“ถอยไป! ข้าจะเข้าไปดูท่านแม่!” เฉินจิ้งอี้ คุณชายใหญ่วัยย่างแปดขวบปีที่เกิดจากฟูเหริน คิดก้าวเข้าไปในห้องที่ใช้ทำคลอด กลับโดนท่านย่าของตนยื่นมือออกมาขวางไว้
“ข้างในเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หาใช่สถานที่ที่บุรุษสมควรย่างเท้าเข้าไปวุ่นวาย เป็นเด็กดีรออยู่ที่นี่ ย่าจะเข้าไปดูอาการท่านแม่ของเจ้าให้เอง รอจนข้างในเก็บกวาดกันดีแล้ว เจ้าค่อยตามเข้าไปก็ยังไม่สาย” แม่เฒ่าเฉินปรามหลานชาย แต่กลับหันไปทางหลานสาวตัวน้อย บอกเสียงสั่น “ไป! แม่นมหลิน อุ้มหรงเอ๋อร์ตามข้ามา!”
ชั่วอึดใจนั้น เสี่ยวเซียงหรงพลันพบข้อดีของการเป็นสตรีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เด็กน้อยวัยสี่ขวบครึ่งอย่างนางสามารถเข้าไปในห้องคลอดของท่านแม่ได้ ในขณะที่พี่ชายใหญ่ผู้เก่งกาจฉลาดเฉลียวของนางกลับเข้าไปไม่ได้...ที่แท้การเป็นสตรีช่างดีนัก!
ในตอนที่ท่านยาของนางพาเซียงหรงเข้าไปพบมารดา ภายในห้องยังเก็บกวาดไม่ทันเรียบร้อยดี สภาพห้องทำคลอดที่เซียงหรงเห็นจึงเต็มไปด้วยเลือด เลือด เลือด และเลือด มองไปทางไหนก็เห็นผ้าเปื้อนเลือดและกะละมังน้ำสีแดงฉาน น่าขนพองสยองเกล้าเป็นที่สุด
ไม่เพียงมีสภาพน่าหวาดกลัวพาให้อกสั่นขวัญหาย ภายในห้องทำคลอดแห่งนี้ยังมีกลิ่นคาวผสมกลิ่นน้ำแกงโสมเข้มข้นคละคลุ้ง
นี่มัน...นี่มันอะไรกัน ที่แท้การคลอดบุตรก็น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้?
เสี่ยวเซียงหรงตัวสั่นระริก
แม่นมหลินรู้สึกได้ว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนกำลังตื่นกลัว จึงลูบหลังปลอบโยนนางไม่หยุด
“ท่าน ท่านแม่...ท่านแม่…” เซียงหรงร้องเรียกมารดา น้ำตาหลั่งเป็นสาย
เดือนก่อนนางหกล้ม เลือดออกนิดเดียวยังเจ็บจนน้ำตาไหล แต่นี่...ครั้งนี้มารดาของนางคลอดน้องชายสาม เลือดออกมากมายถึงเพียงนี้ จะเจ็บปวดทรมานเพียงไหนกัน... มิน่าเล่า...มิน่าเล่าท่านแม่จึงได้กรีดร้องเสียงดังถึงเพียงนั้น ดังจนกลบเสียงพายุฝนเสียมิด!
ที่จริงแล้วยามนี้ ฟูเหรินของจวน หลี่เซียงเหลียน ไร้สิ้นเรี่ยวแรง สติใกล้จะดับวูบเต็มที เป็นเสียงเรียกของบุตรสาวนั่นเองที่รั้งนางไว้
หลี่เซียงเหลียนลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า นางส่งยิ้มจางๆ ให้บุตรสาวตัวน้อยในอ้อมอกแม่นมหลิน กล่าวน้ำเสียงแหบแห้ง
“หรงเอ๋อร์...นับจากนี้...เป็นเด็กดี...”
จู่ๆ ลูกสะใภ้ก็กล่าวคล้ายสั่งเสียเช่นนี้ แม่เฒ่าเฉินตกใจจนใบหน้าที่เผือดสีอยู่แล้วพลันซีดเผือดยิ่งขึ้น นางรีบมองไปที่หมอตำแย เพียงเห็นหมอตำแยใบหน้าซีดขาว น้ำตาคลอ คนที่ผ่านโลกมานานอย่างนางก็พลันรับรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
นางเลิกผ้าห่มดูด้วยความร้อนใจ เพียงเห็นว่าลูกสะใภ้ตกเลือดมากมายแค่ไหน ก็หน้าซีด ปากสั่น
“เหตุใด...เหตุใด...” ดูเหมือนโลหิตลูกสะใภ้ที่ไท่โฮ่วพระราชทานสมรสให้บุตรชายนาง จะยังไม่หยุดไหลเลยด้วยซ้ำ!
“ท่านแม่...บุตรชายของข้า...ปลอดภัยดีเจ้าค่ะ...” หลี่เซียงเหลียนเอ่ยอย่างอ่อนแรงเต็มที นางรู้ตัวดีว่าครั้งนี้ความตายคงไม่ละเว้นนางแล้ว เป็นห่วงก็แต่บุตรชายบุตรสาวทั้งสามคน หากสิ้นนางไปแล้ว ต่อไปนี้พวกเขาจะอยู่อย่างไร “ท่านแม่...ต่อไป...บุตรชายทั้งสองและบุตรสาว...คงต้อง...ฝาก…ท่านแล้ว...”
