เข้าสู่ระบบม่านราตรีผ่านพ้น
ร่างของชิงหลินลอยมากับกระแสน้ำที่พัดพา รู้สึกได้ว่าลอยมาไกลแสนไกล สุดท้ายถูกค้นพบโดยชาวบ้านผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังดำน้ำจับปลาอยู่ในลำธารเพื่อทำอาหารประทังชีวิต
ทันทีที่รู้สึกตัว ชิงหลินกำลังนอนนิ่งอยู่ริมลำธาร เมื่อปรับสายตาพร่ามัวจนเข้าที่ก็ได้เห็นชายผู้หนึ่งนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ ท่าทีเกียจคร้าน ท่าทางน่ากลัว จึงผวาตกใจ แข็งทื่อไปทั้งร่าง
เขามีรูปร่างใหญ่โตประหนึ่งวัวตัวผู้ แลดูน่ากลัว ใบหน้าดำคล้ำมีรอยแผลเป็นน่าเกลียดวาดผ่านเต็มไปหมด หนวดเคราเขียวครึ้มน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างมาก สายตาที่เย็นชาของเขาเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง คล้ายอำมหิตคิดฆ่าคนเช่นผักปลา
ถึงแม้ชิงหลินจะพอจำได้เลือนรางยามสติล่องลอย ว่าเขาคือผู้ช่วยนางจากม่านน้ำ ทว่าด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกลียดของเขาต่อให้อยากขอบคุณแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากสักคำ
ซ้ำยังคิดได้แต่แง่ร้าย...
เขาไม่น่าเข้าใกล้สักนิด ไม่น่าเสวนาด้วยเลย
ชิงหลินนอนนิ่งไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว ท่าทีเต็มไปด้วยความตระหนก หวาดกลัวเป็นที่สุด ร่างบอบบางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หากแต่กลับสั่นเทามากนักเพราะตื่นกลัวอย่างยิ่ง
เนิ่นนานผ่านพ้น กระทั่งอีกคนคล้ายกับรู้ตัวว่าถูกรังเกียจจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างเงียบงัน
ชิงหลินเห็นเช่นนั้นก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พยายามลุกขึ้นนั่ง ชำเลืองมองคนผู้นั้นอย่างหวาดผวา
ไม่ช้า...ก็เริ่มออกแรงขยับตัวได้ นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากมาเงียบเชียบ ไม่คิดเข้าไปขอบคุณผู้มีพระคุณแต่อย่างใด
เขาน่าเกลียดน่ากลัวเกินไป...
หลังจากพลัดตกน้ำแล้วสลบไปหนึ่งคืนเต็ม ชิงหลินจึงพาร่างกายบอบบาง จิตใจบอบช้ำกลับเข้าบ้าน
นางรู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวราวกับจะเป็นไข้ ทว่าเมื่อกลับมาถึงก็ได้เจอจางฉวนยืนอยู่กลางลานหน้าเรือนหลัก อาการเจ็บป่วยก็คล้ายกับจะหายเป็นปลิดทิ้ง
เขาสวมชุดสีครามแลดูสง่างามไม่แปรเปลี่ยน เขาคงมาขอพบนางแล้วยืนรออยู่ตรงนี้เหมือนเช่นเคย
หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจที่ได้เจอคู่หมั้นของตน ทั้งภาพบัดสีและเส้นเสียงรัญจวนเมื่อวานพลันอันตรธานหายไป
ในขณะกำลังเดินเข้าหาชายคนรัก กลับเห็นเขาแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วสะบัดชายผ้าหมุนตัวเดินเข้าโถงเรือนไป ไม่พูดไม่จา ไม่ทักทายสักคำ
ชิงหลินเบิกตาตกใจ รีบตามจางฉวนเข้าเรือนทันที
