พิริยายังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ที่เก้าอี้สาธารณะริมถนนใหญ่ตรงปากทางเข้าซอยบ้านในชาติก่อน ความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว สิ้นหวัง ได้จู่โจมเข้ามาหาอย่างไม่หยุดหย่อน เธอคิดว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมก่อนแขวนคอตายได้อย่างถ่องแท้แล้ว ความรู้สึกของการไม่เหลือใครให้พึ่งพิงมันน่ากลัวอย่างที่สุด
พิริยาเริ่มเข้าใจอยู่ลาง ๆ แล้วว่าเธอน่าจะย้อนเวลากลับมาอยู่ในโลกคู่ขนานกับโลกเดิมที่เคยอยู่ โลกคู่ขนานที่ไม่เคยมีครอบครัวเดิมในชาติก่อน จะให้คิดว่าครอบครัวอาจเปลี่ยนไปอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของเมืองหลวงแห่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่ดินตรงนั้นเป็นที่ดินมรดกซึ่งได้รับสืบทอดต่อ ๆ กันมาตั้งแต่สมัยคุณทวด ไม่เคยขายหรือเปลี่ยนมือให้ใคร
แล้วเธอก็เริ่มเชื่อได้อย่างสนิทใจแล้วว่า ป๊ากับม้าคนเดิมของเธอในชาติก่อนคือพ่อและแม่ของเจ้าของเดิมในโลกคู่ขนานแห่งนี้ เธอได้มีโอกาสย้อนกลับมาเป็นลูกของพวกท่านอีกครั้ง แต่โชคชะตาก็ยังเล่นตลก ให้พ่อและแม่ตายจากไปอีกครั้ง ไม่ให้โอกาสเธอได้พบปะ พูดคุย หรือแสดงความรักกับพ่อและแม่แม้แต่น้อย พิริยานั่งกอดเข่าพร้อมซุกหน้าลงไปอย่างหมดแรง
หนูคิดถึงป๊ากับม้า
“ร้องไห้ได้นะลูก ร้องไห้กับย่าตรงนี้ได้เลย” เสียงพูดของหญิงชราลอยแว่วเข้ามาที่หู พิริยาชะงักฟังนิ่ง
“ไม่ครับ คนอ่อนแอเท่านั้นถึงจะร้องไห้ได้” เสียงของเด็กชายวัยรุ่นเอ่ยตอบ
“แล้วตอนนี้หลานชายย่ากำลังรู้สึกอ่อนแออยู่หรือเปล่าล่ะ” หญิงชราถามหลานชายด้วยน้ำเสียงเอื้ออารี
“คนเราย่อมต้องมีเวลาอ่อนแอนะลูก อย่าฝืนบังคับให้ตัวเองต้องเข้มแข็งเสมอไป บางทีการได้ร้องไห้ออกมาดัง ๆ ก็เป็นการแสดงถึงความเข้มแข็งอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นความเข้มแข็งและความกล้าที่จะแสดงอารมณ์เสียใจออกมา”
“แล้วการร้องไห้ก็เป็นการปลดปล่อยอารมณ์อย่างหนึ่งของคน ย่าเชื่อว่าหลังจากที่หลานได้ปลดปล่อยอารมณ์นั้นไปแล้ว หลานชายของย่าจะต้องรู้สึกดีขึ้นอย่างแน่นอน”
“ผมร้องไห้ได้จริง ๆ เหรอ” คราวนี้ฝ่ายหลานชายถามกลับเสียงเครือ
“ได้สิลูก อารมณ์เสียใจเป็นอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งของคน ทุกคนมีสิทธิ์ร้องไห้ออกมาได้เมื่อรู้สึกเสียใจ”
หลังจากนั้นก็มีเสียงสะอื้นเบา ๆ ของหลานชายดังแว่วออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“มนุษย์ทุกคน ไม่ว่ายากดีมีจน ย่อมจะต้องเคยเจอกับความเหนื่อย ความผิดหวัง ความเสียใจนะลูก มันเป็นกฎธรรมชาติ เราไม่จำเป็นต้องฝืนเก็บความทุกข์ตรมไว้ในใจจนทำให้เกิดบาดแผลลึก ควรปลดปล่อยออกมาให้หมด”
“แล้วที่สำคัญ เหนื่อยได้ เสียใจได้ ร้องไห้ได้ แต่เราอย่าท้อนะลูก เหนื่อยแล้วล้มไม่เป็นไร นั่งพักให้หายเหนื่อยเพื่อที่จะได้ลุกขึ้นอย่างมั่นคงและแข็งแรงอีกครั้ง อาจจะลุกขึ้นได้ช้าบ้างก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องรีบ พักให้ขาเราแข็งแรงมากที่สุดเพื่อที่จะก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง”