“เจ้า...เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!” แม่เฒ่าเฉินแม้ปากแข็งแต่ใจอ่อน เห็นลูกสะใภ้ซึ่งกาลเวลาพิสูจน์แล้วว่านางช่างแสนดี ตกอยู่ในสภาพนี้ ก็ถึงกับหลั่งน้ำตา
เห็นสะใภ้สายเลือดสูงส่งคล้ายอยากพูดบางสิ่ง ทว่าเปล่งเสียงได้เบานัก แม่สามีก็รีบขยับเข้าไปกุมมืออันบอบบาง ขยับหน้าขยับใบหูเข้าประชิดติดริมฝีปากอันซีดเซียว
“...ตรวจสอบ...ยาบำรุง...” เอ่ยได้เท่านั้น ร่างบนเตียงก็ปิดเปลือกตา ลงอย่างอ่อนล้า พร้อมๆ กับที่มือที่กุมมือแม่สามีกลับค่อยๆ คลายออก ก่อนจะแน่นิ่งไป
เสี่ยวเซียงหรงยื่นหน้าออกมาจากผ้าคลุมศีรษะ ร้องถามท่านย่าเสียงใส
“ท่านย่า...ท่านย่าเจ้าขา ท่านแม่พักผ่อนแล้วหรือ?”
ผู้ชราไม่รู้จะตอบอย่างไร สุดท้ายก็ได้แต่เออออตามหลานสาวที่เพิ่งจะกำพร้าแม่ “ถูกแล้ว มารดาของเจ้า...พักผ่อนแล้ว...” นางไม่กล้าหันไปสบตาหลานสาวสักนิด
หลังควบคุมสติและน้ำเสียงอยู่ครู่หนึ่ง สตรีที่สูงอาวุโสที่สุดในจวนก็ขยับริมฝีปากเอ่ยออกมาด้วยความสะเทือนใจ “หรงเอ๋อร์คนดี...ยังจำที่มารดาเจ้าพูดเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่?”
เสี่ยวเซียงหรงพยักหน้า ตอบอย่างไร้เดียวสา “จำได้เจ้าค่ะ ท่านแม่บอกว่าให้ข้าเป็นเด็กดี”
“จำไว้ให้ดี” แม่เฒ่าเฉินบอก น้ำเสียงอ่อนล้า “ทางนี้หมดเรื่องแล้ว วันนี้เจ้าก็กลับไปอบอุ่นร่างกาย พักผ่อนเถอะ หากล้มป่วยลงไปอีกคน บิดาเจ้าคงไม่มีวันอภัยให้ย่าแล้ว...”
“เจ้าค่ะ ท่านย่า” เสี่ยวเซียงหรงรับคำอย่างว่าง่าย
แม้จะเสียดายที่อุตส่าห์เข้ามาถึงนี่แล้วกลับไม่ได้สนทนากับมารดาให้มากหน่อย...ทว่ามารดามักกล่าวว่านางเป็นเด็กดีอยู่เสมอ เมื่อครู่นี้ก็ยังย้ำเตือนอีกว่าให้นางเป็นเด็กดี เช่นนั้นนางก็จะเชื่อฟังผู้ใหญ่ จะเป็นเด็กดีของท่านแม่ต่อไป จะไม่กระทำตัวดื้อรั้นให้ท่านแม่ที่แสนดีต้องผิดหวังในตัวบุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างนางเด็ดขาด!
เสี่ยวเซียงหรงเหลียวมองน้องชายตัวอวบอ้วนข้างกายมารดาเล็กน้อย เห็นน้องชายสามชูไม้ชูมือดูไร้เดียงสาก็อยากจะเข้าไปจับแก้มนวลเนียนนั่นใจจะขาด ได้แต่หลุบตาก้มหน้าลงซบอกแม่นมหลินอย่างเสียดาย
ทว่า...
เอ...ประเดี๋ยวนะ...
เหตุใดเมื่อครู่ท่านย่าจึงได้ทำเสียงคล้ายกับจะร้องไห้?
หรือท่านย่าจะดีใจที่ท่านแม่สารถคลอดน้องชายสามออกมาได้อย่างปลอดภัย?
อืม...เป็นเช่นนี้กระมัง...
เซียงหรงเงยหน้าบอกแม่นมที่อุ้มตนเองอยู่เสียงใส
“แม่นมเจ้าขา...พวกเราไปกันเถอะ ท่านแม่ของข้าพักผ่อนแล้ว”
“โถ...คุณหนูของบ่าว...” ก็ไม่รู้ว่าทำไมแม่นมหลินถึงได้หลั่งน้ำตา...นางเพียงแต่รู้ว่า ในเมื่อมารดาพักผ่อนแล้วก็ไม่สมควรอยู่รบกวนการพักผ่อนของมารดา ไม่เช่นนั้นหากท่านแม่ของนางล้มป่วย พรุ่งนี้เช้า ท่านแม่ของนางคงไม่อาจลูบผมจูบหน้าผากนางเช่นทุกวันได้อีกแล้ว
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