ให้ตัวเอง
“พี่เอามาฝาก” เขามองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้ จึงใช้สรรพนามที่เอาไว้เรียกเวลาอยู่ด้วยกันสองคน ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกตกใจจึงหันขวับมองไปรอบ ๆ ตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “แกล้งฝันอีกแล้ว” นี่แหละผู้หญิงที่พ่อเขาพูดถึงก่อนหน้านั้น เธอชื่อว่า 'ฝันดี' ฝันดีเป็นพนักงานในบริษัทที่เพื่อนเขาเป็นเจ้าของ และเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักคำว่า ‘รัก’ เขาพยายามตามจีบเธอมาหลายปีแล้ว ทว่าหญิงสาวกลับไม่มีท่าทีว่าจะใจอ่อนยอมเปิดใจให้เข้าไปอยู่ตรงนั้นของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก “เป็นคนขี้ตกใจไปซะแล้ว” “ก็ดูพี่ทำสิ” “อะไร ก็แค่แทนตัวเองว่าพี่เอง” “ปกติพี่พูดที่ไหนล่ะ” เขาจะพูดเฉพาะเวลาอยู่ข้างนอกต่างหาก พอมาพูดในบริษัทเธอก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา อย่าลืมว่าแผ่นดินเป็นใครมาจากไหน ไม่ใช่คนที่เธอจะมาพูดเล่นด้วยได้ เขาเป็นถึงเพื่อนสนิทของท่านประธานบริษัทที่เธอกำลังทำงานอยู่ หากล่วงเกินอีกฝ่ายเธอมีโอกาสถูกไล่ออกได้เลยนะ “คืนนี้ว่างไหม” “คืนนี้ฝันไม่ว่างค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน พลางยิ้มอ่อนส่งมาให้ “แล้วมีวันไหนที่ว่างบ้าง” เขาพูดด้วยความน้อยใจ กี่ครั้งที่ตั้งใจจะชวนเธอออกไปข้างนอก เธอก็เอาแต่ปฏิเสธทุกครั้งไป เขาแค่อยากมีเวลาพาเธอไปทานข้าวสักมื้อ ไปดูหนังด้วยกันสักครั้ง ถึงแม้ว่าสถานะของเราสองคนจะไม่ใช่แฟนกันก็ตาม แค่ไปในฐานะพี่น้องก็ไม่ได้เลยเหรอ ทำไมเธอถึงไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ลองบ้างวะ นี่มันก็นานแล้วนะที่เขาตามตื๊อเธออยู่แบบนี้ หรือว่าเธอมีคนในใจอยู่แล้ว “ฝันขอโทษนะพี่” “ไม่เป็นไรหรอก พี่จะรอจนกว่าเราจะพร้อม” “ขอบคุณที่เข้าใจฝันนะคะ” เธอรู้มาตลอด รับรู้ถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ผู้ชายคนนี้มีให้เธอ แต่เพราะตัวเธอเองที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ฉะนั้นเธอก็ไม่ควรให้ความหวังเขาไปมากกว่านี้ หลายครั้งที่เธอพยายามทำตัวเย็นชา ราวกับไม่สนใจในสิ่งที่เขาพยายามเอ่ยชวนหรือหามาให้ เธอแค่อยากให้เขาหยุดทุกอย่างแล้วไปหาคนที่เพียบพร้อมมากกว่านี้ อนาคตเขายังมีโอกาสเจอผู้หญิงสวย ๆ อีกมากมาย เธอไม่อยากเข้าไปเป็นภาระของใครทั้งนั้น ขออยู่ในจุดที่ตัวเองอยู่แล้วสบายใจดีกว่า นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด.. “พี่ไปหาเพื่อนละ” “ค่ะ^^” หน้าห้องทำงาน แอ๊ด~ “ลืมมารยาทไว้ที่บ้านหรือไง” ทันทีที่ผลักประตูเข้าไป เสียงทุ้มของเจ้าของห้องก็เอ่ยขึ้นทันที แม้จะเป็นประโยคคำด่าทว่าอีกคนกลับไม่สนใจ แผ่นดินปิดประตูแล้วก้าวตรงไปยังโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด้วยความหงุดหงิด “เฮ้อ..” “.....” เสียงถอนหายใจดัง ๆ ดึงสายตาเจ้าของห้องให้ละจากกองเอกสารเงยขึ้นมอง “เบื่อว่ะแม่ง” “ทำไม” “ไม่บอก” “งั้นก็เงียบปากไป” อย่าให้ได้ยินเสียงเชียว เวลาคนห่วงแล้วเสือกมากวนตีน “พรุ่งนี้กูต้องเข้าบริษัทไปฝึกงานให้หลานสาวสุดที่รักของพ่อกู แล้วแม่งคนทั้งบริษัทมีแค่กูคนเดียวหรือไงวะ” เขาล่ะไม่เข้าใจพ่อตัวเองจริง