ฉันตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ทั้งที่เมื่อคืนหลับไปแทบไม่ถึงสองชั่วโมง ความเครียด ความกังวล และเสียงระบบที่คอยแว่วอยู่ในหัวมันทำให้หลับยากกว่าการสอบไฟนอลสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเสียอีก
ตอนนี้ฉันนั่งจ้องกระจกในห้องน้ำของคอนโดเก่า ๆ ที่เหมือนจะพังได้ทุกเมื่อ พร้อมกับมาสคาร่าแท่งเดียวที่เหลืออยู่กับลิปมันที่หมดไปครึ่งแท่ง
หน้าฉันดูเหมือนซอมบี้ที่เพิ่งคลานออกจากหนังผี แต่ระบบกลับกระซิบเหมือนผู้จัดการส่วนตัวแห่งดาราดัง
[ระบบหญิง] “ทำตัวให้เหมือนจะไปออดิชั่นเป็นนางเอกนะยะ ไม่ใช่ไปสอบแก้ตัว!”
ฉันกรอกตาอย่างเหลืออด “แล้วจะให้แต่งตัวยังไง ฉันไม่มีเสื้อสูท ไม่มีรองเท้าส้นสูง ไม่มีแม้แต่ครีมกันแดด!”
[ระบบชาย] “ระบบสามารถให้บริการ ‘แพ็กเกจเริ่มต้นการทำภารกิจ’ ได้ กรุณายืนยันการหักยอดเงิน 7,500 บาท เพื่อซื้อชุดทำงานพร้อมอุปกรณ์เสริม”
“อะไรนะ!? เจ็ดพันห้า!?” ฉันแทบจะกระโดดกระแทกหัวกับอ่างล้างหน้า
[ระบบหญิง] “นี่ราคาลดแล้วนะ! มีทั้งเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแลค กระเป๋าหนัง รองเท้าเรียบหรู และเมคอัพเบา ๆ แบบ ‘ฉันเกิดมาสวยโดยธรรมชาติ’ ด้วยนะ~”
ฉันกัดฟันแน่นก่อนจะยืนยันยอดด้วยเสียงต่ำ “เอาก็เอาวะ หนี้ก็หนี้! ขึ้นให้ถึงแสนเลยไป๊!”
[ระบบชาย] “ทำรายการสำเร็จ ยอดหนี้ปัจจุบัน 65,730.75 บาท”
ไม่ถึงห้านาที ชุดใหม่ก็ถูกส่งด่วนถึงหน้าห้องพร้อมห่อพลาสติกเรียบร้อย ฉันเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว มองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกแล้วถึงกับต้องเบิกตาเล็กน้อย
“เฮ้ย ก็สวยอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”
ถึงจะมีรอยคล้ำใต้ตานิด ๆ แต่ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว ฉันจัดทรงผมอีกนิดหน่อย หยิบกระเป๋า แล้วออกเดินทางไปที่ ซาเรน่า กรุ๊ป อย่างคนสิ้นไร้หนทาง
เมื่อไปถึง ฉันยืนอยู่หน้าตึกสูงระฟ้าแบบเดิม สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง เหมือนกำลังจะก้าวเข้าสู่สนามรบ
“ไม่เป็นไร ก็แค่ภารกิจแรกเอง เดี๋ยวก็ผ่านไป”
ฉันขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสี่อย่างที่เจ้าหน้าที่บอกเมื่อวาน ประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ และพนักงานหญิงหน้าตาดีในชุดยูนิฟอร์มบริษัทก็เดินมาหาฉัน
“คุณลลินใช่ไหมคะ? เชิญทางนี้ค่ะ ”
ฉันพยักหน้า “ค่ะ”
“วันนี้ทางท่านประธานต้องการสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง เชิญขึ้นไปที่ชั้นบนสุดได้เลยค่ะ”
“ฮะ?” ฉันสะดุ้งทันที “ท่านประธาน?”
[ระบบหญิง] “โอ๊ยตายแล้ว~ เดตแรกกับเจ้าหนี้มาแล้วจ้า~”
[ระบบชาย] “ภารกิจลับพิเศษจะเริ่มขึ้นในอีกไม่เกิน 5 นาที ขอให้คุณตั้งสติให้ดี”
“โอ๊ยยยย จะบ้าตาย!”
ฉันกัดฟันแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ไปด้วยท่าทีอับจนหนทางเหมือนคนกำลังเดินเข้าสู่แดนประหารยังไงยังงั้น
ลิฟต์กระจกใสค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นสู่ชั้นบนสุดของตึก ระหว่างทางฉันได้เห็นวิวเมืองผ่านกระจกใสอย่างงดงามตระการตา แต่ตอนนี้ฉันไม่มีแก่ใจจะชมวิวอะไรทั้งนั้น
หัวใจเต้นถี่จนรู้สึกเหมือนลิฟต์จะสั่นตามจังหวะของมัน มือที่ถือกระเป๋ากำแน่น เหงื่อซึมตามฝ่ามือราวกับฉันกำลังจะไปสารภาพบาปกับยมบาล
“อย่าบอกนะ ว่าเขาจะจำฉันได้...”
[ระบบหญิง] “แน่นอนสิยะ ก็เธอเล่นกระโดดใส่เขาก่อนอย่างจงใจขนาดนั้น”
“หยุดพูด!”
[ระบบชาย] “ขอให้คุณมีสติ คำพูดของคุณในการสัมภาษณ์ จะส่งผลต่อภารกิจต่อไป”
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์เตือนเมื่อถึงชั้นบนสุด ฉันสะดุ้งจนเกือบทำกระเป๋าหล่น รีบยืนหลังตรง พยายามกลั้นลมหายใจให้ดูสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ประตูลิฟต์เปิดออก...
เบื้องหน้าคือพื้นที่ออฟฟิศที่เงียบสงบและหรูหราจนแทบกลั้นเสียงว้าวเอาไว้ไม่อยู่ พื้นไม้สีน้ำตาลอ่อนสะท้อนเงา โต๊ะกระจกเรียบหรูตั้งเรียงราย พนักงานหญิงชายในชุดสูทดูมืออาชีพกวาดตามองฉันแบบผ่าน ๆ แล้วก็หันกลับไปทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทางนี้ค่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับหญิงสาวท่าทางเฉียบขาดในชุดสีเทาเข้มเดินนำฉันไปยังห้องกระจกใหญ่ที่มีประตูปิดสนิท
“ท่านประธานรอคุณอยู่ข้างใน เชิญค่ะ”
ฉันพยักหน้า ชีพจรเต้นแรงราวกับจะทะลุออกจากอก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั้นด้วยฝีเท้าที่เบาแต่สั่นคลอน
ภายในห้องเงียบกริบ มีเพียงโต๊ะไม้โอ๊คขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่มองเห็นเมืองเบื้องล่าง และที่นั่งอยู่หลังโต๊ะนั้น...
คนคนนั้นก็คือ เขา คิริน อคินธรักษ์
ชายหนุ่มในสูทสีดำสนิท เงยหน้าขึ้นจากเอกสารอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมกริบสบตากับฉันทันที ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยราวกับแปลกใจ ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของเขาในวินาทีนั้น แต่สายตานั่นกลับชัดเจน!
“จำฉันได้แน่ ๆ ใช่เปล่าวะ” ฉันคิดในใจ
“เชิญนั่ง” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างเรียบเฉยแต่ทรงพลัง
ฉันพยายามยิ้มบาง ๆ และนั่งลงตรงข้ามเขาอย่างเรียบร้อยที่สุด แม้ว่าขาแทบจะกระตุกไม่หยุดก็ตาม
คิรินไม่พูดอะไรต่อ เขาเพียงพลิกดูเอกสารใบสมัครงานของฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย จนกระทั่งสายตาเขาไล่มาถึงชื่อเต็มของฉัน
“ลลิน พิชญธิดา...”
เขาทวนช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมปรายตามองฉันเหมือนกำลังวิเคราะห์บางอย่างในใจ
“ค่ะ…” ฉันตอบเบา ๆ รู้สึกได้ว่าลำคอแห้งผากขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
[ระบบหญิง] “กรี๊ดดด! ตื่นเต้นแทนเลย! เขาจำเธอได้แน่ ๆ!”
[ระบบชาย] “ภารกิจเสริม ใช้สายตาหวานเยิ้มใส่เป้าหมายหลัก 10 วินาที จะได้เงิน 3,000 บาท”
ฉันแทบอยากหันไปสบถใส่ระบบ แต่ก็ยังไม่กล้าทำอะไรโง่ ๆ ในตอนนี้
“เอาวะ ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่หว่า”
ฉันจึงมองเขาด้วยแววตานิ่งนาน กะจะทำสายตาหวานเยิ้มแบบนางเอกในซีรีส์ให้ครบสิบวินาที แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...
คิรินยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้และถามเสียงเรียบ
“เธอจะทำอะไรกันแน่?”
หัวใจฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มในเสี้ยววินาที
“ระบบหญิง ทำไมอยู่ ๆ ถึงเตือนฉันว่าอันตรายกำลังจะมาถึงล่ะ มีอะไรรึเปล่า?”ฉันเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโน้ตบุ๊กที่กำลังกรอกข้อมูลประชุมอย่างขะมักเขม้น สายตาเบลอเล็กน้อยเพราะนั่งนานเกินไป แต่เสียงแจ้งเตือนของระบบทำให้ฉันตื่นเต็มตาในทันที....[ระบบหญิง] “ภัยอันตรายระดับ 4 กำลังเข้าใกล้บุคคลเป้าหมาย โปรดระวังและหาทางเตือนเขาโดยเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้เขาใช้รถคันประจำ”....“หา!? อันตรายอะไรอีก” ฉันแทบจะกระโดดลุกขึ้นยืนทั้งที่เพื่อนร่วมงานยังเต็มห้องฉันคว้าสมาร์ตโฟนแทบจะในทันที มือไม้สั่นไปหมด โทรศัพท์ถูกกดไปยังเบอร์ที่ตอนนี้ฉันจำได้ขึ้นใจเสียงรอสายดังอยู่สองครั้งก่อนจะมีเสียงเรียบนิ่งรับสาย“ว่าไง” น้ำเสียงของเขายังนิ่งเฉยเหมือนเดิม ไม่มีวี่แววว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายเลยแม้แต่น้อย“บอสกำลังจะไปที่พบพันธมิตรใช่ไหมคะ? ที่ไหนคะ”“ใช่ มีอะไรเหรอ”“เอ่อ...บอสเอารถคันไหนไปคะ”“ก็คันที่เคยใช้ประจำ”“บอสเปลี่ยนรถคันใหม่ได้ไหมคะ”“ทำไม” เขาถามกลับมาด้วยน้ำเสียงสงสัยเต็มประดา“เอาเถอะค่ะ นะคะฉันขอร้องล่ะ” ฉันพูดอย่างรวดเร็ว ใจเต้นตุบตับเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่าบอกนะว่าเธอไปฟังมา
ในตอนนั้นเอง แผนการในหัวของฉันก็ผุดขึ้นทีละขั้น...หนึ่ง ฉันต้องยืนยันว่า Sable Lines มีเงาดำอยู่เบื้องหลังสอง ดูว่าใครเอาคำนี้เข้ามาใกล้ที่สุดสาม จัดฉากให้ความจริงเดินเข้ามาหาเขาเอง....เช้าวันต่อมา ภาคินกลับมาอีกครั้ง เขาวางแฟ้มเวอร์ชันแก้ไขข้อเสนอลงบนโต๊ะ คุณพรรณราย ผู้จัดการฝ่ายบริหารแวะมาเซ็นผ่านเอกสารบางอย่าง ฉันสังเกตเห็นมือภาคินที่จับโทรศัพท์ นิ้วโป้งเลื่อนไวผิดปกติ ล็อกหน้าจอแทบจะทันทีที่เราเหลือบมองระหว่างพักเบรก ฉันตั้งใจแกล้งทำแฟ้มหล่นหน้าลิฟต์“อุ๊ย!” กระดาษกระจัดกระจาย ภาคินก้มลงช่วยเก็บ“เดี๋ยวผมช่วย”“ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้ม เก็บกระดาษไปพลางดูรองเท้าหนังเขาไปพลาง ส้นรองเท้ามีรอยยางคล้ำนิดนึง คล้ายกับคราบที่พื้นลานท่าเรือ ไม่ใช่คราบทั่ว ๆ ไปที่จะเปื้อนรองเท้าตามปกติ ฉันเก็บก้อนข้อมูลเล็ก ๆ นี้ไว้ในหัวบ่ายนั้น ฉันขออนุญาตคิรินลงไปคลังเอกสารเพื่อไปเอาแฟ้มสัญญาโลจิสติกส์ปีก่อน แต่จริง ๆ แล้วฉันไปหา ฉากที่ต้องการโดยอ้างเรื่องเอกสารบังหน้า ฉันขอให้ฝ่ายไอทีช่วยดึงล็อกการเชื่อมต่อไวไฟสำหรับแขก ซึ่งโชว์ อุปกรณ์ไม่รู้จัก เชื่อมผ่านพร็อกซีชื่อ Sable-r เมื่อวานช่วงกลางดึก อุปกรณ์
