“ท่านฟังสิ ท่านแม่ยังร้องอยู่เลย...ฮึก...แม่นม ท่านพาข้า...ฮึก พาข้าไปดูท่านแม่ที!” เสี่ยวเซียงหรงช้อนตาจ้องมองตาแม่นมหลิน น้ำตาไหลเป็นสาย
แม่นมหลินเห็นสภาพคุณหนูที่ตนเลี้ยงดูมาแล้วก็น้ำตาซึม
“โถ...คุณหนูสาม...”
เอาเถิด...อุ้มคุณหนูสามเอาไว้ ใช้ผ้าห่อร่างคุณหนูให้หนาๆ สักหน่อย ร่างกายของคุณหนูจะได้อบอุ่นและไม่ต้องลมฝน หากคุณหนูสามหวาดกลัวก็คอยปลอบโยนนาง เช่นนี้ก็คงจะไม่เป็นไรแล้วกระมัง ครั้งนี้ถ้าหาก...ถ้าหากว่าฟูเหรินเป็นอะไรไป อย่างน้อยๆ คุณหนูสามที่รออยู่ด้านนอกก็อาจได้พบหน้าและได้สนทนากับมารดาของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย...
แม่นมหลินซับน้ำตาให้คุณหนูสาม เอาผ้าห่มหนานุ่มห่อตัวนาง วานให้เสี่ยวซี บุตรสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูของตน หยิบเสื้อคลุมของคุณหนูมาใช้คลุมศีรษะน้อยๆ ไว้อีกชั้น
“ไปเจ้าค่ะ พวกเราไปให้กำลังใจฟูเหรินกัน” แม่นมหลินบอกพลางอุ้มร่างน้อยๆ ที่พยายามกลั้นสะอื้นสุดกำลัง มุ่งตรงไปยังเรือนเหลียนฮวาที่กำลังสับสนวุ่นวายทันที เสี่ยวซีที่ตามมารดามาด้วยก็รู้ความเกินวัย นางรีบช่วยถือตะเกียง วิ่งเตาะแตะนำทาง เฉลียวฉลาดรู้งานเป็นอย่างยิ่ง
“ฟูเหริน เบ่งเจ้าค่ะ ออกแรงอีกนิด!”
“เบ่งเจ้าค่ะ!”
“เบ่ง!”
เสียงตะโกนของหมอตำแยที่ดังแทรกเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของมารดา ทำเอาเซียงหรงตกใจ กำสาบเสื้อแม่นมแน่น
คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงอย่างนาง ตั้งแต่แรกคลอดกระทั่งตอนนี้สี่ขวบครึ่ง ล้วนถูกเลี้ยงดูในเรือนหลังอันเงียบสงบ ไม่เคยเห็นผู้คนเดินสวนกันไปมา โกลาหล ทั้งยังไม่เคยได้ยินใครร้องโวยวายหรือส่งเสียงตะโกนดังๆ เช่นนี้มาก่อน จึงยิ่งตื่นตระหนกและหวาดกลัวยิ่งขึ้น
เสี่ยวเซียงหรงกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือนเหลียนฮวา เมื่อเห็นว่าท่านย่า พี่ชายใหญ่ อนุหาน อนุซู และอนุจาง ล้วนมาอยู่พร้อมกัน ณ ที่นี่ ก็เกรงว่าถ้าตนเองถูกสังเกตเห็นเข้า จะถูกไล่กลับไป
นางรีบขยับริมฝีปากน้อยๆ บอกแม่นมหลินเสียงเบา “แม่นม แม่นมเจ้าขา...รีบพาหรงเอ๋อร์หลบคนเหล่านั้นเร็วเข้า หรงเอ๋อร์...หรงเอ๋อร์อยากเข้าไปหาท่านแม่ หรงเอ๋อร์ไม่อยากถูกส่งกลับเรือน!”
ไม่ทันที่แม่นมหลินจะได้ขยับตัว สตรีที่สูงอาวุโสที่สุด ณ ที่นี่อย่างนายหญิงชรา มารดาแท้ๆ ของท่านกั๋วกง ก็ร้องสั่งเสียงขรึม
“นั่นหรงเอ๋อร์ใช่หรือไม่ พาหรงเอ๋อร์มาที่นี่! อีกสักเดี๋ยวหาก...หากเด็กยังไม่คลอดออกมา ข้าจะพานางเข้าไปให้กำลังใจลูกสะใภ้!”