ๆ เลย กะอีแค่สอนงานมันจะอะไรนักหนา บริษัทมีพนักงานเป็นพันคนแต่หวยมาออกที่เขาคนเดียว แล้วเขาคือคนที่ไม่ค่อยได้เข้าบริษัทนั้นด้วยไงประเด็น จะอยู่อีกที่มากกว่า “ก็แค่ฝึกงานแล้วมึงจะบ่นทำไม” “ถ้าฝึกกับคนอื่นกูไม่มีปัญหา แต่เพราะเป็นเด็กนั่นไง” ทันทีที่สบตากับเพื่อน ฟินิกซ์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนกำลังหมายถึงนั้นคือใคร “กลับมาแล้ว?” “อืม” “กี่ปีแล้ว เธออาจจะลืมไปแล้วก็ได้” “กูก็หวังให้มันเป็นแบบนั้น” “อย่าเพิ่งเครียดกับสิ่งที่มันยังไม่เกิด” “เบื่อว่ะ” “แล้วจะเข้าร้านไหม” “เข้าแหละ” ไม่อยากอยู่คนเดียว พออยู่คนเดียวแล้วแม่งปวดหัว คิดไม่ตกกับเรื่องพรุ่งนี้ นี่เขาต้องไปสอนงานให้เด็กนั่นจริง ๆ เหรอวะ หรือพ่อเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ร้อยวันพันปีไม่เคยมาบังคับเรื่องพวกนี้ อึดอัดชะมัด สุดท้ายก็ต้องเลิกคิดแล้วปล่อยให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ไป อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด เขารู้จุดยืนตัวเองดี แล้วหวังว่าเธอเองก็น่าจะรู้จุดยืนของตัวเองเช่นเดียวกัน ถ้าอยากทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข ก็อย่าล้ำเส้นกันมากเกินไป หวังว่าเธอจะเข้าใจก็แล้วกัน วันต่อมา “สวัสดีค่ะพี่ยี่หวา” ลูกพีชยกมือไหว้เลขาของคุณลุงด้วยท่าทีนอบน้อม ยี่หวายิ้มรับก่อนจะทักทายหญิงสาวกลับเช่นเดียวกัน “หวัดดีจ้าน้องลูกพีช คิดว่าไหวไหมเราวันนี้” “สู้ตายค่ะ” “พี่เชื่อว่าพีชทำได้แน่นอน” “ขอบคุณสำหรับกำลังใจในตอนเช้านะคะ” พอได้รู้จักนิสัยที่แท้จริงของหญิงสาว ก็ทำให้รู้ว่าเธอเป็นเด็กที่น่ารักและน่าทะนุถนอมมาก ลูกพีชถือว่าเป็นคนที่ร่าเริงเลยก็ว่าได้ แต่เธอมักจะไม่เอาความร่าเริงออกมาใช้กับคนแปลกหน้า เพราะทั้งสองทำความรู้จักและพูดคุยแลกเปลี่ยนอะไรกันอีกมากมายในเมื่อวาน ไม่แปลกหากพวกเธอจะสนิทกันมาก “พีชขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” “สู้ ๆ ค่ะ” ยี่หวาทำมือเพื่อเป็นกำลังใจส่งให้กับหญิงสาวรุ่นน้องที่กำลังจะเปิดประตูห้องทำงานของประธานเข้าไป เนื่องจากโต๊ะทำงานของเธออยู่ในห้อง นั่นหมายความว่าเธอต้องทำงานอยู่ในการควบคุมของท่านประธานเพียงคนเดียวเท่านั้น ก๊อก ก๊อก “เข้ามา” แอ๊ด~ “สวัสดีค่ะ..!!”ให้ตัวเอง“พี่เอามาฝาก” เขามองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้ จึงใช้สรรพนามที่เอาไว้เรียกเวลาอยู่ด้วยกันสองคน ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกตกใจจึงหันขวับมองไปรอบ ๆ ตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“แกล้งฝันอีกแล้ว” นี่แหละผู้หญิงที่พ่อเขาพูดถึงก่อนหน้านั้น เธอชื่อว่า 'ฝันดี' ฝันดีเป็นพนักงานในบริษัทที่เพื่อนเขาเป็นเจ้าของ และเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักคำว่า ‘รัก’ เขาพยายามตามจีบเธอมาหลายปีแล้ว ทว่าหญิงสาวกลับไม่มีท่าทีว่าจะใจอ่อนยอมเปิดใจให้เข้าไปอยู่ตรงนั้นของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก“เป็นคนขี้ตกใจไปซะแล้ว”“ก็ดูพี่ทำสิ”“อะไร ก็แค่แทนตัวเองว่าพี่เอง”“ปกติพี่พูดที่ไหนล่ะ” เขาจะพูดเฉพาะเวลาอยู่ข้างนอกต่างหาก พอมาพูดในบริษัทเธอก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา อย่าลืมว่าแผ่นดินเป็นใครมาจากไหน ไม่ใช่คนที่เธอจะมาพูดเล่นด้วยได้ เขาเป็นถึงเพื่อนสนิทของท่านประธานบริษัทที่เธอกำลังทำงานอยู่ หากล่วงเกินอีกฝ่ายเธอมีโอกาสถูกไล่ออกได้เลยนะ“คืนนี้ว่างไหม”“คืนนี้ฝันไม่ว่างค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธทันควัน พลางยิ้มอ่อนส่งมาให้“แล้วมีวันไหนที่ว่างบ้าง” เขาพูดด้วยคว
