเงื่อนไขเดียวที่คุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเด็ดขาด”
ลลิลเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้ง หัวใจเต้นระส่ำ ทั้งจากความหวั่น…และความอยากรู้อย่างห้ามไม่อยู่
อลิสแตร์โน้มตัวเข้าใกล้เพียงเล็กน้อย ริมฝีปากหยักลมหายใจเบา ๆ ใกล้ใบหูเธอ น้ำเสียงเรียบนิ่ง…แต่ร้อนจนเธอขนลุกทั้งตัว
“คุณ…ต้องเชื่อฟังคำสั่งของผมทุกอย่าง”
เขาหยุดนิดเดียว ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้ กระซิบชิดข้างใบหูเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“แม้มันจะไม่ใช่งานของเลขาก็ตาม”
ลมหายใจของลลิลสะดุดทันที เธอหันขวับไปสบตาเขาด้วยความตกใจ แต่อลิสกลับผละออก…แค่ครึ่งก้าวเท่านั้น มากพอให้เธอเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
รอยยิ้มที่ไม่ควรจะทำให้คนหัวใจเต้นแรงได้—แต่มันทำ
“เอาล่ะ ถ้าคุณไม่มีคำถามเพิ่มเติม…”
อลิสเอื้อมมือหยิบเอกสารขึ้นมาจากแฟ้มด้านข้าง เสียงนิ้วเคาะบนกระดาษเบา ๆ อย่างเป็นจังหวะ
“...เซ็นตรงนี้”
ลลิลก้มมองแผ่นกระดาษ หัวกระดาษระบุชัดเจนด้วยฟอนต์เรียบหรูว่า ‘สัญญาฝึกงานพิเศษ – ตำแหน่งเลขานุการส่วนตัว’
เธอกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ ดวงตาไหววูบขณะจ้องเอกสารตรงหน้า คำว่า ‘เลขานุการส่วนตัว’ เหมือนมันจะเรียบง่าย แต่ในหัวเธอตอนนี้—มันดังเป็นเสียงกระซิบว่า “ทาสประธาน...แบบ Full Option”
เธอไม่รู้ว่าไอ้เอกสารนี่มันสัญญาฝึกงาน หรือ ‘ใบยินยอมให้โดนควบคุมทุกอย่าง—ตั้งแต่สมอง จนถึงเตียง’ ความรู้สึกเหมือนกำลังจะเซ็นสัญญากับซาตานที่ใส่เชิ้ตหรูและมีกลิ่นน้ำหอมแพง…ที่ทำให้ต้นขาเธอร้อน ๆ หนาว ๆ ไปหมด
“…แล้วถ้าฉันไม่เซ็นล่ะคะ?”
เสียงเธอสั่นนิด ๆ แต่กัดฟันถามออกไปจนได้
แวบหนึ่ง เธอเห็นรอยยิ้มซาตานปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อคมของเขา ก่อนที่มันจะจางหายไป…ราวกับไม่เคยอยู่ตรงนั้น
“คุณก็แค่...” เขาพูดเสียงเรียบ
“…ต้องแต่งงานกับคนที่ตระกูลคุณเลือกไว้ให้ก็เท่านั้นเอง”
เสียงเขาไม่แม้แต่จะเปลี่ยนโทน — เย็น เยียบ และโคตรเฉยเมยในชะตากรรมที่เธอกำลังหนีสุดชีวิต เหมือนเขากำลังยื่นทางเลือกที่เรียกว่า ‘ไม่มีทางเลือก’ ให้เธอ
ลลิลกัดฟันแน่น ภายในใจวุ่นวายไปหมด ทางหนึ่งคือ ‘งานเลขา’ ที่ฟังดูไม่น่าจะใช่แค่เลขา อีกทาง…คือ “งานแต่ง” ที่เจ้าบ่าวยังไม่รู้หน้าค่าตา
สุดท้าย เธอก็คว้าปากกาขึ้น มือสั่นนิดหน่อย แต่แรงกดในหัวใจคือเต็มร้อย ปลายปากกาขยับเป็นชื่อ ‘ลลิล คหบดีวัฒน์’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เพราะเธอรู้…นี่คือ ‘ทางรอด’ แม้มันจะเต็มไปด้วยป้ายคำเตือนสีแดงตัวโตว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่เขตอันตราย”
ตอน: ย้ายบ้านแล้ว แต่ยังย้ายบนเตียงไม่พอหลังจากงานแต่งงานสุดเรียบหรูริมทะเลอลิสแตร์กับลลิลไม่ได้จัดทริปฮันนีมูนอะไรหรูหราให้เวอร์วัง เพราะเขาเลือกที่จะทำสิ่งหนึ่ง…ที่เธอไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิดเดียว“เอ่อ...นี่มันไม่ใช่คอนโดของเรานี่คะ?”ลลิลยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าตึก Penthouse ใจกลางลอนดอน ที่ปิดล้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยระดับเดียวกับทำเนียบขาวอลิสแตร์แค่ปรายตามองเธอ แล้วพูดนิ่ง ๆ“นี่บ้านเรา”“ย้ายบ้านโดยที่ไม่ได้ถามลินเลยเหรอคะ?”เขาหันมามองเธอช้า ๆ ก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหู“ก็ในเมื่อ...ฉันอยากย้ายมาใช้ชีวิตกับเมียทุกตารางเมตรจะต้องถามทำไม?”ลลิลหน้าแดงซ่านทันที...และยังไม่ทันตั้งสติได้—เขาก็ช้อนตัวเธอขึ้นในอ้อมแขน แล้วพาเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น!—คืนนั้น ห้องนอนใหม่หรูหราระดับ President Suite ก็ได้กลายเป็นสนามรบรักขนาดย่อมอีกครั้ง“บะ…บอส เดี๋ยวก่อนค่ะ ลินยังไม่ได้จัดของเลย!”“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัด...ให้หมดทุกท่า”เขายิ้มร้ายก่อนจะกดร่างเธอลงบนเตียงขนาด King Size ที่เพิ่งปูใหม่เอี่ยม เสื้อคลุมไหมของเธอถูกปลดออกในชั่วพริบตา เนื้อตัวเปลือยเปล่าสะท้อนกับไฟในห้องที่หรี่ลงอย่างพอดิ
ณ มหาวิทยาลัย R.C.U. (Royal Commerce University) – คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ (IB) ชั้นปีที่ 4แสงแดดยามสายลอดผ่านผ้าม่านบางของห้องสัมมนาขนาดกลาง โต๊ะไม้เรียงเป็นระเบียบสำหรับแขกรับเชิญพิเศษที่นั่งอยู่แถวหน้า...และหนึ่งในนั้นคือเขาอลิสแตร์ ราเมียสCEO หนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษแห่ง Ramius Group ผู้มาในฐานะกรรมการรับฟังหัวข้อเสนอทุนวิจัยร่วมต่างประเทศเขาสวมสูทสีน้ำเงินเข้มเข้ารูป ปลดกระดุมสูทตัวนอกอย่างเป็นกันเอง ข้างกายมีคิมหันต์ เลขาหนุ่มหน้าหวาน ยืนเงียบขรึมเหมือนเงาตามตัว — ในสายตาอาจดูเหมือนมาเพื่อตรวจงานปกติแต่...ไม่ใช่เลยเขาแค่ ‘เบื่อ’ และบังเอิญผ่านมาที่นี่...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดึงความสนใจเขาทันที“ลลิล คหบดีวัฒน์ค่ะ — โปรเจกต์ที่ลินจะเสนอวันนี้ คือ ‘AI Ethics กับความเปราะบางของข้อมูลในโลกทุน’”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งชัดเจน มั่นใจ น้ำเสียงไม่ได้หวานเลี่ยน แต่มีจังหวะราวกับแกรนด์เปียโนที่กลั่นจากสมองดวงตาของเขาเงยขึ้น…แล้วนิ่งค้างไปชั่วขณะสาวร่างเล็กผิวขาวจัด ผูกผมหางม้าต่ำเรียบร้อย สวมสูทนักศึกษาสีกรมแบบเรียบที่สุด แต่กลับทำให้เธอโดดเด่นเกินใคร โดยเฉพาะสัดส่วนที่โตเกินร่าง