แม่นมหลินแม้เพิ่งจะอายุได้เพียงกึ่งหนึ่งของนายหญิงชรา กลับเห็นโลกมาไม่ใช่น้อย จึงเข้าใจความนัย นางรีบกอดกระชับร่างน้อยๆ ในอ้อมแขน พาคุณหนูสามของตนมุ่งตรงไปหานายหญิงชราทันที
“ฟูเหริน เบ่งเจ้าค่ะ อีกนิดเดียว!” ผ่านมาสองเค่อยามแล้ว เด็กก็ยังไม่คลอดออกมา เสียงตะโกนของหมอตำแยฟังคล้ายเสียงคร่ำครวญขึ้นทุกทีแล้ว
“ไม่ไหว! ข้าไม่ไหวแล้ว!” เสียงฟูเหรินกรีดร้องทำเอาทุกคนที่ได้ยินต่างพากันยกมือขึ้นกุมหน้าอก “ผ่าท้องข้า! ช่วยลูกข้าออกมา ข้าไม่ไหวแล้ว จะไม่ไหวแล้ว!!!”
ผ่าท้อง?!
นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นการสละมารดารักษาบุตรงั้นรึ?
ท่านกั๋วกงที่รักใคร่หวงแหนฟูเหรินยิ่งกว่าอะไรที่ไหนจะยอมรับได้!
“ไหวเจ้าค่ะ! ต้องไหว!” หมอตำแยพยายามให้กำลังใจเสียงสั่น “เห็นหัวเด็กแล้วนะเจ้าคะ อดทนอีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเจ้าค่ะ!”
“อือออ...อื้อ...ลูกแม่...อื้อออ!!!”
“อื้อออ” หมอตำแยอดทนไม่ไหว ถึงกับร่วมด้วยช่วยออกท่าออกทาง ทำเสียงร้องเบ่งคลอดไปด้วยแล้ว
“อื้อออ!!!”
“อีกนิด อีกนิดเดียวเจ้าค่ะ เอ้า! อื้อออ อื้อออ!!!”
“อื้อออ!!!”
“อุแว๊ อุแว๊ อุแว๊ อุแว๊!”
เสียงทารกร้องที่ดังแทรกเสียงฟ้าผ่าทำเอาเหล่าคนที่รออยู่ด้านนอกต่างก็ถอนหายใจยาว คนกึ่งหนึ่งโล่งอก แย้มรอยยิ้มด้วยความยินดี อีกกึ่งหนึ่งสีหน้าเครียดขึงดูผิดหวังแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ที่แสดงออกชัดเจนที่สุดก็คืออนุจาง จางเหม่ยเหมย
อนุจางที่จนถึงตอนนี้ก็ยังมีเพียงบุตรสาวคับแค้นใจเหลือจะกล่าว นางได้แต่ลอบบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ พยายามข่มใจ สงบสติและอารมณ์ รักษากิริยา
น่าชังนัก! ใครจะคิดว่าสตรีจากตระกูลเชื้อพระวงศ์ปลายแถวอ่อนแออมโรคจะดวงแข็งเช่นนี้! เหตุใดสตรีน่าตายที่เอาแต่ครอบครองความรักจากท่านพี่ไว้เพียงผู้เดียวอย่างหลี่เซียงเหลียนจึงสามารถคลอดบุตรชายหญิงออกมาได้อย่างปลอดภัยถึงสามครั้ง! สวรรค์ช่างไร้ตาเกินไปแล้ว!
นับว่าเป็นโชคดีของอนุจางที่ยามนี้ย่าผู้เพิ่งได้หลานไม่มีแก่ใจจะใส่ใจมองสีหน้าใครทั้งนั้น ฟูเหรินผู้เฒ่ารีบยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพระโพธิสัตว์ กล่าวแต่ว่าบรรพชนคุ้มครอง บรรพชนคุ้มครอง ซ้ำๆ ไม่หยุด
ไม่นานนัก ซู่ซิน สาวใช้ข้างกายฟูเหรินของจวนก็เปิดประตูออกมาแจ้งข่าวแก่คนทั้งหมด
“เป็นคุณชายน้อยอย่างที่ท่านหมอหลวงจากในวังได้กล่าวเอาไว้จริงๆ เจ้าค่ะ!” ทั้งๆ ที่ออกมาบอกข่าวดี แต่สีหน้าสาวใช้เยาว์วัยกลับไม่ค่อยจะดีนัก
“มีอะไร พูด!” แม่เฒ่าเฉินตวาด
ตอนนี้บุตรชายแสนประเสริฐที่ซื่อสัตย์เอาจริงเอาจังต่อภาระหน้าที่ยิ่งกว่าสิ่งใดของนางติดราชการด่วนต่างเมือง ลูกสะใภ้ซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์สกุลหลี่อันสูงศักดิ์ที่พอถึงกำหนดคลอดกลับคลอดบุตรยาก ยามนี้ก็คลอดเด็กออกมาได้แล้ว แล้วจะยังมีปัญหาใดอีก!