ณ คฤหาสน์ตระกูลปรีดิวัฒน์“พ่อเรียกผมมาทำไม” ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ทันทีที่เดินมาถึงห้องนั่งเล่น ปากหยักได้รูปจึงเอ่ยถามผู้เป็นพ่อพลางหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม“พรุ่งนี้น้องจะไปฝึกงานที่บริษัท ดูแลน้องให้ดี” ประมุขของบ้านเอ่ยกำชับลูกชายเพียงคนเดียวของตน เพราะลูกพีชเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา ฉะนั้นเจ้าลูกชายต้องดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี การที่หลานไปอยู่เมืองนอกเมืองนานาน อาจทำให้เธอไม่ค่อยคุ้นชินกับอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ลูกชายของตน“น้องไหน” คิ้วเข้มขมวดเป็นปม เขาเป็นลูกคนเดียว แล้วพ่อกำลังพูดถึงใครอยู่“น้องลูกพีช ลูกคุณลุงราเชน”“เดี๋ยวนะ กลับมาแล้ว?” พอได้ยินชื่อคนที่ตัวเองต้องดูแล ร่างสูงถึงกับนั่งตัวตรง เขาจำได้ว่าเธอไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 16 ปี เมื่อยังเด็กเราทั้งคู่อาจสนิทกันมาก แต่พอโตขึ้นทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป เราทั้งสองไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน ต้องบอกว่าเธอสนิทกับเขาแค่คนเดียวถึงจะถูก “ใช่ แล้วหน้าที่ของแกคือดูแลน้องให้ดีระหว่างที่น้องฝึกงานอยู่ที่บริษัทเรา” อย่าคิดให้ใครมาแตะต้องหลานสาวเ
ตึก ตึก“รอด้วยค่ะ!” เสียงที่ดังมาจากข้างหลัง เรียกสายตาผู้คนในละแวกนั้นให้หันมองด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับร่างสูงที่ยืนอยู่ในลิฟต์ เขาจึงเอื้อมมือไปกดไม่ให้ประตูปิดลงเพื่อรอเธอ“ขอบคุณค่ะ แฮ่ก~” เมื่อเข้ามาอยู่ด้านในตัวลิฟต์ ใบหน้าเปื้อนหยาดเหงื่อจึงหันไปเอ่ยขอบคุณ“ชั้นไหนครับ”“37ค่ะ” เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงกดไปยังชั้นที่หญิงสาวต้องการ ซึ่งชั้นที่ทั้งสองกำลังขึ้นไปดันเป็นชั้นเดียวกัน ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นไป ภายในลิฟต์ก็เกิดความเงียบ มีเพียงเสียงหอบหายใจของหญิงสาวดังเป็นระยะ“มาทำงานเหรอครับ” ก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะเอ่ยถาม โดยที่ตัวเขายังคงหันหลังให้เธอ“เปล่าค่ะ ฉันแค่มาทำธุระน่ะค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ มาทำธุระนี่เอง นึกว่าเป็นพนักงานที่นี่เสียอีก ดูจากการแต่งตัวไม่น่าจะใช้พนักงานแต่เขาก็ยังถามไปแบบนั้น น่าตลกชะมัดแล้วไม่นานลิฟต์ก็มาถึงยังชั้นที่หมาย ร่างอรชรก้าวออกจากลิฟต์ไปทันที และไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มแทนคำขอบคุณไปยังชายหนุ่มอีกคน เธอไม่ได้สนใจว่าเขาคนนั้นจะไปชั้นไหน ทำเพียงแค่หันหลังแล้วเดินจากไปเงียบ ๆเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นไปตามทางเดิน