เมื่อพ้นขอบประตูก็ได้เห็นบิดามารดานั่งอยู่พร้อมหน้า อีกฝั่งยังมีอนุของบิดาและชิงลี่นั่งอยู่ด้วย
น้องชายคนสำคัญ คงออกไปวิ่งเล่นจึงมิได้อยู่ที่นี่
ส่วนจางฉวนนั่งทางฝั่งหนึ่งห่างออกไป สายตาของเขาคล้ายเหยียดหยัน
อีกฝั่งตรงข้ามมีชาวบ้านแปลกหน้าสองคน นั่งอยู่ด้วยท่าทางหลุกหลิก สีหน้าแปลกประหลาด
หญิงสาวมองอย่างไม่เข้าใจ
พวกเขาเป็นใครชิงหลินไม่รู้จัก หากแต่ไม่นานกลับประจักษ์แจ้งว่าพวกเขามาทำไม
“ข้าก็พูดไปตามที่เห็นทั้งหมดแล้ว เหตุใดต้องพาข้ามายืนยันถึงที่นี่ด้วยเล่า”
หนึ่งในชาวบ้านทั้งสองบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วน ท่าทางหงุดหงิดง่าย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับเป็นสายตากดดันของคนบ้านหาน ทำให้ผู้พูดต้องก้มหน้าลงต่ำ หุบปากทันที
หลังจากยืนโง่งมอยู่ครู่ใหญ่ ชิงหลินจึงเริ่มสังเกตเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาทางนาง เผยความเย็นเยียบผิดปกติ ยามนั้นพลันได้ยินเสียงชิงลี่เอ่ยขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้ทำตัวเยี่ยงนี้ พี่มีคู่หมั้นแล้วนะ หายตัวไปกับชายอื่นทั้งคืนได้อย่างไร”
จบคำก็ทำสีหน้าหม่นคล้ำ สายตาเผยความผิดหวังสาหัส
ชิงหลินยิ่งไม่เข้าใจ น้องสาวพูดอะไร?
ระหว่างนั้นชายหญิงแปลกหน้าคู่นี้ก็กล่าวถ้อยวาจาออกมาว่าเป็นพยานเห็นชิงหลินอยู่กับชายผู้หนึ่งที่ริมลำธาร และเหตุที่นางหายตัวไปหนึ่งคืนเต็มๆ ล้วนเป็นเพราะนัดพบกับชายผู้นั้น
ชิงหลินได้ฟังพลันตัวชาวาบ สมองขาวโพลน สองหูอื้ออึง เริ่มเข้าใจขึ้นมาบางส่วน
“ผู้ใด?” หานอี้ซวนถามเสียงดัง สีหน้าเผยความโกรธกรุ่น
หญิงตัวอ้วนรีบตอบ “เป็นเจ้ากงหนิว[1]ท้ายหมู่บ้านเจ้าค่ะ ข้าเห็นกับตา”
“ใครกันกงหนิว แค่ชื่อก็ไม่น่าคบหา”
ชายอีกคนช่วยอธิบายเสียงดัง “ชายอัปลักษณ์ประจำหมู่บ้านผิงเหยียนของเราอย่างไรเล่าขอรับ นายท่านอาจไม่รู้จัก แต่พวกยากจนท้ายหมู่บ้านล้วนรู้จัก ชายผู้นี้อาศัยอยู่ริมลำธาร ลักษณะตัวสูงใหญ่ หนวดเครารุงรัง ทั้งใบหน้ามีแต่รอยแผลเป็น น่าเกลียดมาก ที่สำคัญเป็นใบ้พูดไม่ได้ แผ่นหลังยังโค้งงอ แลดูน่ากลัว ลักษณะคล้ายวัวตัวผู้ในร่างมนุษย์ ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่ากงหนิวขอรับ”
ทุกคนบ้านหานได้ฟังก็ตกใจ
ชิงหลินยิ่งตื่นตระหนกกว่าผู้ใด
เมื่อร่ายวาจาครบถ้วนแล้ว พยานชายหญิงคู่นี้จึงถูกอนุของบิดาพาตัวออกจากห้อง มอบเงินให้แล้วเชิญกลับไป
พยานชายหญิงจากไปแล้ว ภายในห้องโถงยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศอึมครึมดำทะมึนและอึดอัดกดดันเต็มส่วน
ชิงหลินยามนี้เริ่มมีพิษไข้รุมเร้าอย่างรุนแรงเสียแล้ว จึงทำให้ไร้เรี่ยวแรง ทั้งสติยังเริ่มพร่าเลือน
นางใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีพยายามอธิบาย ทว่ากลับพูดจาติดขัดเปล่งเสียงไม่ออกสักคำ
“ขะ...ข้า...ข้าไม่ได้...”