“ของเหล่านั้นก็เพียงของนอกกาย ท่านเก็บไว้เถอะ!”“หรงเอ๋อร์...” หลี่จือหลินขยับมือที่กุมมือน้อยไว้ ยกมือของเซียงหรงข้างที่ถือถังหูลู่ขึ้นจรดริมฝีปากเล็กๆ ดูจิ้มลิ้ม “กัดสักคำสิ”เสี่ยวเซียงหรงตื่นตระหนก รีบส่ายหน้ายิกเห็นนางใกล้จะหลั่งน้ำตาเต็มทีแล้ว หลี่จือหลินยิ้มน้อยๆ ก่อนย่อตัวลงนั่งชันเข่า ปาดน้ำตาที่ใกล้จะร่วงหล่นให้นาง จุมพิตแก้มนุ่มละมุนที่เริ่มจะโดนความเย็นกัดจนขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนถังหูลู่ที่ถูกตนบังคับจับมือให้ถือเอาไว้เบาๆเซียงหรงพลันตกใจจนลืมร้องไห้อา...บอกนางเรื่องกำไลหยกที่ห้อยคอนางอยู่ดีไหมนะ? หลี่จือหลินไล้ปลายนิ้วเรียวงามไปตามกรอบหน้าเล็กๆ ที่ผิวพรรณขาวนวลผ่องใสราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้หลังชั่งใจอยู่ชั่วครู่ จวิ้นหวังจ๋างจื่อก็เลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างถนอมยังก่อนถูกแล้ว...เขายังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนบอกนางในยามนี้ รอนางโตกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่ก็แล้วกัน...ทว่าเรื่องที่สมควรพูดก็ยังต้องพูด หว่านเมล็ดไปแล้วที่ไหนเลยคนชนชั้นตระหนี่ถี่เหนียวเช่นเขาจะปล่อยให้เสียเปล่า ไม่คิดเก็บเกี่ยวสักนิด ยามนี้เกาทัณฑ์ของเขาง้างสายเอาไว้แล้ว ลูกศรหรือก็ชี้ไปที่เป้า จะไม่ใ
“ข้าไม่แต่งให้ท่านนะ!!!” เสียงอันดังของเซียงหรง กับประโยคน่าตกใจ ทำเอาคนรอบข้างหันมามองพี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อกับนางเป็นตาเดียวกันสายตาของคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนด้านหน้า ทำเอาเสี่ยวเซียงหรงต้องกัดริมฝีปากแน่น ในใจได้แต่คิดว่า แย่แล้ว!นาง...เหตุใดนางกระทำการไม่ยั้งคิด โพล่งประโยคไร้มารยาทพรรค์นั้นออกมาต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้! ทำเช่นนี้...ทำเช่นนี้จวิ้นหวังจ๋างจื่ออย่างเขาคงเสียหน้ามากกระมัง?“เอ่อ...คือ...คือว่าข้า...” เซียงหรงอยากจะแก้ไขสถานการณ์ แต่ไม่รู้ว่าสมควรแก้ไขอย่างไรดีแล้วก็...ก็นางไม่อยากแต่งให้คนผู้นี้จริงๆ นี่นา!ไม่ใช่แค่กับคนผู้นี้ กับผู้ใดนางก็ไม่แต่งทั้งนั้น!หลี่จือหลินเห็นท่าทางของนางและสายตาคนรอบข้างแล้ว ก็แย้มรอยยิ้มที่ไม่พาดผ่านไปถึงดวงตา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ“ของหมั้นก็รับไปแล้ว จะไม่แต่งให้ข้าได้อย่างไร”เอ๋!!! ของหมั้น? นางไปรับของพรรค์นั้นมาตั้งแต่เมื่อใด???หลี่จือหลินลดสายตาลงมองถังหูลู่ในมือนางเสี่ยวเซียงหรงเห็นสายตาเขาแล้วก็มองตามนะ นี่มัน หรือ...หรือว่า...“ต่อให้เจ้าโยนทิ้งลงพื้น ก็ถือว่าเจ้ารับของจากข้าไปแล้ว” หลี่จือหลิน ชิงดักคอ“ข้าจะคืน
