ค่ำคืนเงียบงันยิ่งกว่าที่เคย ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านแนวต้นหลิวที่ปลิดใบอย่างเชื่องช้า ในจวนสกุลเซียว แม้ภายนอกจะดูเงียบสงบ หากแต่ในความมืดของราตรีนั้น จิตใจของใครหลายคนต่างเต็มไปด้วยแรงเคลื่อนไหวที่ยากจะหยุดยั้ง
เรือนหลังที่เงียบเชียบของเซียวลี่อินกลับไม่มืดสนิทเหมือนเช่นทุกคืน ตะเกียงน้ำมันถูกจุดไว้ตรงกลางห้อง ราวกับนางตั้งใจ ‘เปิดทาง’ ให้ใครบางคนที่กำลังจะมา
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหน้าประตูหลัง ลี่อินไม่แสดงท่าทีแปลกใจ นางลุกขึ้นอย่างสงบ แล้วเปิดประตูออกด้วยมือนิ่งมั่น
บุรุษในชุดผ้าฝ้ายสีขาวยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมครึ่งหน้านั้นมีเพียงดวงตาคมลึกที่จ้องมองนางนิ่ง ๆ
“เจ้าคือผู้ที่จิ้งอ๋องส่งมาหรือ?” ลี่อินเอ่ยเสียงเบา
บุรุษชุดขาวพยักหน้า “ข้า ไป๋อวิ๋น เคยเป็นองครักษ์ลับประจำกรมคลัง เมื่อหกปีก่อนข้าเห็นสิ่งหนึ่ง แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้”
เสียงของเขานุ่มทุ้ม แต่ทว่าเย็นยะเยือกคล้ายลมภูผา
“และข้าจะไม่พูดกับใคร หากไม่มีเหตุผลพอ”
ลี่อินไม่ตอบในทันที นางเชื้อเชิญเขาเข้าไปนั่งในเรือนอย่างสงบ ตะเกียงสว่างเพียงพอให้เห็นเงาบนฝาผนังสั่นไหว แต่ไม่มากพอให้เห็นสีหน้าของทั้งสองชัดเจน นางเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“หกปีก่อน มีการเบิกจ่ายเงินหลวงผ่านทางกรมคลังโดยตรง แต่กลับไม่มีใบตรายางประทับจากส่วนกลาง บิดาข้าเป็นผู้ลงนาม ขณะเดียวกัน เจินซูเม่ยกลับเป็นผู้ส่งบ่าวจากเรือนในไปติดต่อกับพ่อค้าอาวุธเถื่อน”
เสียงนั้นไม่ดุดัน ไม่กล่าวโทษ หากแต่มีพลังประหนึ่งคมดาบที่ลับจนคมกริบ ไป๋อวิ๋นยังคงนั่งเงียบก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยออกมา
“ข้าเห็นกระดาษแผ่นนั้น ข้าเคยล้วงมันมาจากโต๊ะของท่านเสนาบดีเซียว แต่วันรุ่งขึ้น บ่าวที่อยู่เวรกับข้าคืนนั้นก็หายไป ศพเขาถูกพบในคลองหลังเรือน พร้อมตราประทับปลอมในอกเสื้อ”
ลี่อินหลับตาลงชั่วครู่ ความคุ้นเคยบางอย่างพลันแทรกเข้ามาในหัว เสียงของเขา ท่วงท่า การวางตัว ดูไม่ใช่เพียงองครักษ์หลวงธรรมดา
“ไป๋อวิ๋น เจ้าเคยอยู่ในจวนนี้หรือไม่?” นางถามตรง ๆ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เมื่อสิบปีก่อน ข้าเคยเป็นบ่าวในเรือนของฮูหยินใหญ่ หลี่ฟางเยว่”
คำตอบนั้น ทำให้นางชะงัก
ลี่อินจ้องเขม็งไปยังดวงตาเบื้องหลังผ้าปิดหน้า ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อย
“ข้าจำเจ้าไม่ได้ แต่ข้าจำได้ว่าท่านแม่เคยพูดถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยเฝ้าเดินตามนาง แม้เพียงถือกระบอกน้ำชา ก็ยืนห่างไม่เกินสามก้าว”
ไป๋อวิ๋นก้มหน้าลง “เพราะข้าไม่อาจช่วยฮูหยินได้ ข้าจึงไม่คู่ควรจะเปิดหน้าให้ท่านเห็น”
ภายในห้องเงียบลงไปอีกครั้ง ตะเกียงสั่นไหวหนักขึ้นตามแรงลมที่ลอดเข้าทางหน้าต่าง ทว่าไม่มีใครลุกขึ้นหรือเบือนหน้า ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับอดีตที่ไม่กล้าแตะต้อง
ในความมืด เงาของใครบางคนที่หายไปจากความทรงจำ กำลังกลับมา และครานี้ เขาจะมิใช่เงาอีกต่อไป...
