ตลอดทั้งวันเจียอี ได้แต่นั่งคิดถึงเรื่องความฝันเมื่อคืนของเธอ จนไม่ได้ลุกออกจากห้องไปด้านนอกเลย ป้าตงได้แต่นำอาหาร ของว่างเข้ามาให้เธอด้านในห้อง กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไป เพราะไม่เคยนอนจนเรียกไม่ตื่นแบบนี้มาก่อน
“คุณหนูออกไปเที่ยวเล่นไหมคะ ป้าจะให้ลุงฟางเตรียมรถ” ป้าตงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ค่ะ หนูอยากอยู่บ้าน ป้าตงมีงานอะไรก็ไปทำได้เลยค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เธอยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเพื่อไม่อยากให้ป้าตงต้องมากังวลเรื่องของเธอจนไม่อาจจะปลีกตัวไปทำงานได้
“ถ้างั้น เย็นนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“อาหารของป้าอร่อยทุกอย่าง ทำอะไรมาหนูก็กินทั้งนั้นค่ะ”
“ได้ค่ะ วันนี้ป้าจะทำมื้อใหญ่ให้เลยค่ะ”
พอป้าตงออกจากห้องไป เจียอีก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เธอหันข้างนอนเล่นปิ่นมรกตในมือ “หรือเป็นเพราะปิ่น ฉันถึงได้ฝันเรื่องบ้าบอแบบนี้” เพียงแค่คิดถึงความฝัน ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความกลัวออกมา
ยิ่งตอนที่ถูกม้าทั้งห้าตัวแยกร่าง เจียอีก็กลัวจนใบหน้าซีดขาว เธอยังจำความรู้สึกตอนที่แขนขาขาดออกจากร่างกายได้ดี ส่วนหัวเป็นส่วนที่ถูกกระชากออกไปเป็นอย่างสุดท้าย ความเจ็บปวดที่แสนสาหัส เธอกลัวว่าจะกลับไปฝันแบบนั้นอีก
“จะนอนก็กลัวจะฝัน แล้วจะไปที่ไหนดี” ระหว่างที่หมุนปิ่นเล่นและคิดว่าจะโทรหาอาหรันเพื่อออกไปพักที่บ้านของเธอ หรือจะชวนอาหรันไปเที่ยวที่อื่นดี
ตัวของเจียอีก็ไปปรากฏอยู่อีกที่หนึ่งแล้ว เธอล้มไปกองอยู่บนพื้นที่โล่งเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ ศาลาริมน้ำที่งดงามมองเห็นทิวเขาที่อยู่ด้านหลัง ด้านข้างมีบ่อน้ำภายในมีดอกบัวบานอยู่หลายหลากสี
บ้านพักโบราณที่ด้านตะวันออกมีอยู่หลายหลังเลยทีเดียว เจียอีตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย เธอไม่แม้แต่จะกล้าลุกขึ้นยืน ได้แต่มองสำรวจไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงมาโผล่ที่แห่งนี้ได้ ในมือของเธอยังกำปิ่นปักผมไว้แน่นอีกด้วย
“ที่ไหนเนี่ย” ภายในใจเริ่มหวาดกลัวถึงที่สุด เธอไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ไง แม้จะสวยงามแต่ก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน แล้วเข้ามาได้ยังไง
“มาแล้วรึ”
เจียอีสะดุ้งสุดตัว เธอหันไปตามเสียงพูดของหญิงสาวที่พูดขึ้น
“ที่นี่ที่ไหน ฉันเข้ามาได้ไง แล้วคุณเป็นใคร ทำไมหน้าเหมือนฉัน” เธอถอยหลังผงะไปเมื่อเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนเธออย่างไม่ผิดเพี้ยน
