“คุณหนู...น้ำชากับขนมมาแล้วเจ้าค่ะ” ซู่ซิน อดีตคนสนิทข้างกายมารดานาง ที่กล่าวได้ว่าเป็นสาวใช้จากเรือนเหลียนฮวาเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกท่านย่าของนางขายออกไปจากจวน ถือถาดน้ำชาและขนมเดินตรงมาหาด้วยรอยยิ้ม
คล้ายกับซู่ซินจะสังเกตเห็นภาพร่างผีเสื้อบนผืนผ้า จึงอดออกปากชื่นชมออกมาไม่ได้ “คุณหนูจะปักผีเสื้อเพิ่มเช่นนั้นหรือ ช่างคิดยิ่งนัก คุณหนูของซู่ซินนับว่าเป็นยอดสตรีโดยแท้ อายุเพียงเจ็ดขวบปี กลับออกแบบลายปักผ้าได้ด้วยตนเอง ซ้ำฝีเข็มยังละเอียดลออ ลายปักทุกลายที่ปักออกมาก็ล้วนงดงามสมจริงจนยากจะเชื่อว่าเป็นเพียงลายปักบนผืนผ้าเท่านั้น”
เซียงหรงแย้มรอยยิ้มงดงามรับคำชมนั้น
ก็แน่ล่ะสิ ในเมื่อท่านย่ากล่าวว่าสมัยก่อนท่านแม่ของนางปักผ้าได้งดงามไร้ที่ติ เหตุที่ท่านพ่อกับท่านแม่ได้พบรักและครองคู่กันก็เป็นเพราะลายปักผ้าของท่านแม่ที่ทำให้ท่านพ่อผู้ไม่เคยชายตาแลสตรีใดถึงกับหลงใหลพร่ำเพ้อ กล่าวว่าผู้ที่ปักผ้าเช่นนั้นได้จะต้องเป็นยอดสตรีที่จิตใจดีทั้งยังเป็นคนละเอียดลออช่างเอาใจใส่เป็นแน่...
ท่านแม่ของนางเก่งกาจปานนั้น ซ้ำผ้าปักลายยังนับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เชื่อมโยงบิดาและมารดาของนางเอาไว้ด้วยกัน นางที่เป็นบุตรสาวจะไม่หมั่นฝึกฝนปักผ้าให้เก่งกาจจนทำให้ท่านแม่ที่พักผ่อนอยู่บนสวรรค์ต้องเสียชื่อได้อย่างไร?
มองลายปักงดงามบนผืนผ้า เสี่ยวเซียงหรงก็ยิ่งสุขใจ
ทว่าสุขใจก็ส่วนสุขใจ นางไม่อาจรับคำชมเหล่านี้มาเป็นของตนเองทั้งหมดโดยไม่กล่าวถึงพี่หญิงใหญ่
“เป็นความคิดของพี่หญิงใหญ่น่ะ” เซียงหรงลูบลายผีเสื้อบนผืนผ้าเบาๆ “พี่หญิงใหญ่ช่างยอดเยี่ยมนัก มองปราดเดียวก็รู้ว่าหากเติมผีเสื้อลงไปสักเล็กน้อย ผ้าปักผืนนี้ก็จะยิ่งงดงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้น...”
ซู่ซินมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันทันที “คุณหนู...หรือว่าเมื่อครู่ตอนที่บ่าวไปเตรียมน้ำชาและขนมเหล่านี้มาให้ท่าน คุณหนูใหญ่ก็เข้ามากลั่นแกล้งรังแกท่านอีกแล้ว?”
เสี่ยวเซียงหรงมุ่นหัวคิ้วตามทันที “พี่หญิงใหญ่ที่ไหนจะกลั่นแกล้งรังแกข้า พี่หญิงใหญ่เคยทำเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด พี่ซู่ซินกล่าวเช่นนี้ หากพี่หญิงใหญ่รู้เข้าจะต้องเสียใจมากแน่ๆ”
“คุณหนู...” ซู่ซินคับข้องใจเป็นอย่างมาก นางกัดริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก แย้มรอยยิ้มแข็งขืน เอ่ยเพียงสั้นๆ “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เป็นบ่าวที่คิดมากจนเกินไปทั้งนั้น คุณหนู...คุณหนูสามของบ่าวช่างเป็นเด็กดีเหลือเกิน...ดีมากๆ ดีมากจริงๆ”
“พี่ซู่ซินก็เห็นเป็นเช่นนั้นหรือ!” เสี่ยวเซียงหรงถาม น้ำเสียงยิ่งกว่ายินดี
“เจ้าค่ะ คุณหนูของบ่าวเป็นเด็กดี...ดีเกินไปแล้ว...” ซู่ซินได้แต่ทอดถอนใจ
แม้นางจะชมชอบอุปนิสัยซื่อตรง เมตตาอารี น้ำใจงาม ใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทร และความเป็นคนวางตัวเรียบง่าย จิตใจสงบผ่องใส ไม่เคยถือโทษโกรธผู้ใดของคุณหนูสามเป็นอย่างมาก จนไม่อยากทำลายความบริสุทธิ์ซื่อใสดีงามนั้นด้วยการยัดเยียดความคิดของตนเองให้คุณหนูสาม ทว่า...คุณหนูสามที่เป็นเช่นนี้ จะไม่นับว่าน่าสงสารจนเกินไปงั้นรึ? นี่นางกำลังร่วมด้วยช่วยคนเหล่านั้นกลั่นแกล้งรังแกคุณหนูสามของตนทางอ้อมหรือไม่?