รุ่งเช้าของวันถัดมา ท้องฟ้าปกคลุมด้วยหมอกจาง ใบเหมยสีขาวโปรยร่วงปะทะกับแผ่นศิลาทางเดินอย่างเงียบงัน ลี่อินยืนอยู่หน้าต่างเรือนหลัง เฝ้ามองเงาของใครบางคนที่เดินหายไปทางกำแพงหลังจวน
ไป๋อวิ๋นจากไปเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคำลาทิ้งท้าย แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ คือสมุดบันทึกเก่าเล่มหนึ่ง มีรอยเปื้อนหมึก และรอยเลือดจาง ๆ ตรงขอบกระดาษ
นางเปิดอ่านทีละหน้า เป็นลายมือที่ละเอียด ตรงทุกขีด ทุกย่อหน้าเหมือนถูกวัดด้วยไม้บรรทัด เนื้อหาในนั้น คือรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงินหลวงในช่วงเวลาต้องห้าม รวมถึงบันทึกถึง “สตรีผู้หนึ่งที่นำของมาให้” และ “บุรุษที่ปลอมตราประทับของกรมวัง”
ทุกคำคือดาบที่พร้อมจะเฉือนเนื้อผู้ทรยศ เมื่อถึงเวลา...
เสี่ยวจูยกสำรับอาหารเช้ามาวางเงียบ ๆ พอเห็นสีหน้าของคุณหนูตนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามเบา ๆ
“คุณหนู บุรุษชุดขาวคนนั้น เขาเป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ?”
ลี่อินยังคงจ้องสมุดบันทึก “เขาคือคนในอดีต คนที่ข้าเคยมองข้าม และตอนนี้ เขากำลังเป็นอนาคตที่ข้าจะต้องวางใจ แม้เพียงครึ่งหนึ่งก็ตาม...”