“ข้าก็คือเจ้า เจียอี เจ้าเป็นเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของข้า เดิมทีก็สมควรจะผนึกอยู่รวมกัน แต่เพราะสวรรค์ทำเรื่องผิดพลาด เสี้ยวจิตวิญญาณของข้าอีกส่วนหนึ่งก็คือเจ้า ถึงได้ไปเกิดในภพที่เจ้าอยู่ในตอนนี้”
“ห๊า คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็จริง เจ้าในตอนนี้ไม่มีความทรงจำใดเหลืออยู่” นางเดินเข้ามาใกล้เจียอีที่ยังนั่งอยู่ที่พื้น พร้อมกับใช้นิ้วมือที่เรียวงามของนางชี้ไปที่กึ่งกลางหว่างคิ้วของเจียอี
แสงสีขาวปรากฏขึ้น จนเจียอีไม่อาจจะลืมตาขึ้นมาดูสิ่งที่อยู่รอบด้านใน ภาพเหตุการณ์ต่างๆ พลันปรากฏขึ้นในความทรงจำของเธอ
เจียอีเป็นหนึ่งในเทพที่อยู่บนสวรรค์ นางต้องลงมาผ่านด่านเคราะห์ เพื่อเลื่อนขั้น แต่ความผิดพลาดในครั้งนั้นทำให้เสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณเกิดการถูกแบ่งขึ้น
ส่วนที่เป็นอารมณ์เด็ดเดี่ยว กล้าหาญถูกแบ่งไปใส่ร่างของเจียอีที่เกิดในภพปัจจุบัน มู่เจียอีที่อยู่ในภพโบราณตามแต่ตนที่นางต้องลงไปจุติ ทำให้มีเพียงแค่อารมณ์อ่อนหวาน อ่อนแอ มิกล้าตัดสินใจจะปฏิเสธสิ่งใด
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถูกรวมเข้ากับความรู้สึกนึกคิดของเจียอี ยามนี้ความผิดหวัง โกรธแค้นที่มู่เจียอีได้รับ เจียอีในตอนนี้เธอก็รับรู้ได้เช่นกัน
ดวงตาของเจียอีเบิกกว้างด้วยความตกใจ นางกรีดร้องออกมาสุดเสียง อยากจะปฏิเสธความทรงจำที่ได้รับของมู่เจียอีที่กำลังไหลรวมเข้าสู่ร่างกายของเธอ
“พอ พอ แล้ว ฉันไม่อยากจะรับรู้แล้ว” เธอตะโกนสั่งให้หญิงสาวตรงหน้าหยุดการกระทำของเธอลง
แต่ไม่อาจจะหยุดภาพ ความรู้สึกที่ไหลเข้ามาดั่งสายน้ำได้ นานแค่ไหนไม่รู้ที่เจียอีดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้น
เธอนอนนิ่งปล่อยให้น้ำตาของเธอไหลออกอย่างห้ามไม่อยู่
“เธอจะต้องการให้ฉันรับรู้เพื่ออะไร” เธอเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวด
“เจ้าต้องกลับไป เพื่อแก้ไขเรื่องราว”
“ไม่ ชีวิตฉันในตอนนี้ดีอยู่แล้ว” แม้จะรับรู้ได้แล้วว่ามู่เจียอีคือตัวเธอในภพโบราณ แต่ก็ไม่อยากกลับไปเจอหน้าคนที่ทำเรื่องเลวร้ายกับเธออีกแล้ว
“เจียอี ไม่เช่นนั้น จิตวิญญาณของเจ้าจะแตกสลายไม่อาจจะรวมเข้ากันได้ ตัวเจ้าจะมิได้กลับคืนสู่สวรรค์”
เจียอีเงยหน้าขึ้นเหม่อมองผืนฟ้าอย่างครุ่นคิด “แล้วเรื่องในภพนี้ของฉันจะเป็นยังไง” เธอยังมีครอบครัวของเธอที่นี่
“เรื่องของเจ้าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“หมายความว่ายังไง” เจียอีลุกขึ้นนั่งมองมาที่หญิงสาวตรงหน้าอย่างสงสัย
“ตัวตนของเจ้าจะหายไปจากโลกใบนั้น ครอบครัวของเจ้าจะลืมเลือนถึงการมีอยู่ของเจ้าไป”