พิริยาน้ำตาคลอเมื่อได้ฟังเสียงปลอบโยนของหญิงชราที่พูดกับหลานชาย เธอรีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ซอยแรกที่เจอ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ก็รีบดิ่งเข้าไปในพื้นที่ วิ่งเข้าไปที่ห้องนอนในคอนโดส่วนตัว ก่อนโถมตัวลงบนที่นอนและก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นปลดปล่อยอารมณ์ออกมาอย่างสุดกลั้น
เมื่อได้ย้อนเวลากลับมาในชาตินี้ เธอใจแป้วพอดูอยู่แล้วกับสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวเจ้าของร่างเดิม แต่ดีที่ยังมีพื้นที่พกพาติดตัวมาด้วย กระทั่งมาเจอความจริงที่ว่าพ่อกับแม่ของเจ้าของร่างเดิมอาจเป็นคนคนเดียวกับป๊าและม้าของเธอ และพวกเขาก็ได้จากเธอไปแบบไม่มีวันกลับเหมือนชาติก่อน
แต่แรก ตอนเธอย้อนเวลากลับมาในร่างคนอื่น เธอก็ไม่ได้ต้องการที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ป๊ากับม้าทราบ หรือไปขอความช่วยเหลือจากทั้งคู่อยู่แล้ว เธอขอเพียงแค่ได้แอบดูพวกท่านอยู่ห่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกอบอุ่นหัวใจว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่แล้วความหวังก็พังทลายไม่มีเหลือ มันทำให้ไร้เรี่ยวแรงที่จะดำเนินชีวิตอีกต่อไป
“แก้ว พ่อหาบ้านแถวริมคลองต้นลุงให้ได้แล้วนะ” วิภาวีมาหาปิ่นแก้วที่ร้านในตอนเย็นหลังเลิกเรียนปิ่นแก้วยิ้มกว้าง ในที่สุดก็เข้าใกล้ความฝันไปทีละน้อยแล้วในช่วงระหว่างวันที่อยู่ว่าง เธอมักจะเดินสำรวจรอบตัวเมืองอยู่เสมอเพื่อหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับเปิดคาเฟ่ บวกกับการเปิดดูคลิปเกี่ยวกับประวัติของเมืองนี้ เธอถึงพบว่าเขตเศรษฐกิจสำคัญของตัวเมืองจะมีอยู่สองจุด อยู่ติดน้ำทั้งคู่จุดแรกคือถนนเลียบคลองต้นลุง ซึ่งในยุคปี พ.ศ.2525 ได้เริ่มกลายเป็นแหล่งเดินซื้อของ แหล่งหาอะไรกินของผู้คนในตัวเมืองบ้างแล้ว และความนิยมนี้มีต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงยุคอนาคตที่เธอจากมา ถนนเส้นนี้ถือเป็นทำเลทองอย่างแท้จริงส่วนจุดที่สองนั้นคือถนนริมชลซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำใหญ่ที่ไหลผ่านหลายจังหวัด แต่ปัจจุบันถนนเส้นนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาเนื่องจากติดปัญหาเรื่องน้ำท่วมตลอดทั้งปี ตอนนี้จึงมีแค่กลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยเท่านั้นที่อาศัยอยู่ ต้องรออีกประมาณหกปีนับจากนี้ถนนริมชลถึงได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนกลายเป็นทำเลทองแห่งที่สองของตัวเมืองประจำจังหวัด sปิ่นแก้วสนใจทำเลทองท