บ่ายวันเดียวกัน ที่เรือนรับรองด้านตะวันตกของตำหนักอ๋อง เฉินอี้นำเอกสารทั้งหมดที่ไป๋อวิ๋นทิ้งไว้ ส่งให้จิ้งอ๋อง
ชายหนุ่มในชุดคลุมดำขลิบทองอ่านอย่างเงียบงัน ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ
“ไป๋อวิ๋นคนนี้ รู้จักลี่อินมานานแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินอี้พยักหน้า “ขอรับ เขาเคยอยู่ในเรือนของฮูหยินหลี่มาก่อน จะว่าไปอาจเป็นคนเดียวที่เคยภักดีต่อครอบครัวนางอย่างแท้จริง”
จิ้งอ๋องมองออกนอกหน้าต่าง ดวงตานิ่งลึก
“ถ้าเช่นนั้น เขาจะเป็นสิ่งที่ทดสอบความใจแข็งนางได้ดีที่สุด คนที่ข้าใช้ได้ ต้องไม่หวั่นไหวต่อเรื่องใดทั้งสิ้น”
ค่ำวันนั้น ฝนหลงฤดูโปรยปรายลงมาเบา ๆ เหนือจวนสกุลเซียว ลี่อินนั่งซ้อนมืออยู่ตรงชานไม้ เสียงหยดฝนกระทบพื้นแผ่วเบาแต่ชัดเจนยิ่งกว่าความคิดของนาง
“ไป๋อวิ๋น…”
ชื่อหนึ่งที่เคยเลือนรางในอดีต ตอนนี้กลับชัดเจนในความทรงจำยิ่งกว่าภาพบิดาผู้ให้กำเนิดเสียอีก
นางเคยวิ่งเล่นอยู่ในเรือนเดียวกับเขา เคยหัวเราะตอนเขาที่สะดุดรากไม้ตอนวิ่งเล่น เคยให้ซาลาเปาแป้งหยาบลูกสุดท้ายที่เหลือในถาด…
“ท่านแม่ ไม่ว่าก็ตามที่มันเคยทำให้ท่านเจ็บปวดทรมาน ข้าจะให้มันได้ชดใช้อย่างสาสมแน่นอน”
แสงสายฟ้าแลบผ่านฟ้าคืนฝนตก ลี่อินลุกขึ้นจากตั่ง หยิบผ้ามาคลุมไหล่ เสียงในใจดังชัดยิ่งกว่าสายลม
“ครั้งนี้ ข้าจะไม่หันหลังให้ใครอีก แต่หากใครคืออุปสรรค ข้าก็พร้อมจะแทงคนผู้นั้นด้วยมือข้าเอง...”
ค่ำคืนนี้เงียบกว่าคืนใด ๆ ในตรอกแคบหลังโรงเก็บผ้าของจวนสกุลเซียว เงาดำสามร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไร้เสียง มือหนึ่งถือกระบี่ อีกคนมีธนูสั้นติดหลัง อีกคนแอบอยู่บนหลังคาพร้อมมีดสั้นคมกริบ เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่จวนใหญ่ แต่เป็นเรือนหลังเล็กที่ซึ่งไม่มีใครใส่ใจ
ในห้องของลี่อิน แสงตะเกียงริบหรี่แทบจะดับ นางนั่งสงบนิ่งในความมืด หูฟังเสียงก้าวย่างที่ไม่ใช่ของคนรับใช้ เสียงที่ดังขึ้นใกล้เรื่อย ๆ จากด้านข้างเรือน เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นจากเงามืดมุมห้อง เงานั้นเคลื่อนตัวออกมาช้า ๆ เผยให้เห็นชายชุดขาวที่ยืนพิงผนังมาตั้งแต่เมื่อใดมิอาจทราบได้
“เจ้ารู้ตัวนานแล้วใช่หรือไม่” ลี่อินเอ่ยขึ้น
“ก่อนข้าก้าวเข้ามาในรั้วเรือนในคืนนี้ คุณหนูเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไร้สาเหตุถึงสามครั้ง” ไป๋อวิ๋นกล่าวเรียบ ๆ
เสียงหน้าต่างฝั่งตะวันตกถูกแง้มเบา ๆ หนึ่งในนักฆ่ากระโจนเข้ามาอย่างเงียบกริบ แต่ไม่ทันที่ฝ่าเท้าจะเหยียบพื้น กระบี่ในมือของไป๋อวิ๋นก็ฟาดออกไปอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ร่างหนึ่งร่วงลงกับพื้นอย่างไร้เสียงร้อง
“พวกมันส่งนักฆ่ามาไม่ใช่เพื่อลอบสังหารท่าน” เสียงของไป๋อวิ๋นแผ่วต่ำแต่หนักแน่น
“แต่เป้าหมายคือเผาทำลายเอกสารในเรือนนี้ และจับตัวท่านไปให้ใครบางคน”
ลี่อินไม่ถามว่าคนผู้นั้นคือใคร เพราะนางรู้ดีว่า คนที่ทำถึงขนาดนี้ได้มีเพียง...
เจินซูเม่ย!
หลังจากที่เจินซูเม่ยและเซียวถิงฮวาถูกนำตัวไปคุมขัง ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ผู้คนต่างพูดถึงด้วยทั้งความสะใจและหวาดกลัว“คนที่เคยเชิดหน้าชูตา วันนี้กลับกลายเป็นนักโทษเสียแล้ว”“สวรรค์มิอาจละเว้นคนชั่วได้จริง ๆ”ท้องพระโรงแม้จะเงียบลงหลังการพิพากษา แต่คลื่นใต้น้ำกลับโหมแรงขึ้นบรรดาขุนนางที่เคยปกป้องสกุลเซียว บัดนี้ต่างเงียบงันแต่ในเงามืด กลับเริ่มมีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ผิดปกติยามค่ำ เซียวลี่อินยืนอยู่บนระเบียงตำหนักอ๋อง สายตาเหม่อมองฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่เสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้น“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”นางหันกลับมา เห็นจิ้งอ๋องยืนอยู่ในชุดคลุมสีเข้ม ดวงตาคมกริบทอดมองนางด้วยความสนใจเซียวลี่อินยกพัดแตะริมฝีปาก แววตาเยือกเย็น“แม้เจินซูเม่ยจะถูกจับ แต่ผู้ที่หนุนหลังนางยังมิได้เผยตัวออกมาทั้งหมดเพคะ เพียงถูกดึงเงาหนึ่งออกมา ย่อมยังเหลืออีกหลายเงาที่แอบซ่อนอยู่”จิ้งอ๋องนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะสืบจนถึงรากเหง้า ไม่ว่าผู้ใดซ่อนที่ตัวอยู่เบื้องหลัง ก็ต้องลากออกมาทั้งหมด!”เพี
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหนาทึบ ราวกับสวรรค์เองก็ยังเฝ้ารอการพิพากษาครั้งใหญ่เสียงกลองพิธีดัง ตึง! ตึง! ตึง! ก้องไปทั่ว ประกาศเรียกเหล่าขุนนางเข้าสู่ท้องพระโรงเจินซูเม่ยถูกองครักษ์คุมตัวเข้ามา นางสวมชุดงดงามแต่เส้นผมกลับยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียว แววตาสั่นไหวเสียงซุบซิบของขุนนางและสตรีฝ่ายในดังระงม“นี่หรือฮูหยินเซียวที่เคยได้ชื่อว่างดงามและเจ้าเล่ห์ที่สุดในเมืองหลวง…”“วันนี้กลับถูกลากมาเป็นจำเลยต่อหน้าฝ่าบาทเสียเอง”“ดูนางตอนนี้สิ ดูสมเพชสิ้นดี ฮึ!”ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์สูง พระเนตรลึกล้ำทอดมองลงมา พระสุรเสียงเย็นเยียบดังขึ้น“เจินซูเม่ย มีผู้กล่าวโทษเจ้าว่าเกี่ยวข้องกับการลอบนำสมุนไพรปนเปื้อนเข้าสู่วังหลวง อีกทั้งยังพยายามทำลายหลักฐาน เจ้าจะว่าอย่างไร”เจินซูเม่ยรีบคุกเข่าลง น้ำตาไหลพราก“ฝ่าบาท! หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ! ทุกสิ่งล้วนเป็นการจัดฉากของพวกที่อิจฉาริษยาหม่อมฉัน!”จิ้งอ๋องก้าวออกมาอย่างสง่างาม ร่างสูงใหญ่เปล่งบารมีจนท้องพระโรงเงียบกริบเขาวางรายงานและหลักฐานลงตรงหน้า เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างชัดถ้อยคำ“หลักฐานทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว คำสารภาพของบ่าว พยานผู้เห็นเหตุกา