[1] 公牛 กงหนิว แปลว่า วัวตัวผู้
ก่อนเดินทางกลับวังจี๋เสียงในอีกสามวันข้างหน้า ภาระงานสำคัญต่าง ๆ ภายในตำหนักเห็นจะตกมาอยู่ในมืออี๋เป่าเสียส่วนใหญ่ เพราะเด็กหนุ่มเป็นคนขยันกว่าใคร เพื่อเงินแล้วเขาไม่หลับไม่นอนทำงานทั้งวันทั้งคืนก็ยังได้วันนี้อี๋เป่าทำหน้าที่คัดเลือกนางกำนัลคนใหม่เข้ามาได้จำนวนหนึ่งเพื่อพากลับวังจี๋เสียงไปคอยปรนนิบัติรุ่ยชินอ๋อง และด้วยเขาเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบจึงพาเด็กสาวแต่ละนางเดินทางไปพบเย่เสียเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยคัดเลือกอีกคราเย่เสียเองก็ไม่ทำให้อี๋เป่าต้องผิดหวัง นางคัดเลือกคนอย่างจริงจังเคร่งเครียดที่สุด“นางผู้นี้ตีหน้าเศร้าตลอดเวลาเรียกความสงสารจับใจ ส่วนผู้นี้มีใบหน้ายั่วยวนเกินไป นางนี้มีนัยน์ตากลมโตกระจ่างใส ส่วนสองคนนี้มีหูตาพร่างพราวยิ่งนัก อีกคนด้านนั้นยังมีความลึกลับน่าค้นหาอย่างยิ่ง ยังมีคนนี้สัดส่วนอวบอิ่ม หน้าอกอวบนูน คนนั้นเส้นผมดำขลับ ฟันขาวเกินไป”เย่เสียพินิจเด็กสาวตรงหน้าทีละคนอย่างละเอียดถ่องแท้ก่อนสั่งการเสียงเฉียบไปทางอี๋เป่า“หญิงสาวที่ข้ากล่าวมาคัดออกให้หมด!”นางหรี่ตาเอ่ยอีกครา “พวกเจ้าที่ถูกคัดออกก็อย่าได้เสียใจไป ความดีและความงามของพวกเจ้าฟ้าดินย่อมประจักษ์ ยังจะได้พบ
ภายในศาลากลางน้ำยามนี้ยิ่งเข้าสู่ความเงียบสงัดประดุจดินแดนคนตายสีหน้าของทุกคนเผยออกมาว่าเริ่มเชื่ออิงอิงแล้วแต่เย่เสียมีหรือจะยอม นางไม่มีทางให้ลี่เซียนหลุดจากตำแหน่งพระชายาแน่นอน หญิงสาวลุกขึ้นทันใด เดินไปประจันหน้ากับอิงอิงทันที“ไร้สาระสิ้นดี! เจ้าพูดเช่นนี้ มิใช่กล่าวหาวีรบุรุษเฉกเช่นท่านอ๋องว่าเป็นบุรุษหลายใจหรือไร? ไยมิใช่ต่อว่าบุรุษดีเลิศอย่างท่านอ๋อง ว่าทรงร้างเยื่อใยกับอีกคนแล้วเลือกลักลอบผูกสัมพันธ์กับสตรีอีกคนที่แดนไกล กระทั่งตัดสินใจอย่างอุกอาจไร้ความคิด โดยการพากลับมาแต่งงานเพื่อหยามเกียรติสตรีอีกนางหนึ่งที่เป็นถึงคนรักเก่า?” วาจาเย่เสียมิอาจดูเบาได้จริงๆ นางยืดตัวจ้องหน้าอิงอิง สองตาจิกตรึงอย่างคาดโทษพร้อมลงทัณฑ์ พลางเอ่ยเสียงกร้าว“เช่นนี้ มิใช่ว่าเจ้ากำลังกล่าวโทษท่านอ๋องอยู่หรือไร? ช่างสามหาวยิ่งนัก! บังอาจสิ้นดี! มีกี่ชีวิตก็ไม่พอชดใช้!”เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมาอย่างฉะฉาน อิงอิงถึงกับชะงักงันหน้าถอดสี รีบแก้ตัวว่า“ข้าไม่มีทางกล่าวโทษท่านอ๋องอยู่แล้ว แต่ตรงกันข้าม ข้ากำลังปกป้องท่านอ๋องและสตรีของท่านอ๋องสุดชีวิต”อิงอิงหันหน้าไปทางทุกคนที่คุ้นเคยในศาลา “พวกท่