“ได้ยังไง ฉันเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อคุณแม่จะจำไม่ได้เลยเหรอว่าเคยมีฉันเกิดมา” นางตื่นตระหนกไม่เข้าใจว่าจะเป็นไปได้ยังไง
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น เรื่องที่เจ้าต้องทำมีเพียงสิ่งเดียว อย่าได้เดินตามเส้นทางเดิม อย่าได้ทำให้ตนเองมีนามในบันทึกว่าเป็นสตรีชั่วช้า”
เจียอีเบิกตากว้าง ไม่คิดว่ามู่เจียอีจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสตรีชั่วช้า
“แล้วนี่ ที่ไหน” นางเอ่ยถามออกมา เมื่อไม่รู้จะพูดเรื่องไหนแล้ว
“เดิมทีที่แห่งนี้ก็เป็นของเจ้า” นางมองไปรอบๆ อย่างโหยหา
“แล้วมันจะติดตัวฉันไปด้วยไหม”
“ไม่”
“ไม่ได้ ฉันจะเอาไปด้วย ไหนเธอบอกว่าเป็นความผิดของสวรรค์ที่แยกเสี้ยวจิตวิญญาณออก ยังไงก็ต้องชดเชยให้กันบ้าง”
“หึหึ ค่อยสมกับเป็นเจ้าเสียหน่อย อย่าให้ผู้ใดรู้ได้เล่าว่าเจ้ามีมิติ อีอี เจ้าต้องไปแล้ว มิเช่นนั้นจะมิอาจรวบรวมจิตวิญญาณได้อีก”
“ไม่มีเวลาให้ฉันทำใจก่อนเลยรึไง”
“ไม่ทันแล้ว” นางโบกมือเพียงครั้งเดียว เจียอีก็หายไปทันที
“คุณหนู ตื่นเร็วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงใครอีก แล้วตอนนี้ฉันมาอยู่ที่ไหนแล้ว เจียอีค่อยๆ หรี่ตาขึ้นเพื่อมองสิ่งที่อยู่รอบตัว
ภพเลือนรางที่ได้เห็น มีสตรีนางหนึ่งเขย่าเรียกตัวเธอที่นอนอยู่เบาๆ นางสวมใส่เสื้อผ้าในยุคโบราณ เจียอีถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าตอนนี้ได้ย้อนกลับมาแล้ว
ความทรงจำของมู่เจียอีค่อยๆ ฉายชัดขึ้น มู่เจียอีในวัยสิบห้าปี นางเพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมาได้เพียงไม่ถึงเดือน ตอนนี้มู่เฟยหย่านางก็ยังไม่ได้หมั้นหมายกับหวงเต๋อฟาน เพียงแต่มีการพูดคุยกันเรื่องแลกเปลี่ยนเทียบชะตาไปบ้างแล้ว
“อืม จะรีบตื่นไปที่ใด” เจียอีเบิกตากว้าง แม้แต่คำพูดที่นางใช้ก็กลับไปเป็นคำพูดโบราณโดยอัตโนมัติ
“โถ่ คุณหนูวันนี้คุณหนูต้องเดินทางเข้าวังหลวงพร้อมนายท่านกับฮูหยินเจ้าค่ะ”
“ไปเพื่ออันใด” เจียอีพยุงตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง
นางหันไปมอง เสี่ยวถิง อย่างสนใจ สาวใช้ข้างกายของมู่เจียอี เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างกายของนางจนถึงวันที่นางถูกห้าม้าแยก และคงเป็นคนเดียวที่ร้องไห้จนแทบขาดใจอยู่ด้านข้างไม่ไกลจากนาง
“คุณหนู!!! ท่านมีไข้หรือไม่เจ้าคะ วันนี้เว่ยอ๋องเดินทางกลับเมืองหลวง ทางวังหลวงจัดงานเลี้ยงต้อนรับ มีตระกูลขุนนางในเมืองหลวงเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่ได้เข้าร่วมงานนี้ เมื่อวานท่านยังยินดีอยู่เลยเจ้าค่ะ เหตุใดเช้านี้ถึงได้ลืมเสียแล้ว”
