ในศาลบรรพชนยามวิกาล กัวรั่วชิงคุกเข่าอยู่หน้าแผ่นป้ายบรรพชนมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือก มีเพียงแสงสลัวจากเทียนไขที่ส่องสว่างอยู่ด้านข้าง กัวลี่ลี่ยืนเฝ้านายของตนอยู่ไม่ไกลด้วยแววตาเป็นห่วง นางจ้องมองแผ่นป้ายวิญญาณเบื้องหน้าด้วยแววตาที่สงบ ไม่มีแววตาของความรู้สึกผิดหรือความเจ็บปวดใดๆ
ไม่นานนัก ประตูศาลบรรพชนก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา หญิงสาวในอาภรณ์สีอ่อนสะท้อนแสงไฟ หลิวซิ่วเหยาเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้ของนาง หลิวอิง นางถือตะเกียงในมือเดินตรงเข้ามาหานางเอกด้วยท่าทางที่ดูเป็นกังวล
“พี่สาวเจ้าขา... น้องสาว ได้ยินว่าท่านถูกซื่อจื่อลงโทษ จึงรีบมาดูว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวซิ่วเหยากล่าวเสียงหวาน ทว่าแววตาของนางกลับมีความสะใจฉายออกมาอย่างชัดเจน
“ซื่อจื่อคงจะโกรธท่านมากจริงๆ ถึงได้ลงโทษท่านเช่นนี้”
กัวรั่วชิงไม่ได้ตอบอะไร นางยังคงคุกเข่าอย่างสงบ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของหลิวซิ่วเหยาแม้แต่น้อย
“พี่สาว ท่านเป็นถึงฮูหยินซื่อจื่อ แต่กลับถูกลงโทษรุนแรงปานนี้... ถ้าผู้ใดรู้เข้า ท่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ช่างน่าเวทนาจริงๆ”
กัวลี่ลี่ซึ่งยืนอยู่เงียบๆ ถึงกับทนไม่ไหวอีกต่อไป นางก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความเคารพ แต่เต็มไปด้วยความนัย
“อนุหลิว หากท่านเป็นห่วงฮูหยินของเราจริง ท่านก็อยู่รับโทษเป็นเพื่อนเสียเลยสิ แล้วเรื่องที่ท่านบอกว่า 'ผู้ใดรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด' นั้นคงไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ เพราะข้าจะช่วยป่าวประกาศให้ท่านเองว่าท่านเป็นอนุที่ดีตามมารับใช้ฮูหยินซื่อจื่อถึงที่นี่”
“แก! นังบ่าวชั้นต่ำ มีสิทธิ์อะไรมาสอดปาก” หลิวซิ่วเหยาตวาดเสียงแหลม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความโกรธ
“แล้วอนุหลิวเล่า มีสิทธิ์อันใดมาก่อกวนฮูหยินถึงที่นี่ “กัวลี่ลี่พูดอย่างหนักแน่น “อีกอย่าง ถึงบ่าวจะเป็นแค่สาวใช้ แต่ก็มาจากจวนชิงผิงโหว มิหนำซ้ำยังเป็นคนของฮูหยินซื่อจื่อ เมื่อท่านที่เป็นเพียงอนุเสียมารยาทต่อฮูหยิน ข้าย่อมต้องเตือนความจำท่านสักหน่อย เพราะต่อให้ซื่อจื่อโปรดปรานท่านเพียงใด ผู้ที่เป็นอนุอย่างท่านก็ไม่มีสิทธิ์จะมากล่าววาจาล่วงเกินฮูหยินของเราได้”
เห็นดังนั้น หลิวซิ่วเหยาก็ยิ่งโกรธจัดจนตัวสั่นเทา นางมองกัวลี่ลี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพยาบาท ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ “คอยดูเถอะ ข้าจะไปบอกซื่อจื่อให้มาจัดการเจ้า”
“บ่าวก็อยากรู้เหมือนกันว่าซื่อจื่อจะสั่งลงโทษบ่าว เพื่ออนุที่มาหาเรื่องฮูหยินของเขาหรือไม่” กัวลี่ลี่รู้ดีว่าคนอย่างโจวจื่อหมิงจะไม่ทำอะไรที่สามารถกลายเป็นข้อครหาทีหลังได้แน่นอน คนเห็นแก่หน้าตาเยี่ยงนั้นไม่มีทางยอมให้เกิดข่าวลือประเภท ‘ได้ใหม่ลืมเก่า’ หรือ ‘หลงอนุ ทิ้งภรรยาเด็ดขาด’ ต่อให้เขาไม่โปรดปราณฮูหยินของตนแค่ไหนก็ตาม
“เจ้า!” หลิวซิ่วเหยาตวัดสายตามองกัวลี่ลี่อีกครั้ง “จำไว้! สักวันข้าจะทำให้เจ้าได้รับผลจากากรที่บังอาจมาต่อปากต่อคำกับข้า” นางขู่คำรามด้วยเสียงต่ำ