เซียงหรงพยายามกวาดตามองหาพี่หญิงรอง น้องสี่ ท่านพ่อ และพี่ชายใหญ่ ทว่ากลับมองไม่เห็นใครสักคนแม้เงา“เป็นอะไรไป” เจ้าของร้านพลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องหรือเด็กสาวคนนี้จะพลัดหลงกับสาวใช้?ประเดี๋ยวนะ...เด็กสาวผู้นี้มีเงินติดตัวมาหรือไม่ ได้ยินมาว่าพวกคุณหนูตัวน้อยเช่นนี้มักไม่ค่อยพกถุงเงิน เป็นหญิงรับใช้ต่างหากที่คอยดูแลชำระค่าสินค้าต่างๆ ให้พวกนาง...หากนางพลัดหลงกับสาวใช้และครอบครัวจริง เช่นนั้นความหวังที่จะได้เงินห้าตำลึงของตนคงหมดลงแล้ว! ไม่ถูก อย่าว่าแต่ห้าตำลึงเลย กับแค่เงินห้าอีแปะนางจะมีจ่ายให้หรือไม่ก็ยังไม่รู้!เจ้าของร้านพลันหงุดหงิดขึ้นมา วันนี้ค้าขายไม่ดียังไม่พอ ยังถูกคุณหนูตัวน้อยไม่รู้ความจากเรือนใดก็ไม่รู้มาก่อกวนเช่นนี้อีก!เขารีบเอ่ยเสียงแข็ง “คุณหนู จะไม่เอาถังหูลู่ทั้งหมดนี้แล้วก็ไม่เป็นไร ทว่าถังหูลู่ที่ท่านทำตกพื้นไม้นั้นเป็นของซื้อของขาย ท่านจะเก็บขึ้นมากินหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ทว่าท่านสมควรจ่ายค่าถังหูลู่ไม้นั้นมา” เจ้าของร้านแบมือ กระดิกนิ้ว เอ่ยเสียงขรึม “ข้าคิดค่าเสียหายกับค่าเสียเวลารวมทั้งหมดห้าอีแปะก็แล้วกัน! กับแค่เงินห้าอีแปะ อย่าบอกเชียวนะว่าคุณห
เฉินเซียงหรงหันกลับไปมองทางพี่ใหญ่และท่านพ่อที่ยืนอยู่คนละฟากฝั่งเล็กน้อยเอาเถอะ...แยกจากไปซื้อถังหูลู่ครู่เดียว ทั้งยังมีสาวใช้ตามมาด้วยถึงสี่คน คงไม่เกิดเรื่องไม่ดีใดให้ทุกคนต้องเดือดร้อนวุ่นวายใจกระมัง?เสี่ยวเซียงหรงหันกลับไปยิ้มให้พี่หญิงรองและน้องสี่ แปลกใจเล็กน้อยที่วันนี้รอยยิ้มของพี่หญิงรองกับน้องสี่ดูแปลกนักล้วนคิดมากไป...ล้วนคิดมากเกินไปทั้งนั้น...เสี่ยวเซียงหรงสลัดความคิดในแง่ร้ายที่ก่อตัวขึ้นอย่างน่ารังเกียจทิ้งไป ก้าวขาเดินไปพร้อมๆ กับพี่หญิงน้องหญิงด้วยหัวใจที่เป็นสุขอา...ถังหูลู่...แค่นึกถึงรสหวานของน้ำตาลที่เคลือบอยู่บนผิงกั่ว[1] นางก็แทบอดใจรอลิ้มชิมรสชาติที่ไม่ได้สัมผัสมานานไม่ไหวในจวนของพวกนางไม่เคยทำขนมชนิดนี้เลยสักครั้ง ด้วยท่านพ่อและท่านย่าเกรงว่าจะทำให้ฟันของพวกนางไม่งาม ซ้ำยังปวดฟัน ยามออกมาข้างนอกเช่นนี้ ท่านพ่อก็ยังห้ามปรามไม่ให้นางแตะต้อง กล่าวว่านอกจากจะทำให้ฟันเสียได้แล้ว ยังไม่แน่ว่าจะสะอาด...กินถังหูลู่ไม้หนึ่งเพื่อให้พี่หญิงรองและน้องสี่สบายใจ คงไม่ถึงกับนับว่าเป็นเด็กไม่ดีกระมัง?อื้อ! ถูกแล้ว นางทำเพื่อให้พี่หญิงรองและน้องสี่สบายใจอย่างไรล่ะ!