เจียอีรีบเดินไปที่บ่อน้ำอย่างร้อนใจ นางไม่เคยพบเจอว่าผู้ใดที่แช่น้ำในบ่อแล้วจะเรียกไม่ฟื้น“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ” นางเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังประคองใบหน้าของเขาไว้แล้วตบเรียกสติเบาๆเว่ยอ๋องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในภาพฝัน เงยหน้าขึ้นมาจากหลุมศพของเจียอี แล้วมองหาเสียงเรียกของนาง“อีอี เป็นเจ้ารึ เจ้าอยู่ที่ใด” เขาลุกขึ้นมองหา โดยที่ยังได้ยินเสียงเรียกที่ร้อนใจของนางอยู่ไม่ขาด“ท่านอ๋อง ได้โปรด ลืมตาตื่นเถิดเพคะ” เจียอีจรดหน้าผากของนางติดกับหน้าผากของเว่ยอ๋อง แล้วเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่นเทาน้ำตาของเจียอีไหลรินลงที่ใบหน้าที่หลับใหลของเว่ยอ๋อง นางยังคงเอ่ยเรียกเขาไว้ไม่ขาด เพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็ลืมตาตื่นขึ้นมา“อีอีรึ” เขากะพริบตาที่พร่ามัว ด้วยไม่เชื่อว่าตรงหน้าของเขาจะเป็นนางไปได้“ท่านฟื้นเสียที” นางยิ้มออกทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพิ่งจะได้รู้ว่าต้องการเขามากเพียงใด ก็ต่อเมื่อเรียกเขาแล้วไม่มีการตอบโต้กลับ ในภพที่แล้วคู่ชะตาของเขาจะใช่นางรึไม่ ตอนนี้เจียอีไม่สนใจแล้ว นางต้องการเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พอ“อีอี เปิ่นหวางมิได้ฝันใช่หรือไม่” เขาดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น เขาแยกไม่ออกแล้วว่
ภาพเปลี่ยนมาตอนที่เขาส่งแม่สื่อมาที่จวนตระกูลมู่ เพื่อแต่งมู่เจียอี แต่มิรู้เลยว่าคนที่แต่งไปเป็นมู่เฟยหย่าเจียอีที่ถูกเปลี่ยนตัว เดินทางออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับหวงเต๋อฟานเพื่อเดินทางไปประจำการที่ชายแดนเหนือแทนเว่ยอ๋องที่กลับมาอยู่เมืองหลวงงานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เว่ยอ๋องถึงกลับสาบานในวันงานว่าจะมีเพียงมู่เจียอีเพียงผู้เดียวในตำหนักอ๋องของเขาในวันงานแต่งหวงเต๋อฟานย้อนกลับมาที่ตำหนักอ๋อง ในตอนแรกเว่ยอ๋องคิดว่าเขาจะมาร่วมแสดงความยินดี แต่เปล่าเลย เขาขอพบเจ้าสาวเพื่อพูดคุยเรื่องพี่สาวของนางเว่ยอ๋องในอดีตไม่เคยสงสัยในตัวของสตรีที่เขาแต่งเข้ามาเลย แม้เรื่องเมื่อสิบปีก่อนนางจะทำราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่เขาก็คิดว่าในยามนั้นนางยังเล็กเกินกว่าจะจดจำเรื่องทั้งหมดได้ จึงได้แต่ปล่อยผ่านไปแม้เขาจะรักและทะนุถนอมนางมากเพียงใด แต่นางก็ไม่เคยตั้งครรภ์เลย เว่ยอ๋องที่เห็นภาพตนเองร่วมรักกับมู่เฟยหย่าเขาก็ขยะแขยงตัวเองขึ้นมาทันที ทั้งยังโกรธแค้นที่นางกรีดเลือดที่นิ้วเพื่อทำเป็นเลือดพรหมจรรย์ตบตาเขาอีกด้วย“น่าตายนัก” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาเว่ยอ๋องที่เห็นภาพเขาและมู่เฟยหย่า