“อนุหลิว... หากเจ้าคิดไม่ออกข้าก็ยินดีสั่งสอนสักครา” กัวรั่วชิงพลันส่งสายตาเยียบเย็น กับรอยยิ้มหยันจางไปให้สตรีน่ารำคาญที่มายืนโหวกเหวกโวยวานไม่เลิก “ฟ้าสูงเพียงใด เจ้าก็ไม่มีวันเอื้อมถึง หรือต่อให้เจ้าพยายามเหยียบย่ำข้าแค่ไหน เจ้าก็ไม่มีวันลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้าได้ เช่นเดียวกันกับข้าที่ไม่อาจร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน ด้วยความจริงเหล่านี้ ข้าจึงไม่เคยลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้า”
“พี่สาว... มันจะเกิดไปแล้วนะ!” หลิวซิ่วเหยาโกรธจนตัวสั่น แต่ก็ทำอะไรกัวรั่วชิงไม่ได้ เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงธิดาท่านโหว แตกต่างจากตนเองที่เป็นเพียงบุตรสาวของขุนนางขั้นหกเล็กๆ ในกรมพิธีการ
“มัวเอะอะอะไรอยู่อีก รีบไสหัวไปได้แล้ว” กัวรัวชิงหรี่ตามอง น้ำเสียงแสดงอำนาจเต็มที่
หลิวซิ่วเหยาเพิ่งเคยเห็นกัวรั่วชิงโกรธ นางจำต้องถอย “นะ...น้องสาวคงต้องไปแล้ว ขอให้ท่านสำนึกผิดให้สำเร็จนะเจ้าคะ” พอกล่าวจบด้วยน้ำเสียงตะกุตะกัก นางหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหลิวอิงที่รีบเดินตามหลังไปติดๆ
เมื่อเสียงฝีเท้าของหลิวซิ่วเหยาเงียบไป กัวลี่ลี่ก็รีบทรุดตัวลงข้างนายของตนทันที “ฮูหยินเจ้าขา... ท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ”
กัวรั่วชิงยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น แต่แววตาที่เคยว่างเปล่ากลับเริ่มมีประกายบางอย่างฉายออกมา นางไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเจ็บปวด แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด นางหันไปมองกัวลี่ลี่พลางยื่นมือไปแตะที่ไหล่ของสาวใช้
“ลี่ลี่ เจ้าพูดถูกแล้ว” น้ำเสียงของนางเรียบสงบ หากแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ต่อให้โจวจื่อหมิงไม่เห็นค่าในตัวข้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าอนุเช่นหลิวซิ่วเหยาจะมีสิทธิ์มาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้า”
ในคืนนั้น กัวรั่วชิงตระหนักได้ว่าการทนรอให้ถึงวันหย่าขาดเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว นางต้องลุกขึ้นต่อสู้และทวงคืนศักดิ์ศรีที่สูญเสียไปทั้งหมดคืนมาให้ได้ด้วย
“จากนี้ไป... ข้าจะไม่ยอมเป็นฮูหยินที่น่าเวทนาอีกแล้ว” เสียงของนางแผ่วเบา หากแต่เต็มไปด้วยพลังที่หนักแน่นราวกับคำปฏิญาณ
เมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพพลันเงียบสงบลงกว่าปกติ มีเพียงแสงนวลตาจากโคมไฟกระดาษที่แขวนเรียงรายตามทางเดินเท่านั้นที่ขับไล่ความมืดมิดออกไปซูหมิ่นจูในชุดสีชมพูอ่อนถูกซูจิ่นนำมาส่งตรงทางเข้าเรือนใหญ่ของหวงเชียนเล่อ หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความยินดีผสมกับความประหม่า นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งพยายามปรับสีหน้าท่าทางไม่ให้ดูตื่นเต้นเกินไป ก่อนก้าวเท้าผ่านประตูบุปผาไปทางเดินปูด้วยหินขัดเรียบ ทอดยาวผ่านสวนเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง มีกอไผ่และต้นหลิวพริ้วไหวตามแรงลม บนทางเดินมีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าอ่อนๆ ลอยมาเป็นระยะ ยิ่งทำให้หัวใจของนางพองโตมากขึ้นไปอีกเมื่อเข้ามาภายในเรือนจะพบกับห้องโถงที่กว้างขวางและดูเคร่งครึม ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ ไม่มีเครื่องตกแต่งที่หรูหราฟุ่มเฟือย แต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างลงตัว โต๊ะไม้ขนาดพอเหมาะตั้งอยู่กลางห้อง มีอาหารจัดวางอยู่เพียงไม่กี่อย่าง แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายสมเป็นเรือนของแม่ทัพที่โต๊ะนั้นเอง ซูหมิ่นจูเห็นร่างสูงใหญ่ของหวงเชียนเล่อนั่งร
ยามนี้ซูหมิ่นจูตระหนักแล้วว่ากัวรั่วชิงไม่ใช่พลับนิ่ม แต่เป็นสตรีจิตใจล้ำลึกและร้ายกาจดังข่าวลือที่ได้ฟังมาจริงๆ แต่การที่ตนเองโดนเล่นงานตั้งแต่ครั้งแรกเยี่ยงนี้จะบอกให้ท่านน้ารู้ไม่ได้ ยิ่งกับญาติผู้พี่ยิ่งไม่ได้อย่างเด็ดขาด“เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย ถ้าข้ารู้ว่าผู้ใดปากมาก ข้าจะเล่นงานให้หนัก”“ขอรับคุณหนูซู” แม้เรื่องนี้จะน่านำไปเล่าต่อแค่ไหน แต่ทหารผู้คุ้มกันสองสามคนที่ตามมาก็จำต้องรับคำ เพราะไม่อยากซวยจากความปากสว่างซูหมิ่นจูกับซูจิ่นขึ้นรถม้ากลับจวนแม่ทัพทันที ความเงียบปกคลุมอยู่ภายในรถม้าได้ไม่นาน ซูหมิ่นจูที่ยังคับแค้นใจไม่หายพลันทุบกำปั้นลงบนที่นั่งอย่างแรง“ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่สตรีม่ายที่โดนบุรุษอื่นทอดทิ้งมาก่อน แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำ ดูถูกเหยียดหยามคุณหนูในห้องหอที่ไร้เรื่องฉาวอย่างข้า” นางเอ่ยด้วยความโกรธ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเกลียดชัง“คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ” ซูจิ่นพยายามปลอบคุณหนูของตนเอง“ใจเย็นงั้นรึ พูดออกมาได้” ซู
ตั้งแต่เกิดมามีแค่ไม่กี่คนที่รังแกนางได้หนึ่งคือกัวจิ้งอี สองคือโจวจื่อหมิง แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ถูกนางเล่นงานจนย่ำแย่ไปแล้วนับประสาอะไรกับคุณหนูปากกล้าตรงหน้า อย่างนางจะเป็นตัวอะไรได้“นี่เจ้าจะทำร้ายคนหรือ” จูหมิ่นจูไม่คิดว่าสตรีที่ดูนุ่มนิ่มในตอนแรก บัดนี้กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาด้วยแววตากลัว “ช่วยด้วย! นางจะทำร้ายข้า”“ไสหัวไป ร้านค้าของข้าไม่ต้อนรับพวกคนเถื่อน” พูดจบพนักงานหญิงตัวใหญ่สองคนออกมาจากทางด้านหลังร้าน “โยนพวกนางออกไป” กัวรั่วชิงสั่งน้ำเสียงเด็ดขาด“อย่าเข้ามานะ! ข้า...ข้าออกไปเองได้”“เชิญ” ใบหน้างดงามปานเทพธิดาปรากฏรอยยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มหยันที่ทำให้คนโมโหจนแทบดิ้นตาย “เจ้าก็รีบกลับบ้านนอกไปเสียเถอะ เมืองหลวงไม่เหมาะกับคนอย่างเจ้า”ซูหมิ่นจูตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป นางไม่คาดคิดว่าสตรีม่ายที่นางดูถูกจะกล้าโต้ตอบเช่นนี้ ใบหน้าสวยหวานของนางแดงก่ำด้วยความโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นางได้แต่กัดฟันกรอดๆ ด้วยความคับแค้นใจ แ
