เข้าสู่ระบบหลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อน
ภายในห้องรับรองของคุกหลวง… กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ “ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา “นั่นสิ เหตุใดโคมถึงได้ตกแค่ตำหนักเสด็จย่า” จิ่นหรงเองก็สงสัย หากจะว่าไป ตำหนักเขาอยู่นอกกว่าผู้เป็นย่าเสียอีก ถัดมาก็เป็นตำหนักเปล่าจึงจะเป็นตำหนักไทเฮาและฮองเฮา ลึกเข้าไปจึงจะเป็นของฮ่องเต้ และตำหนักสนมทั้งสี่ที่อยู่รายล้อม “ทรงตรวจพบสิ่งใดบ้างเพคะ หลังจากจัดการเพลิงได้แล้ว” “มีโคมอันหนึ่งตกลงไปในน้ำพ่ะย่ะค่ะ ทว่าตรวจดูแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด ยาพิษก็เหมือนจะละลายไปกับน้ำ เราจึงหาสาเหตุไม่ได้ในตอนแรก” อินหลางรายงานแทน “แล้วในน้ำมีนกตายหรือไม่” “ตันหยาง เจ้าคิดว่าที่โคมมันมาตกที่ตำหนักเสด็จย่าได้เป็นเพราะนกพามันมากระนั้นหรือ” จิ่นหรงรีบเอ่ยถาม ตันหยางยิ้มแห้งก่อนตอบ “มันก็มีความเป็นไปได้มิใช่หรือเพคะ พวกนั้นอาจจะใช้นกควบคุมการเดินทางของโคมก็ได้ อาจจะผูกขานกไว้ ให้โคมอยู่ด้านล่างอะไรอย่างนั้น หม่อมฉันก็แค่สัณนิษฐานไปเรื่อยเพคะ อาจไม่ใช่ก็ได้” นางยิ้มแหยอีกครั้ง ความคิดนี้มันผุดขึ้นมา เพราะตันหยางนึกถึงเนื้อหาในหน้าประวัติศาสตร์ที่ตนเคยอ่านเล่นสมัยเด็ก การลอบวางเพลิงของคนสมัยโบราณ มันคล้ายกันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ใช้นกเป็นพาหนะ ควบคุมด้วยเสียงอีกที ทว่านั่นมันเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในยุคโบราณ แต่ที่นี่มันโลกนิยาย จะมีคนคิดวิธีพวกนี้มาทำร้ายผู้อื่นได้จริง ๆ หรือ ‘ไม่สิ ที่นี่ก็ถือว่าเป็นโลกจริงเหมือนกัน ทุกคนมีความคิด มีความรู้สึก เราจะมองว่ามันคือนิยายที่ถูกกำหนดไว้ไม่ได้’ “เป็นอันใดไป ไยเอ่ยแล้วก็หยุดไปดื้อ ๆ” จิ่นหรงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เพราะชายาเขาเหม่ออยู่นานแล้ว “หม่อมฉันกำลังคิดว่า โคมอาจจะถูกบังคับทิศทางด้วยนกจริง ๆ เพคะ ลองนึกภาพตามนะเพคะ หากเราฝึกนกได้เหมือนที่ให้มันคอยส่งข่าว บินไปยังจุดเดิมทุกวัน และฝึกให้มันขนของไปด้วย ทุกคนคิดว่าสามารถทำได้หรือไม่” “ปกติโคมมันสามารถพาตนเองลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อยู่แล้ว ฉะนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องยากที่นกจะเป็นผู้นำทางให้โคมไฟลอยไปตกที่ตำหนักเสด็จย่าในช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ที่นั่น” “และมันก็เท่ากับว่า มีคนในรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย” อินหลางเอ่ยต่อประโยคของรัชทายาท ซึ่งทุกคนต่างก็คิดเหมือนกัน “หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หาคนคนนี้ไม่ยากเพคะ” “เจ้ามีวิธีหรือ” จิ่นหรงหันมองชายาตน “ผู้ที่สอนนกได้จะต้องให้อาหารมันกิน นกพิราบมันจะมีกลิ่นเฉพาะตัว คนที่อยู่กับมันนาน ๆ ต่อให้อาบน้ำถูเนื้อตัวยังไงกลิ่นมันก็ไม่จางหายไปง่าย ๆ เพคะ อีกอย่าง…คนที่ทำก็คงนึกไม่ถึงว่าเราจะค้นพบเรื่องนี้ แน่นอนว่าคนผู้นั้นย่อมไม่ทันระวังตัว และข้อสังเกตอีกหนึ่งอย่าง ตามแขนหรือฝ่ามืออาจจะมีแผล เพราะนกเวลากินอาหารมันมักจะจิก คนเลี้ยงนกเหล่านี้จะต้องดูแลมันอย่างดี และมีพื้นที่พอสมควร ฉะนั้นหากตรวจตรา อย่าลืมตรวจตำหนักที่อยู่รอบบริเวณด้วยนะเพคะ” ตันหยาง นิ่งงันไป เพราะทุกคนเอาแต่จ้องนางไม่วางตา “หม่อมฉันเอ่ยอันใดผิดไปหรือเพคะ” ยิ้มแหยให้พระสวามี ที่ดูตะลึงงันราวกับพบเจอเรื่องมหัศจรรย์มา “พระชายาคิดได้เยี่ยงไรกันพ่ะย่ะค่ะ หากมิใช่ว่าพระองค์ก็อยู่ในเหตุการณ์ ประสบเหตุจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด กระหม่อมคงคิดว่าคนที่วางแผนร้ายคือพระองค์เป็นแน่” ซ่งเทียนเอ่ยติดตลก ทว่าทุกคนกลับไม่ตลกกับเขาเลย โดยเฉพาะรัชทายาท “เจ้าอยากตายหรือ พระชายาจะเป็นคนวางแผนได้เยี่ยงไร พูดจาไม่รู้จักคิด” อินหลางตำหนิทันที ซ่งเทียนรีบลุกพรวดลงมาคุกเข่า “กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ปากพล่อย! ปากพล่อยจริง ๆ” องครักษ์เกราะดำยกมือตีปากตนจนขึ้นสีเรื่อ ตันหยางจึงต้องรีบร้องห้าม “พอแล้ว พอแล้ว ข้าไม่ถือโทษอันใดทั้งนั้น ข้ารู้ว่าใต้เท้าแค่เย้าเล่น พอเถิดนะ รัชทายาทห้ามหน่อยเพคะ” “สมควรแล้ว” จิ่นหรงตอบสั้น ๆ ตันหยางมองหน้าเขาแล้วก็ค้อนไปหนึ่งที คนที่นั่งทำหน้าขรึมเลยต้องรีบโบกมือให้หัวหน้าองครักษ์หยุด “ขอบพระทัยรัชทายาท ขอบพระทัยพระชายา ต่อไปกระหม่อมจะไม่บังอาจเช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเทียนเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เพราะเขาปากพล่อยจริง ๆ ดีที่ไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย หากเรื่องนี้หลุดออกไป มีหวังตระกูลเขาเป็นได้สูญสิ้นแน่ “ลุกขึ้น! ต่อไปอย่าได้เอ่ยวาจาพล่อย ๆ เช่นนี้อีก เรื่องของเสด็จอายังอื้อฉาวไม่พอหรือ เจ้าถึงคิดจะมาสร้างเรื่องให้ชายาข้าอีก” จิ่นหรงยังหงุดหงิดไม่หาย จู่ ๆ ก็มาว่าชายาเขาเป็นผู้บงการวางแผน ถึงจะเป็นการพูดเล่นก็ไม่ควรทำ เพราะคำพูดคนมันจุดชนวนให้คิดได้เร็วกว่าไฟที่ถูกสุมเสียอีก “กระหม่อมรู้ผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเทียนขยับลุกไปนั่งข้างใต้เท้าเจิ้นตามเดิม และนับจากนั้นเขาก็ไม่เอ่ยอันใดอีก เหตุการณ์ครานี้ถือว่าเขายังโชคดีที่พระชายาไม่ถือสาเอาความ และยังช่วยพูดให้เขาไม่ต้องรับโทษหนักกว่านี้ด้วย หากเป็นสตรีสูงศักดิ์นางอื่น ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ถูกลงโทษแค่เขาผู้เดียว อาจจะรวมหมดทั้งตระกูลก็เป็นได้ “พอใจหรือยัง” จิ่นหรงเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้าคนข้างกาย “เพคะ” ตันหยางกระแทกเสียงใส่ อีกฝ่ายจึงได้แต่กลืนน้ำลาย พร้อมกับเหลือบมองชายาตัวน้อยของตนที่นั่งนิ่ง และไม่ใช่แต่ตันหยางเท่านั้น สามคนที่นั่งตรงข้ามก็พากันไม่กล้าออกความคิดเห็น บรรยากาศภายในห้องจึงดูเหมือนจะอืมครืมขึ้นมา แม้แต่เหล่าคนสนิทที่ยืนอยู่ก็ยังหายใจไม่คล่อง “เอ่อ…” จิ่นหรงหมายจะเอ่ยกับชายา ทว่าเขากลับกล่าวอันใดไม่ออก เพราะคำพูดมันจุกอยู่ที่คอ เขาเกรงว่าเอ่ยออกไปแล้วนางจะไม่ตอบรับเหมือนเคย แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำใจดีสู้ “พระชายา ขอบใจเจ้ามากนะที่ช่วยไขข้อสงสัยเหล่านี้” “เพคะ” ตันหยางเหลือบตามอง “พระชายา ไม่ทราบว่าพระองค์พอจะสอนวิธีรีดเอาความจริงจากปากคนร้ายให้เราได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ก็ยานั้นมีอีกหรือไม่ กระหม่อมอยากได้มาไว้ยามต้องสอบสวนคนร้ายปากหนักพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเจิ้นรีบเอ่ยทำลายความตึงเครียด “ได้สิ ข้าปรุงเสร็จจะให้คนนำมาส่งแล้วกัน ประเดี๋ยวจะเขียนวิธีใช้มาให้ด้วย” ตันหยางเอ่ยบอกเสียงอ่อน จิ่นหรงยู่ปากใส่ชายาตนอย่างลืมตัว ตามมาด้วยเสียงบ่นพึมพำไม่ต่างจากเด็กที่กำลังงอแง “ชิ! ทีกับเราทำเสียงแข็งใส่” ตันหยางหันมองหน้าเขาก่อนจะยิ้มเอ็นดู จากนั้นก็เอ่ยบอกเสียงอ่อน “รีบหารือให้จบเถิดเพคะ หม่อมฉันหิวแล้ว” ใบหน้าคมคายหันขวับทันที ก่อนจะมองเลยไปหาคนของตน “อี้ฟาน เจ้าไปหาขนมมาให้พระชายารองท้องก่อน เร็ว ๆ” “พ่ะย่ะค่ะ” คนสนิทรีบรับคำ มู่หลิงจึงขอออกไปด้วย เพราะนางรู้ว่านายของตนชอบเสวยอันใด ด้านจิ่นหรงเมื่อเห็นชายาตนยิ้มให้ ใบหน้าบูดบึ้งเมื่อครู่ก็หายไป พร้อมกันนั้นเขายังยื่นมือออกมากุมมือชายาเอาไว้ด้วย คนในห้องจึงมองอย่างเอ็นดู โดยเฉพาะฟู่อินโหว ดูท่าค่ำนี้เขาคงมีเรื่องดีไปเล่าให้ภรรยาอันเป็นที่รักได้ฟังแล้วสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