“พี่แพง พี่นี พวกพี่รับมือไหวแน่นะ หรือแก้วจะยังไม่ไปดี วันนี้ยังไงก็คงไม่มีเรียนหรอก”“ไม่ต้องห่วงหรอกแก้ว มีคนงานช่วยเยอะแยะ ต่อให้ทำมากกว่านี้อีกห้าร้อยชิ้นก็ยังทำกันเองได้สบาย แก้วรีบไปดีกว่า ขาดเรียนตั้งแต่วันแรกมันไม่ดีหรอก” แพงไม่เห็นด้วยเมื่อจัดการเรื่องดอกไม้ที่ปลูกไว้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้กลับมาอยู่ในตัวเมืองเพื่อดูแลร้านแบบถาวรไม่ได้เทียวไปเทียวมาอีก จวบจนล่วงไปเกือบสองเดือนก็ถึงเวลาเปิดเทอมของเธอเสียทีเมื่อเห็นว่าร้านขนมมีความมั่นคง ส่วนร้านขายเสื้อผ้าก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะมีคนขายที่แข็งขันอย่างไพจิตรอยู่ ปิ่นแก้วจึงวางใจลงและเข้าสมัครเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียนในระดับชั้น ม.4 ตามที่เคยสัญญาไว้กับบรรดาผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในทันทีแต่เผอิญวันเปิดเทอมวันนี้ได้คำสั่งซื้อขนมสำหรับจัดประชุมเข้ามาห้าร้อยชิ้น ปิ่นแก้วจึงเกิดอาการพะวักพะวน โชคดีที่แพงมีประสบการณ์ในการรับมือเป็นอย่างดี“งั้นแก้วไปก่อนนะพี่ จะรีบไปรีบกลับ”“อ้าวพี่สุวิทย์ สวัสดีค่ะ วันนี้มาหาใครคะ”
ปิ่นแก้วเดินวนเวียนอยู่บริเวณแปลงดอกไม้อย่างไม่สบายใจเลยสักนิด เธอรู้ว่าเธอผิดที่แอบเผลอใจไปชอบแดนดินแบบนั้น เมื่อนึกถึงเสียงทะเลาะกันของแดนดินและแพรวพรรณยามเมื่อเธอเดินออกจากบ้านเขามาตอนหัวค่ำ ความไม่สบายใจก็ยิ่งเพิ่มทบทวีเธอไม่คิดที่จะแย่งหรือแยกทั้งคู่ออกจากกันเลยเพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แดนดินไม่ได้รักเธอ และปิ่นแก้วก็ไม่ได้มีนิสัยแย่ถึงกับแย่งของของคนอื่นมาเป็นของตนเธอเพียงแค่อยากเก็บความมีน้ำใจและความใจดีที่ชายหนุ่มมีให้เอาไว้ในใจเธออย่างเงียบ ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวยังเก็บไว้ไม่มิดพอจนโดนแพรวพรรณจับได้แบบนี้ แต่ก็อย่างว่า ผู้หญิงมักจะมีเซ้นส์พิเศษเสมอในเรื่องแบบนี้“แก้ว”ปิ่นแก้วสะดุ้งเบา ๆ ก่อนเหลียวไปตามเสียงเรียก“พี่ดิน ยังไม่นอนอีกเหรอคะ นี่ก็เกือบสามทุ่มแล้ว” เธอถามด้วยความรู้สึกหวิวโหวง“พี่นอนไม่หลับน่ะ แล้วเห็นแก้วพอดี เลยอยากมาคุยด้วย”“พี่อยากขอโทษแทนพรรณอีกทีนะกับเรื่องเมื่อหัวค่ำ แก้วอย่าโกรธเธอเลย พรรณดูเป็นคนเจ้าอารมณ์แบบนั้นแหละแต่ใจจริงไม่ได้
“แก้ว ไม่เจอกันหลายเดือน รู้ไหมว่าป้าคิดถึง” วงเดือนทักขึ้นมาอย่างดีใจเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้าประตูครัวมา“สวัสดีค่ะป้า ลุง สบายดีกันทั้งคู่นะคะ”“สบายดี ไม่เจ็บไม่ไข้ เมื่อคืนลุงกับป้ายังบ่นคิดถึงแก้วอยู่เลย ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอ” คำปันเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี“ช่วงนี้ที่ร้านไม่ค่อยยุ่งแล้ว แก้วเลยกะจะมาอยู่บ้านสักสองอาทิตย์ จะมาจัดการดอกไม้ที่ปลูกทิ้งไว้ด้วย”“ดอกพวกนั้นหอมจริง ๆ นะแก้ว กลิ่นฟุ้งไปหมด ขนาดตอนนี้ยังได้กลิ่นเลย ลองสูดดูสิ”“แล้วแก้วจะตัดไปขายหรือไปแต่งร้านล่ะ แต่เยอะขนาดนั้นคงเอาไปแต่งไม่ไหวมั้ง ล้นร้านพอดี”ปิ่นแก้วหัวเราะ “แก้วตั้งใจจะเด็ดมาตากแห้งค่ะ เอาไว้ชงเป็นชาดื่ม”คำปันทำหน้าฉงน “ดอกพวกนี้กินได้? ไม่มีพิษเหรอ?”“กินได้ค่ะ เป็นดอกไม้ประเภทกินได้ ดอกพวกนี้คนนิยมนำมาทำเป็นชา โดยเฉพาะคนในประเทศ C รวมถึงประเทศ J ด้วยจะนิยมดื่มกันมาก แก้วโชคดีได้เมล็ดพันธุ์มา เลยลองปลูกดู ถ้าผลผลิตดีแก้วว่าจ