เจียอีตื่นตระหนกจนตัวของนางสั่นสะท้าน“ท่านพ่อ เข้าไปในมิติก่อนเจ้าค่ะ หากถึงวังหลวงแล้ว ลูกจะพาท่านออกมา” เจียอีไม่ยอมให้บิดาเอ่ยปฏิเสธนางรีบส่งรองเจ้ากรมมู่เข้าไปด้านในทันทีที่นางมิได้เข้าไปหลบภายในมิติ เพราะกลัวว่าหากออกมาอีกครั้งนางจะไปปรากฏตัวที่ใดไม่รู้ อาจจะไม่ได้อยู่ภายในรถม้าเช่นเดิมแล้วเสียงต่อสู้ด้านนอก ทำให้เจียอี นางเข้าไปหลบอยู่ที่มุมด้านในสุดของรถม้า ตอนที่ผ้าม่านถูกเปิดขึ้นนางเกือบจะกรีดร้องออกมาแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นองครักษ์ของเว่ยอ๋องที่เข้ามานางจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก“ขออภัยคุณหนูรองมู่ขอรับ” เขารวบเอวนางแล้วพุ่งทะยานออกไปทันทีเจียอีทันได้เห็นองครักษ์กับคนร้ายหลายคนกำลังต่อสู่กันอย่างรุนแรง เลือดที่สาดกระเด็นของคนร้ายทำให้นางแทบอยากจะเป็นลมไปเสียเลย จะได้ไม่ต้องเห็นภาพที่น่ากลัวเช่นนี้องครักษ์ใช้วิชาตัวเบา พาเจียอีมาส่งถึงด้านในวังหลวง ก่อนจะเร่งพากันเดินไปที่ตำหนักของฮ่องเต้ที่มีไทเฮารอเจียอีอยู่ด้านใน (นางยังไม่เข้าใจเหตุใดไม่พานงไปส่งที่หน้าตำหนักเลย จะได้ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย)“คุณหนูมู่ ท่านมาแล้ว” จางมามาร้องอย่างยินดี เมื่อนางเห็นเจียอีเดินมาพร้
ภาพในอดีตซ้อนทับกับความทรงจำเดิมทันที เมื่อนางเห็นพี่สาวของนางนอนใบหน้าไร้สีเลือดอยู่บนที่นอน ด้านข้างมีท่านหมอมาตรวจอาการให้นาง รองเจ้ากรมมู่และสวีซื่อยืนร้อนใจอยู่ด้านข้างไม่ห่าง“น้องสาวข้า เจ้ามาแล้วรึ” มู่เฟยหย่าเอื้อมมือมาคว้า เพื่อให้เจียอีนางเดินเข้าไปใกล้เสียงที่แหบแห้งของนาง ทำให้นางยิ่งดูน่าสงสารเพิ่มขึ้นไปอีก เจียอีได้แต่ถอนหายใจออกมา ครั้งนี้นางไม่มีน้ำตาเช่นเดิมให้เห็นอีกแล้วภพก่อนเป็นนางที่โง่เขลาหลงเชื่อว่าพี่สาวของนางป่วยใกล้ตายจริงๆ แต่ตอนหลังนางถึงได้รู้ว่าเป็นแผนการที่นางวางไว้ โดยซื้อยามาแสร้งทำให้ดูเหมือนเป็นคนป่วยใกล้ตายจะกล่าวโทษท่านหมอที่ตรวจไม่พบโรคร้ายของนางก็คงไม่ได้ เพราะอาการที่นางเป็น นางไม่ได้เป็นอันใดมากเสียหน่อย แต่ครั้งนี้อาจเป็นเพราะนางตรอมใจด้วย จึงได้มีสภาพที่น่าเวทนากว่าในตอนนั้น“พี่หญิง ท่านเป็นเช่นใดบ้าง” เจียอีนั่งลงข้างเตียงของมู่เฟยหย่า“ข้ามิรู้ว่าจะรอดพ้นไปได้อีกกี่วัน ข้าปวดใจเสียจนอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด” นางสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร “ข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากขอจากเจ้า” นางมองเจียอีด้วยสายตาที่อ้อนวอน“ท่านมิต้องพูดสิ่งใดแล้ว ข้าจะหาหมอที่ด