เสี่ยวเซียงหรงเห็นพี่ชายใหญ่ดูฮึกเหิมจริงจังก็อดขำไม่ได้ดูเหมือนพี่ใหญ่ของนางจะถูกเกมทายปริศนาทำให้เพลิดเพลินจนไม่อาจถอนตัวโดยง่ายแล้วเมื่อเห็นว่ามีการท้าทายกันเกิดขึ้น คนทั้งหลายในบริเวณนั้นต่างก็พากันแห่เข้ามาร่วมฟังคำถามจากเถ้าแก่ และรอลุ้นว่าคุณชายที่ยังเยาว์ผู้นี้จะตอบคำถามไปได้สักกี่ข้อ ชั่วอึดใจเดียวหน้าร้านทายปริศนาก็มีผู้คนมามุงแน่นขนัดเซียงหรงเองก็เพลิดเพลินไปกับการละเล่นทายปริศนาครั้งนี้ นางยืนฟังคำถามอย่างสงบ ขณะฟังไปก็คิดตามไปด้วย เถ้าแก่ถามมาสองข้อ นางก็ตอบในใจถูกทั้งสองข้อ ขณะกำลังตั้งใจฟังคำถามข้อที่สาม คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมีมือคู่หนึ่งมาปิดปาก พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่หญิงรอง เฉินเหม่ยลี่ และน้องสี่ เฉินเหม่ยเซียงกำลังจะเอ่ยทัก พี่หญิงรองกลับดึงนางออกไปจากกลุ่มคนทั้งอย่างนั้นเซียงหรงเห็นว่าพี่ใหญ่และน้องเล็ก รวมถึงบ่าวชายสาวใช้ที่ติดตามมาล้วนกำลังเพลิดเพลินกับการทายปริศนา ซ้ำพี่หญิงรองและน้องหญิงสี่ยังมีสาวใช้ตามมาด้วยคนละสองคน รวมเป็นสี่คน นางจึงไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่รบกวนความสนุกของผู้คน ยอมเดินตามพี่หญิงน้องหญิงของตนออกไปอย่างเงียบๆเดินห่างออกมามากห
เด็กสาวที่ไหนๆ ก็ชอบของน่ารักๆ เช่นนี้ทั้งนั้น เขามั่นใจว่าตนเองเดาไม่ผิดและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเสี่ยวเซียงหรงพยักหน้าเล็กๆ ดูจิ้มลิ้ม กล่าวเสียงหวาน สำเนียงติดจะอ้อน“พี่ใหญ่...โคมกระต่ายอันนั้นน่ารักมากจริงๆ”เห็นนัยน์ตาสุกสกาวของน้องสาวแล้ว เฉินจิ้งอี้ก็ยิ่งฮึกเหิมในที่สุดน้องสาวตัวน้อยของเขาก็เลิกเหม่อลอยแล้ว!“ดี! ในเมื่อเจ้าอยากได้ พี่ใหญ่ก็จะชิงโคมกระต่ายมาให้เจ้า!” เฉินจิ้งอี้จูงมือน้องชายน้องสาวแยกจากคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปทายปริศนาชิงโคมไฟทันทีหึ...คนอื่นๆ ก็ล้วนมีคนติดตามกันทั้งนั้น เหมือนๆ กับที่เขาและน้องชายน้องสาวมี เหตุใดเขาจะต้องใส่ใจคนเหล่านั้น?คนเหล่านั้นยามอยู่ในจวนล้วนเก่งกาจ หาเหตุมากลั่นแกล้งรังแกหรงเอ๋อร์ของเขาได้ทุกวัน ส่วนท่านพ่อแม้จะรักเอ็นดูเขาและน้องชายน้องสาวแล้วอย่างไร? วันทั้งวันท่านพ่อผู้นั้นก็เอาแต่ใส่ใจงานราชการ ไม่สนใจเรื่องในเรือนสักนิด เขาบอกกล่าวสิ่งใดกลับดุว่า กล่าวว่าบุรุษเช่นเขาสมควรใส่ใจศึกษาหาความรู้และความเจริญก้าวหน้า มิใช่คอยกล่าวหาคนในเรือนทั้งๆ ที่ไม่มีมูลเช่นนี้ ยามนี้ออกมานอกจวนก็เชิญเหล่าคนที่เก่งกาจทั้งหลายดูแลตนเองและกันและกันให้ดีก็