รุ่งอรุณปกคลุมเมืองหลวงด้วยหมอกสีขาว แต่ในราชสำนักกลับคลาคล่ำไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียดยิ่งนักข่าวการพยายามทำลายหลักฐานของเจินซูเม่ยแพร่สะพัดไปทั่ว ทั้งในหมู่ขุนนางและเหล่าราษฎร“สกุลเซียวคงไม่รอดแล้ว…”“ครั้งนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็มิอาจเพิกเฉยได้อีก”เสียงซุบซิบในตลาดและตามตรอกซอยกลายเป็นพายุข่าวลือที่โหมกระหน่ำไม่หยุดในท้องพระโรง ขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนฝ่ายหนึ่งเร่งรัดให้ลงโทษสกุลเซียวโดยเร็วอีกฝ่ายหนึ่งกลับยืนหยัดพยายามหาทางประวิงเวลา เสมือนกำลังยื้อชีวิตให้ผู้เกี่ยวข้องฮ่องเต้ประทับนิ่งบนบัลลังก์สูง ดวงพระเนตรลึกล้ำมองลงมา พระสุรเสียงเรียบแต่แฝงไปด้วยความกดดัน“จิ้งเหยียน พรุ่งนี้เจ้าจงนำพยานหลักฐานทั้งหมดมาตรวจสอบต่อหน้าข้า หากพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดจริง ต่อให้เป็นสกุลใหญ่ ข้าก็จะไม่ละเว้น”จิ้งอ๋องค้อมกายรับโองการ ดวงตาคมวาวสะท้อนความมุ่งมั่นเมื่อหันไป เห็นเงาร่างของเซียวลี่อินหลังม่านกั้นสตรี นางยืนนิ่ง ราวกับมั่นคงดุจขุนเขาเพียงสบตาในระยะไกล หัวใจเขากลับสงบลงราวกับได้รับพลังพายุใหญ่กำลังจะโหมกระหน่ำ แต่เราจะฝ่ามันไปด้วยกัน!ภายในเรือนใหญ่ของจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ย
ค่ำคืนคลี่คลุมจวนสกุลเซียว บรรยากาศภายในเรือนใหญ่เต็มไปด้วยความกดดัน เจินซูเม่ยนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องหอม มือกำถ้วยชาแน่นจนสั่น น้ำชาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว นางกัดฟันสะกดความโกรธ“ไม่ได้! ข้าไม่มีวันยอมให้ทุกสิ่งที่ข้าสร้างมาพังลงเพียงเพราะนังเซียวลี่อินแน่!”เซียวถิงฮวานั่งอยู่ด้านข้าง ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวจากเหตุการณ์ในท้องพระโรง“ท่านแม่ เราจะทำเช่นไรต่อดีเจ้าคะ หากถูกสอบสวนต่อไป สกุลเซียวคงถูกลากลงเหวแน่”เจินซูเม่ยหรี่ตาลงอย่างอำมหิต“แม้จะถูกบีบแทบจนมุม แต่ยังมีหนทาง หากหลักฐานที่มันถืออยู่ถูกทำลายเสีย ต่อให้เป็นท่านอ๋องเจ็ดก็ไม่อาจทำอะไรได้!”....ขณะเดียวกัน ภายในตำหนักอ๋อง จิ้งอ๋องนั่งพินิจรายงานที่กองอยู่ตรงหน้า ข้างกายมีเซียวลี่อินนั่งสงบนิ่ง ดวงตาไล่ตามทุกบรรทัดอย่างตั้งใจ เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ“ศัตรูกำลังดิ้นรน พรุ่งนี้อาจมีการเคลื่อนไหว เจ้าต้องอยู่ใกล้ข้าไว้ ห้ามเสี่ยงคนเดียว”เซียวลี่อินแย้มยิ้มบาง พลางตอบเสียงเบา“เพคะท่านอ๋อง แต่บางครั้งหมากตัวสำคัญ ก็ต้องใช้เหยื่อล่อให้อีกฝ่ายเผยพิรุธออกมาเองนะเพคะ”สายตาทั้งคู่สบกัน ความแน่วแน่และความไว้วางใจเริ่