“ขออภัยด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท” เสียงนุ่มนวลที่ดังมาจากประตูหลังทำให้ซูหมิ่นจูและซูจิ่นหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีกลีบบัวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจยิ่ง“เจ้าเป็นใคร” ซูจิ่นถามอย่างหยิ่งผยอง“ข้าคือเจ้าของร้านจื่อชิงแห่งนี้ นามว่ากัวรั่วชิง” น้ำเสียงของนางยังคงความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย“อ่อ เจ้าเองสินะ” ซูหมิ่นจูมองมาด้วยสายตาเย็นชา‘นางคือสตรีม่ายที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ กัวรั่วชิง งั้นเหรอ’ ซูหมิ่นจูเก็บความรู้สึกไม่ยินยอมไว้ภายในใจ นางไม่คาดคิดว่าคู่แข่งความรักของตนจะดูงดงามและสง่าดังดอกโบตั๋นเยี่ยงนี้ นางเดินเข้าไปหากัวรั่วชิงอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาที่กำลังประเมินเหยื่อ“ข้าเคยได้กลิ่นหอมจากร้านใหญ่ๆ ในเมืองหลวงมาแล้ว” ซูหมิ่นจูเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “แต่กลิ่นของที่นี่ช่าง...ธรรมดาเส
หวงเชียนเล่อเดินนำนางไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินสีเทาเข้มอย่างเป็นระเบียบ สองข้างทางมีต้นสนสูงใหญ่อายุหลายร้อยปีปลูกเรียงรายอย่างสง่างาม กำแพงสูงใหญ่ของเรือนพักรายล้อมไปด้วยพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีต บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีเสียงอึกทึกของผู้คนในตลาด มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านยอดไม้และเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินตรวจตราเป็นระยะ ซูหมิ่นจูรู้สึกได้ถึงความสงบและอำนาจที่แฝงอยู่ในทุกย่างก้าว นางเดินตามพลางมองแผ่นหลังกว้าง หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาและความหวังในอนาคตที่นางเพิ่งจะวางแผนไว้เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง นางก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นห้องที่ถูกเตรียมไว้ มันถูกประดับประดาอย่างสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ดูก็รู้ว่าใส่ใจอย่างยิ่ง“พี่เชียนเล่อ ท่านเตรียมสิ่งนี้ให้ข้าหรือ” นางเอ่ยถามด้วยดวงหน้าแดงซ่าน“ใช่แล้ว เจ้าชอบหรือไม่เล่า”“ข้าชอบมากเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้า
หวงเชียนเล่ออ่านจบก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋าเสื้อ “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หวงเชียนเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านแม่แค่จะส่งจูเอ๋อร์มาทำธุระที่เมืองหลวง”“ฮูหยินคงส่งนางมาสอดส่องว่าท่านใช้ชีวิตเหลวไหลอย่างไรที่นี่มากกว่า”หวงเชียนเล่อหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าพูดถูกแล้ว ท่านแม่ของข้าคงจะคิดเช่นนั้น”“แล้วท่านไม่กังวลหรือ” หูจวี๋ถามอย่างเป็นห่วงหวงเชียนเล่อส่ายหน้า “ข้าไม่กังวลหรอก จูเอ๋อร์เป็นคนน่ารัก นางคงไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อข้าหรอก”หวงเชียนเล่อเอ็นดูซูหมิ่นจูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ทั้งยังแอบคิดในใจว่า หากญาติผู้น้องได้พบกับกัวรั่วชิงและชื่นชอบในตัวนาง มารดาของเขาอาจจะยอมรับในตัวกัวรั่วชิงได้ง่ายขึ้น“เจ้าช่วยสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมเรือนพักรับรองให้ญาติผู้น้องของข้าที่กำลังจะมาเยี่ยม”“ขอรับ” หูจวี๋โค้งคำนับแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมา “ท่านแม่ทัพ แล้ว