กัวโหย่วอวี้เหยียดยิ้มอ่อนหวานดุจเดิม เพิ่มเติมคือเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น หมายมาดออดอ้อนฝ่ายบุรุษให้ฝ่ายสตรีเกิดธาตุไฟเข้าแทรกกระอักเลือดเจียนตายทว่ายังไม่ทันที่คุณหนูกัวผู้สูงส่งจะคิดการณ์เลยเถิดจนอาจก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวของผู้อื่น เสียงหนึ่งพลันดัง“ทุกท่าน อย่ามัวสังสรรค์กันเลย ข้ามีเรื่องด่วนมาแจ้ง”เจ้าของเสียงคืออิงอิง นางวิ่งมาหยุดยืนถมึงทึงเบื้องหน้าของทุกคนในศาลา ตะโกนอีกว่า “พวกท่านต้องช่วยท่านอ๋องนะ ชักช้ามิได้โดยเด็ดขาด”แม่ทัพหนุ่มทั้งสี่รวมถึงเมิ่งหรูล้วนคุ้นเคยกับอิงอิง เพราะอีกฝ่ายเป็นหมอหญิงที่วุ่นวายที่สุดในใต้หล้ากระทั่งถังไห่เฉิงยังไม่คิดถือสาหาความอันใด ด้วยคิดว่าคงไม่เกิดประโยชน์หากจะทัดทานหรือต่อต้านมิให้ปลาว่ายน้ำ ห้ามม้ามิให้วิ่ง ห้ามนกโบยบิน ห้ามผีเสื้อมิให้ดอมดมดอกไม้ทุกสิ่งช่างเปรียบเทียบกับอิงอิงได้เหมาะสมอย่างยิ่งเว่ยฉีถามอิงอิงด้วยเสียงราบเรียบไร้อาการตื่นเต้นอันใด “มีเรื่องอะไรหรือ?”อิงอิงมีหรือจะช้า นางเดินขึ้นหน้า กล่าวเสียงหนัก “พี่เว่ย พี่ติดตามท่านอ๋องตลอดเวลา ไยไม่ดูแลหรือเพียรสังเกตให้ดีเล่า พระองค์กำลังถูกมนต์ปีศาจกลืนกินจนถึงจิตวิญญาณแล
ในศาลายังคงครึกครื้นต่อไปจังหวะนั้นเสียงหนึ่งพลันดัง“ทางนี้ขอรับ ทุกคนกำลังสังสรรค์ร่วมยินดีกับท่านอ๋อง เชิญคุณหนูตามสบาย ของขวัญแต่งงาน ข้าน้อยจะดูแลส่งให้ถึงมือท่านอ๋องเลยขอรับ”เจ้าของเสียงคืออี๋เป่า เขากลายเป็นผู้ช่วยพ่อบ้านเต็มตัว ดูแลเรื่องแขกเหรื่อที่นำของขวัญและคำอวยพรมามอบให้เจ้าของตำหนักในแต่ละวันเมื่อแขกผู้มาเยือนแจ้งประสงค์ว่าต้องการเข้ามาเจอสหายอย่างแม่ทัพหวัง เขาจึงทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้ไม่มีตกหล่น โดยการพามาถึงศาลากลางสระบัวอี๋เป่าผายมือเชื้อเชิญพลางเอ่ยอย่างนอบน้อมเป็นการเป็นงานอีกว่า “แม่ทัพหวังอยู่ด้านนี้ขอรับ เชิญคุณหนูกัว”คุณหนูกัวล้วงแขนเสื้อหยิบสินน้ำใจถุงหนึ่งส่งให้อี๋เป่า พร้อมถ้อยคำหวานละมุน “ขอบคุณท่านมาก”เจ้าของคำหวานคือสตรีงดงามผู้หนึ่ง นางดูสูงส่งไร้ที่ติ ทั้งมีจริตมารยาทนุ่มนวลสบายตา กอปรกับอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ปักลายบุปผาสีเงินยวงยิ่งขับเน้นให้นางดูสะคราญโฉมเฉิดฉายราวเซียนสาวจำแลงเมื่อเพ่งพิศภายใต้แสงตะวันอันร้อนแรงอี๋เป่ายิ้มรับสินน้ำใจจนตาหรี่หยีก่อนค้อมเอวล่าถอยไป ทิ้งเอาไว้เพียงบุคคลในศาลาที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่ยินดีแม่ทัพกู้ แม่ทัพซุนและเม