หลังเหตุการณ์ลอบสังหารและการล่มสลายของกลุ่มไฮดราผ่านไปเพียงสองเดือน—ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่ลลิลจะตั้งตัวทันเธอแทบจะลืมความระห่ำของคืนวันนั้นไปหมดแล้ว...เพราะผู้ชายคนนั้น—บอสของเธอ—จัดการทุกอย่างได้รวดเร็วเกินคาดอลิสแตร์พาคุณหญิงทัชชญาไปสู่ขอลลิลถึงเรือนไม้สักของตระกูลคหบดีวัฒน์ จังหวัดเชียงใหม่และนั่นเป็นครั้งแรกที่คุณสุรพงศ์กับคุณหญิงอมรา—บิดามารดาของเธอ ได้พบกับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่า ‘แม่สามีแห่งชาติ’ ของอังกฤษเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าการหมั้น ก็คือความจริงที่ว่า...คุณหญิงทัชชญา และคุณหญิงอมรา เคยเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่ลอนดอนเมื่อหลายสิบปีก่อน—เรื่องสู่ขอจึงกลายเป็นเพียงการระลึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนอย่างเป็นทางการเท่านั้น“แม่จะถือว่านี่เป็นพรหมลิขิตของพวกหนูสองคนแล้วกันนะลูก”ประโยคนั้นจากแม่ของเธอ ทำให้ลลิลแทบจะหลบสายตาอลิสแตร์ทั้งงานแม้เรื่องหัวใจจะดูอบอุ่นราบรื่นแต่เรื่องโลกในเงามืด...กลับยังคงเป็นไฟที่ยังไม่มอดจากรายงานลับที่คิมหันต์เอามาเล่าให้เธอฟัง—ไวรัสที่เขาเสี่ยงชีวิตเข้าไปฝังในเซิร์ฟเวอร์หลักของไฮดรา ได้ทำลายทุกเครือข่าย ทุกข้อมูล ทุกเซลล์ของโครงการนั้นอย่า
📍Safehouse ริมทะเล – 00:17 น.คลื่นซัดชายฝั่งอย่างราบเรียบ เสียงกระทบทรายแผ่วเบาเหมือนกล่อมเมืองให้หลับใหล...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในอาคารหลังเก่า ทาสีดำด้านซ่อนตัวหลังแนวสนชายหาดในห้องประชุมชั้นล่างที่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงไฟนีออนดวงเดียวส่องลงบนโต๊ะโลหะรูปวงกลม เฮราในชุดรัดรูปสีดำสนิท นั่งไขว่ห้างอยู่หัวโต๊ะ ดวงตาสีเขียวอ่อนของเธอสะท้อนจอแผนที่ดิจิทัลเบื้องหน้าฝั่งตรงข้ามคือ ฮันส์ – มือสังหารเยอรมัน ผิวขาวซีดราวกับไม่เคยโดนแดด ผมหยักศกสีบลอนด์อ่อนกับรอยแผลเป็นจาง ๆ ที่ข้างแก้มยังเป็นลายเซ็นความตายของเขา“วิลล่าของเขา มีระบบเฉพาะป้องกันทุกทางเข้าออก…” เฮราเอ่ยเสียงเรียบ“แค่ขอให้เขาออกมาจากที่นั่นเมื่อไหร่ นั่นคือโอกาสของเรา”ฮันส์จุดบุหรี่เงียบ ๆ“อลิสแตร์ต้องตายก่อนที่ไฮดรา เฟสสองจะถูกเปิดเผย”เฮราวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะ ก่อนเลื่อนหน้าจอไปยังภาพของลลิล—หญิงสาวผิวขาวในเดรสยาวบนชายหาดดวงตาเธอเย็นเยียบขึ้นทันที“และเธอคนนี้...คือจุดอ่อนของเขา”ฮันส์กระตุกยิ้ม เหมือนเสือที่ได้กลิ่นเลือด“งั้นแผน A กำจัดอลิสแตร์ แผน B จับตัวผู้หญิงไว้เป็นตัวประกัน ...ไม่ว่าแผนไหน เราก็ชนะ”เฮ