เช้าวันใหม่ท้องพระโรงคลาคล่ำไปด้วยเหล่าขุนนางที่ยืนเรียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงกดดัน ข่าวการจับคนของเจินซูเม่ยเมื่อคืนแพร่ไปทั่วแล้ว ทำให้ราชสำนักปั่นป่วนขันทีขานเสียงกังวาน “ถวายพระบังคมฝ่าบาท ท่านอ๋องเจ็ดได้นำพยานและหลักฐานเข้ามากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังจิ้งอ๋องผู้ก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม เบื้องหลังเขามีองครักษ์นำคนร้ายที่ถูกจับได้คุมตัวเข้ามา พร้อมเอกสารบันทึกคำสารภาพเสียงซุบซิบดังไปทั่วท้องพระโรง“ครั้งนี้จวนสกุลเซียวคงรอดยากแล้ว”“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีขุนนางคอยหนุนหลัง หากพวกนั้นออกหน้า เรื่องอาจไม่ง่ายเช่นกัน”จริงดังว่า เมื่อจิ้งอ๋องยื่นรายงานต่อหน้าฮ่องเต้ทันใดนั้น ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายหนึ่งก็ก้าวออกมาขัดทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ฝ่าบาท! แม้จะมีบ่าวรับใช้สารภาพ แต่ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้ หากทั้งหมดเป็นการจัดฉากเพื่อกำจัดสกุลเซียวเล่าพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!”เสียงถกเถียงเริ่มระอุขึ้นอีกครั้ง คล้ายไฟที่พร้อมลุกโชนกลางท้องพระโรงเซียวลี่อินที่ยืนอยู่ด้านหลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์กำพัดแน่น ดวงตาเย็นยะเยือกพวกขุนนางหนุนหลังพวกนั้น พวกมันคือ
ผลการสอบสวนยังไม่ทันประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวของบ่าวที่เรือนเจินซูเม่ยยอมรับสารภาพต่อหน้าท่านอ๋องเจ็ดก็แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักแล้วราวกับคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดเข้าใส่ จวนสกุลเซียวเริ่มสั่นคลอน ในห้องประชุมขุนนางยามเช้า เสียงถกเถียงดังไม่หยุด ขุนนางฝ่ายหนึ่งลุกขึ้นคารวะ“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวพันต่อความปลอดภัยของราชสำนัก หากไม่ลงโทษผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ย่อมกระทบพระเกียรตินะพ่ะย่ะค่ะ”อีกฝ่ายหนึ่งรีบโต้“แต่ยังไม่มีพระราชโองการตัดสิน ขืนเร่งรีบไป จะไม่กลายเป็นว่าราชสำนักไม่ยุติธรรมหรอกหรือ!”เสียงถกเถียงดังระงมจนท้องพระโรงแทบสั่นสะเทือนฮ่องเต้นั่งนิ่ง ดวงพระเนตรลึกล้ำราวกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียในอีกฟากหนึ่ง เซียวลี่อินยืนอยู่หลังม่านกั้นสำหรับสตรีสูงศักดิ์นางฟังเสียงถกเถียงทั้งหมดด้วยสายตาเยือกเย็น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง ยิ่งคลื่นแรงเพียงใด ย่อมยิ่งกัดเซาะเกียรติของสกุลเซียวให้พังทลายไวขึ้นเท่านั้นขณะเดียวกัน จิ้งอ๋องนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ขุนนาง แม้จะไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด แต่เพียงการมีตัวตนของเขาอยู่ในห้องนี้ ก็ทำให้ผู้คนไม่กล้าเอ่ยวาจาเกินเลยยามบ่ายในจวนสกุลเซียว เจินซูเม่ยสี