“น้องเมิ่ง ข้าเองก็ไม่เคยเปลี่ยนไป”แม่ทัพหนุ่มซุนและแม่ทัพกู้ผลัดกันพูดต่อคำเช่นนั้น ให้รู้สึกรื่นเริงอย่างมาก จึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังฟังชัดลั่นศาลา ไม่คิดกริ่งเกรงชายผู้เคยชนะใจสาวงามแซ่เมิ่งเลยสักนิดหวังหย่งยิ่งมึนตึงหันหน้ามองเมิ่งหรูด้วยดวงตาราวลูกไฟ“หรูเอ๋อร์...”เขาทำได้เพียงตัดพ้อเสียงอ่อน ไม่กล้าหยิ่งทะนงอีกแล้ว “ข้าไม่หย่ากับเจ้าเด็ดขาด สาบานจะไม่ซื้อหญิงคนใดอีกด้วย หายโกรธข้าได้แล้ว”เมิ่งหรูยังคงรู้สึกได้ถึงความเสียใจจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ในอกลึกๆ ยังรู้สึกเจ็บปวดสิ้นดี มิอาจสลัดออกได้สักวัน จึงส่งเสียงเฮอะเบาๆ ตวัดสายตาไปทางอื่น ไม่มองหวังหย่งอีก ทำทางเย่อหยิ่งที่สุดในปฐพี เชื่อคำสั่งของพระชายาลี่เซียนยิ่งชีพลี่เซียนเคยบอกเมิ่งหรูว่า ต่อให้ไม่มีสตรีชุดเขียวคนนั้น หวังหย่งก็ต้องมีสตรีคนอื่นอีก มิสู้ตัดใจจากบุรุษมักมากเสียหญิงสาวจึงทำตัวเย่อหยิ่งถือตัวต่อไป ไม่สนใจชายผู้เป็นสามีสักนิด“หรูเอ๋อร์...”หวังหย่งเองก็วางความสูงส่งองอาจของตนลงแล้วจนสิ้น ไม่คิดวางท่าเป็นผู้นำต่อหน้าภรรยาแม้เพียงครั้งเดียว“ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้ายังได้ จะตีจะต่อว่าก็ทำเลย ได้โปรดหยุดประช
ถังไห่เฉิงละสายตาจากหนังสือนิทานบรรพกาลที่ภรรยาชอบฟัง พลางเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม“ไม่มีหมูก็ไม่มีบ้าน สามีร่ำรวยเช่นข้าจะเลี้ยงภรรยาให้เหมือนหมูที่อ้วนจนมันเยิ้ม วันๆ เจ้าควรจะต้องเอาแต่กินๆ นอนๆ ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย เพื่อรอวันที่จะถูกสามีจับเชือดชำแหละ นำไปทำเป็นอาหารอันโอชาในห้องนอนเท่านั้น” “ท่านอ๋อง...” แม่นางน้อยพลันมีสีหน้ายับย่น “ท่านช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก”บุรุษผู้โหดเหี้ยมได้ฟังถึงกับหลุดหัวเราะ “เจ้าเป็นหมูก็ดี ข้าชอบกินหมูที่สุด”“...”เพื่อเป็นการยืนยัน ถังไห่เฉิงยังก้มหน้าจูบลี่เซียนแรงๆ อย่างเอื้อเอ็นดู เพราะนางคือหมูที่น่ารักน่าชัง กล้าหาญ มีน้ำใจ ซื่อตรง สุขุม จริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ เป็นหมูหนึ่งเดียวของเขา“ข้าเริ่มหิวอีกแล้ว...”กล่าวจบก็วางหนังสือนิทานทิ้งไปก่อนจับพลิกร่างนุ่มแล้วคร่อมทับอย่างสนิทสนม กักตัวนางเอาไว้ด้วยวงแขนแข็งแรงลี่เซียนเบิกตาโต “ยังไม่พ้นวันเลยนะ!”อ๋องหนุ่มเลิกคิ้ว “แล้วอย่างไร?”จบคำก็ก้มหน้าลงต่ำ กลืนกินภรรยาคนงามอย่างนุ่มนวลแต่ร้อนแรงช่วงเวลาเข้าหอก็เช่นนี้ ยามทิวาหรือราตรีล้วนเป็นใจ จะเหมันต์หรือคิมหันต์ยังเสมือนมีหยาดพิรุณชุ่มฉ่ำทั้งค่ำเช