📍หาดส่วนตัว – ภูเก็ต เวลา 10:38 น.คลื่นทะเลสาดซัดฝั่งอย่างเนิบช้า แสงแดดอุ่น ๆ ส่องกระทบเม็ดทรายระยิบระยับ เสียงนกทะเลแว่วเบา ๆ คลอไปกับเสียงหัวเราะของหญิงสาวคนหนึ่งที่เล่นน้ำอยู่ห่างจากฝั่งไม่ไกลนักอลิสแตร์ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ริมชายหาด สวมแว่นกันแดดสีชาแบรนด์ดัง ใบหน้าเรียบขรึม ในมือถือแก้วน้ำมะพร้าวเย็น ๆ ที่เขายังไม่ได้แตะ...เพราะสายตาเขา จับจ้องอยู่ที่คน ๆ เดียวลลิลกำลังหัวเราะเบา ๆ ขณะเดินลุยน้ำทะเลที่ซัดสาดเป็นระลอกเล็ก ๆ รอบข้อเท้าบิกินี่สีแดงสดเข้ารูป โอบแนบผิวขาวผ่องตัดกับแสงแดด และผ้าซีทรูเนื้อบางสีขาวสะอาดที่ผูกไว้ลวก ๆ รอบเอว ถูกลมทะเลพัดปลิวไหวจนทำให้ใจเขาแทบหยุดเต้นไหล่เปลือยระยิบระยับด้วยหยดน้ำ ผิวที่กระทบแสงแดดสว่างขึ้นอีกระดับ จนไม่ว่าใครเดินผ่าน—ก็ต้องเหลียวมอง…และนั่นแหละ ปัญหาเขาขบกรามแน่น ไม่ดื่มแม้แต่น้ำมะพร้าวในมือ เพราะสมองเขามัวแต่คิดว่า—เธอกำลังโดนใครมองอยู่บ้าง?ไอ้ผ้าบาง ๆ นั่น มันกั้นอะไรได้บ้างวะ!!คนที่ควรเห็นเธอในสภาพนี้...ควรมีแค่เขามั้ยวะ?เขายื่นแก้วน้ำมะพร้าวให้บัตเลอร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังศาลาไม้ หยิบเสื้อคลุมชายยาวเนื้อบางติดมืออ
ภายในห้องทำงานไม้เก่าแก่ของคฤหาสน์ริมหน้าผา กลิ่นกระดาษเก่าและควันบุหรี่กลิ่นคลาสสิคลอยแผ่วในอากาศ หน้าต่างเปิดออกสู่ทะเล เสียงคลื่นซัดโขดหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนเสียงลมหายใจของอดีตที่ยังไม่ยอมจางเซอร์ไคล์นั่งลงหลังโต๊ะไม้โอ๊คเก่า อลิสแตร์ยืนอยู่ตรงข้าม คิมหันต์ยืนพิงผนังเงียบ ๆ รอคอยความจริงที่กำลังจะได้รับรู้“ไม่คิดเลย…ว่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกอีกครั้ง”เซอร์ไคล์พูดขึ้นในที่สุด เสียงแหบต่ำผ่านลำคอที่กร้านกรำด้วยเวลาอลิสแตร์ไม่ตอบ…เพียงสบตาเขานิ่งเซอร์ไคล์ยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาสีเทาอ่อนของเขาคล้ายกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง…ที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว“พ่อกับวินเซนต์เป็นเพื่อนกัน...ไม่สิ มากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ”“เราคือ ‘เงา’ ที่ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน...ในนาม MI6”เสียงจุดไฟแช็กดังเบา ๆ ก่อนเขาจะจุดบุหรี่ แล้วพ่นควันบาง ๆ ขึ้นฟ้า ควันนั้นลอยตัดแสงไฟสีอุ่นในห้องราวกับฉากหนังเก่า“เราสองคนเริ่มจากภารกิจเล็ก ๆ ...ล้วงข้อมูลในเบลเกรด ไล่ล่าหัวหน้าขบวนการค้าอาวุธในเบอร์ลิน แต่เมื่อ ‘โครงข่ายไร้เงา’ โผล่ขึ้นมา MI6 ก็รู้...ว่าเราไม่ได้เจอแค่ศัตรูธรรมดาอีกต่อไป”เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง“ไฮดราโปรเจก