มองดวงตากระจ่างใสของคุณหนูสามแล้ว ซู่ซินก็ได้แต่เก็บกลืนคำพูดมาก มายที่อัดแน่นอยู่ในใจลงท้อง
เอาเถิด...ต่อไปนางก็แค่ต้องระวังให้มากขึ้นอีกหน่อย และลอบบอกเรื่องนี้ให้นายหญิงชรารับรู้ นายหญิงชราจะได้ช่วยจัดหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยนางดูแลคุ้มครองคุณหนูอีกแรงหนึ่ง ระหว่างที่นางไปจัดเตรียมขนมและของว่างให้คุณหนูด้วยตนเองเช่นวันนี้จะได้มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูสาม คอยปกป้องคุณหนูสามที่ทั้งไร้เดียงสาและมองโลกมองผู้คนในแง่ดีมากเกินไปสักเล็กน้อยเอาไว้ ทำเช่นนี้...ก็น่าจะได้กระมัง?
จะอย่างไรนางก็เป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง แม้ยามนี้จะมีนายหญิงชราคุ้มหัวคุ้มตัว ทว่าสาวใช้อย่างนางก็ไม่กล้าแข็งข้อต่ออนุทั้งสามที่แม้จะเป็นเพียงอนุ แต่ก็ล้วนมาจากตระกูลใหญ่อย่างสกุลหาน สกุลซู และสกุลจาง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่ที่สืบทอดชื่อเสียงและความมั่งคั่งมามากกว่าร้อยปีทั้งสิ้น
นางยังไม่อยากถูกหาเหตุกำจัดออกไปเช่นคนอื่นๆ รอบตัวคุณหนูสาม หลายครั้งจึงต้องคอยแกล้งเอาหูไปทางเอาตาไปทาง ไม่เช่นนั้นบ่าวที่ซื่อสัตย์อย่างนางก็คงถูกกำจัดออกไปจากข้างกายคุณหนูสามเช่นเดียวกับคนอื่นๆ นานแล้ว
ฟูเหรินที่ล่วงลับดีต่อนางกว่าใคร...คุณหนูสามจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ซื่อใสไร้เดียงสาเกินไป ไม่เคยคิดหรือมองสิ่งใดในแง่ร้าย หากกระทั่งนางก็ยังโดนกำจัดออกไป ต่อไปข้างกายคุณหนูสามก็จะไม่เหลือใครสักคนที่ไว้ใจได้คอยปกป้องดูแลให้ปลอดภัยอีกแล้ว...นางไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้น
ยอมรับตามตรงว่านับตั้งแต่ฟูเหรินของนางจากไป นางก็กลายเป็นคนมองโลกและผู้คนในแง่ร้าย ยิ่งสังเกตยิ่งมองเห็นสันดานร้ายเร้นที่แฝงอยู่ในตัวอนุทั้งสามและบุตรสาวของพวกนาง บ่าวอย่างนางก็ยิ่งหวาดกลัวและไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นดูแลคุณหนูของตน กระทั่งจัดเตรียมอาหาร น้ำชา และขนม ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้น นางล้วนต้องจัดเตรียมเองกับมือ จึงจะวางใจได้
“คุณหนูเจ้าคะ ขนมนี่บ่าวทำขึ้นเองกับมือ คุณหนูวางผ้าปักลงสักครู่ แล้วลองชิมให้บ่าวได้ชื่นใจสักนิดได้หรือไม่”
เซียงหรงแย้มยิ้ม วางผ้าในมือ เริ่มเลี้ยงดูปูเสื่อตนเองอย่างว่าง่าย
เรื่องทำให้ผู้อื่นดีใจ นางชอบทำอยู่แล้ว!
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