หวงเต๋อฟานเร่งฝีเท้าไปให้ท่านเว่ยอ๋องที่กำลังจะขึ้นหลังม้าเพื่อกลับเข้าไปจัดการเรื่องในวังหลวง“ท่านอ๋อง ประเดี๋ยวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หวงเต๋อฟานเอ่ยรั้งเว่ยอ๋องไว้“มีเรื่องอันใดอีกรึ” เว่ยอ๋องหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์นัก“เรื่องของคุณหนูใหญ่มู่ ข้าน้อยขออภัยแทนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ หวังว่าท่านอ๋องจะเมตตาไม่เอาเรื่องนาง” หวงเต๋อฟานเอ่ยขอร้องเว่ยอ๋อง“หึ เปิ่นหวางเอ่ยไปแล้วว่าจะไม่เอาเรื่องนาง แต่หากนางยังมิยอมรามือ เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางจะจัดการนางเช่นไรเล่า” เว่ยอ๋องยกยิ้มมองหวงเต๋อฟานที่ช่างเป็นบุรุษโง่เขลาเสียจริง“ข้าน้อยจะดูแลนางไม่ให้นางทำให้ท่านอ๋องขุ่นใจอีกพ่ะย่ะค่ะ”“ดี เสด็จพี่บอกเปิ่นหวาง เรื่องจะส่งเจ้าไปดูแลกองทัพที่ชายแดน หลังจากเสร็จเรื่องงานแต่งก็พานางไปเสียเถิด”“พ่ะย่ะค่ะ” หวงเต๋อฟานคิดว่าคงเป็นการดีหากเขาจะพามู่เฟยหย่าไปใช้ชีวิตที่ชายแดนเหนือมู่เฟยหย่ากลับเข้าเรือนของนางก็อาละวาดขว้างปาข้าวของเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งเรือน ทั้งยังลงมือตบตีบ่าวไพร่ที่เข้ามาห้ามนางไว้จนเจ็บตัวไปตามๆ กันรองเจ้ากรมมู่และสวีซื่อที่ยังนั่งอยู่ในห้องโถงก็ปวดใจไม่น้อย ที่มู่เฟยหย่านางทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
สวีซื่อก็เกือบจะเป็นลมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อบุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมาอย่างดี กลายเป็นหญิงไร้ยางอายไปเสียได้ จนบ่าวไพร่ต้องจัดหายาดมมาช่วยดูแลนาง“พี่ฟาน ท่านมาที่จวนของข้าเพื่ออันใด” มู่เฟยหย่าหันมาเอ่ยถามหวงเต๋อฟานด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย“ประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง” เขานั่งลงดื่มชาเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีกรองเจ้ากรมมู่ที่พาเว่ยอ๋องไปที่ห้องตำรา เขาก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ทำให้เว่ยอ๋องเสด็จมาที่จวนของเขาได้ในวันนี้“พระองค์มีสิ่งใดต้องการให้ข้าน้อยรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”“หามิได้ เพียงแต่เปิ่นหวางมีความจริงอยากจะเอ่ย” เขาหมุนจอกชาเล่น แล้วมองใบหน้าที่ไม่น่ามองของรองเจ้ากรมมู่ไปด้วย“เชิญท่านอ๋องตรัสเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เว่ยอ๋องเล่าเรื่องที่มู่เฟยหย่านางวางยากำหนัดตัวเขา ทั้งยังยอมรับเรื่องที่เขาให้องครักษ์จับตัวมู่เฟยหย่าไปส่งให้หวงเต๋อฟานด้วยตนเองกับรองเจ้ากรมมู่ทั้งหมด“มิใช่ว่าท่านอ๋องพึงใจต่อบุตรีคนโตของกระหม่อมรึพ่ะย่ะค่ะ” รองเจ้ากรมมู่เบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจหากมีใจให้มู่เฟยหย่าจริง นางมาเสนอตัวให้ถึงที่เหตุใดถึงไม่สนองนาง แต่กลับพาตัวนางไปให้หวงเต๋อฟานที่มีข่าวเรื่องหมั้นหมายแทน“ผายลม เป