“ทำไมวันนี้แม่เลี้ยงปิ่นแก้วปลีกตัวมาแถวนี้ได้” มาลีที่นั่งอยู่ในร้านด้วยเอ่ยปากกระเซ้า การได้เห็นมาลีและสุขมานั่งช่วยขายเสื้อผ้ากลายเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วสำหรับผู้คนแถวนี้ แม้จะไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ แต่ผู้สูงวัยทั้งสองคนก็ยังเต็มใจมาช่วยทุกสัปดาห์ เพราะรู้สึกสนุกที่ได้ขายและพบเจอผู้คน ดีกว่านั่งเบื่ออยู่ที่บ้านอีกอย่าง เพราะทั้งสองคนรู้สึกถูกชะตากับไพจิตรและชิงชัยเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้รับรู้ถึงสภาพชีวิตของแม่ลูกคู่นี้ มาลีและสุขยิ่งรู้สึกสงสารและอยากมีปฏิสัมพันธ์กับแม่ลูกคู่นี้ให้มากยิ่งขึ้นในอนาคต“แม่ล้งแม่เลี้ยงที่ไหนกันเล่าคะป้าลี นี่ก็ปิ่นแก้วคนเดิมคนที่เคยนั่งทำตาแดง ๆ กับป้าในวันที่เราเจอกันครั้งแรกไง” ปิ่นแก้วพูดแก้ขวย“จะไม่ใช่ได้ยังไงจ๊ะ ตอนนี้ลองไปสะกิดถามผู้คนแถวนี้ดูเถอะ มีใครบ้างไม่รู้จักร้านหวานใจ ร้านขนมอันดับหนึ่งของจังหวัด ยิ่งเมื่อตอนสิ้นปี ได้ข่าวว่าชุดกล่องของขวัญของร้านนี่ขายดิบขายดี วันหนึ่งร้อยชุดไม่พอขายเลยไม่ใช่เหรอ” มาลีพูดพร้อมกับหัวเราะร่วน สุขก็นั่งยิ้มและพยักหน้าไปกั
ในวันเปิดร้านวันที่สองคือสิ่งที่เหนือความคาดหมายของปิ่นแก้วอย่างที่สุด ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนขนมที่ร้านอย่างล้นหลามตลอดทั้งวัน วันนี้ลูกค้ากลุ่มหลักเป็นกลุ่มที่เคยเข้าร่วมประชุมสมาคมแม่บ้านข้าราชการในคราวก่อนซึ่งได้กินขนมแล้วติดใจ วันนี้จึงนัดแนะกันมาหาซื้อขนมเพื่อนำไปฝากสมาชิกในครอบครัวและร้านของเธอยังคงปิดก่อนกำหนดอีกเช่นเดิม ยอดขายวันนี้ได้รวมกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ทำเอาแพงตื่นเต้นจนมือสั่นระหว่างนับเงินที่ได้ในคืนนั้นในอีก 3-4 วันต่อมาจำนวนลูกค้าได้ลดลงเล็กน้อยซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของปิ่นแก้ว และเมื่อเห็นยอดการเข้ามาซื้อของลูกค้าอยู่ในระดับคงที่ต่อเนื่อง 4-5 วัน ปิ่นแก้วจึงได้คำนวณปริมาณงานและจำนวนขนมที่จะทำในแต่ละวัน และประกาศรับสมัครคนเพิ่มอีกสี่คนเพื่อรองรับปริมาณงานทั้งหมดที่มีในร้านหลังจากจัดการร้านจนคงที่ได้หนึ่งเดือน เธอได้เริ่มปรับวิธีการขายหน้าร้านให้เป็นไปตามที่ตั้งใจในตอนแรก นั่นคือเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาหยิบเลือกขนมได้เอง โดยมีถาดและที่คีบขนมวางบริการไว้ให้ที่หน้าร้าน เมื่อลูกค้าเดินเข้าร้านก็ให้หยิบถาดและที่คีบก่อนเ