[ลิลิน]บ่ายวันศุกร์ เมฆทึบเคลื่อนต่ำกว่าปกติ เงาของมันทอดยาวบนพื้นหินอ่อนหน้าห้องทำงานท่านประธาน ฉันวางแฟ้มที่จัดเรียงด้วยมือสั่นน้อย ๆ เพราะเมื่อคืนยังนอนไม่เต็มอิ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่ฟิลิปโดนทำร้าย ฉันจิบกาแฟดำแก้วที่สอง ขมจนคิ้วขมวด ก่อนเสียงสแกนเนอร์หน้าประตูจะดังติ๊ด พร้อมประตูผลักเข้าเบา ๆ“ไม่ได้เจอกันนานคุณลิลิน”ผู้ชายร่างสูงโปร่งในสูทเทาเข้มก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเนี้ยบ เขาชื่อ “ภาคิน” เพื่อนสนิทของคิริน คนที่ฉันเห็นบ่อยครั้งเวลาเรื่องสำคัญมาก ๆ เท่านั้น“สวัสดีค่ะ คุณภาคิน” ฉันยิ้มตามมารยาท “นัดบอสไว้เหรอคะ”“ระดับผมไม่ต้องนัดก็ได้ บอสคุณอนุญาตอยู่แล้ว”เขาหัวเราะเบา ๆ แบบคนกันเอง แต่แววตาลึก ๆ มีบางอย่างวูบผ่านเร็วมาก ฉันแยกไม่ออกว่าเป็นความกังวลหรือความตื่นเต้นไม่นาน คิรินออกมาจากห้องด้านใน เขาสวมเสื้อเชิ้ตขาวพับแขน ท่าทางเหมือนคนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง “สายไปห้านาที”“รถติด” ภาคินยักไหล่ “แต่ฉันเอาของดีมาด้วย”เขาวางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะกาแฟ ฉันขยับถาดเครื่องดื่มให้อัตโนมัติแล้วถอยไปครึ่งก้าว เพื่อเปิดทางให้พวกเขานั่งตรงกัน ชั่วครู่ห้องก็มีเพียงเสียงกระดาษพลิกกับเสียงนาฬิกา
[ลิลิน]ฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตู แทบไม่กล้ามองเขาตรง ๆ แต่ก็ต้องเงยหน้าในที่สุด สบเข้ากับดวงตาคมที่ฉันรู้จักดี วันนี้มันไม่ได้เย็นชาเหมือนทุกที แต่กลับเหมือนกำลังกังวล“เธอเงียบทั้งวัน ไม่ออกมากินอะไรเลย เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น นิ่งแต่เต็มไปด้วยน้ำหนักฉันเม้มปากแน่น ไม่อยากบอกว่าฉันเอาแต่คิดถึงเขาจนหัวแทบระเบิด จะบอกยังไงดีล่ะว่า ฉันกำลังตกหลุมรักเขาจริง ๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ควร?“ก็แค่...เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ” ฉันโกหกออกไป....[ระบบชาย] “คำโกหกถูกตรวจจับ แต่เพื่อเลี่ยงการขัดแย้ง ขอปล่อยผ่านหนึ่งครั้ง”[ระบบหญิง] “ลูกสาว~ เขามองด้วยสายตาห่วงใยแบบนี้แล้ว บอกตรง ๆ ไปเลยสิ !”....ฉันทำเป็นไม่สนใจระบบ หันไปมองด้านข้างแทนเพื่อหลบสายตาคมคู่นั้น แต่เขากลับก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว....[คิริน]ผมยืนมองคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า วันนี้ไม่เหมือนทุกที เธอเงียบเกินไปจนผิดปกติ ไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม มันผิดปกติจนผมอดไม่ได้ที่จะกังวล ทั้งวันเธอเอาแต่อยู่ในห้อง ไม่ออกมากินข้าวกินปลา ไม่แม้แต่จะออกมาคุยเล่นกับพวกแม่ป้าเหมือนทุกครั้ง“เหนื่อย? แค่เหนื่อยเนี่ยนะ ถึงกับต้อง
วันหยุดที่ไม่ได้หยุดทั้งหัวใจและสมองเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านฉันปิดม่านทึบจนแสงเช้าหลุดเข้ามาได้แค่ริ้วเล็ก ๆ ห้องทั้งห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงนาฬิกาเดินเป็นจังหวะ ตึก…ตัก…ตึก…ตัก จังหวะซ้ำ ๆ ตอกย้ำจังหวะหัวใจของฉันเองที่ดันวิ่งแข่งไม่รู้จักเหนื่อยตั้งแต่เมื่อคืนก่อนหน้าฉันนั่งกอดเข่าอยู่ปลายเตียง ผ้าห่มกอง ๆ เหมือนภูเขาเล็ก ๆ ข้างตัว มืออีกข้างค้างอยู่บนหน้าอกตรงตำแหน่งที่มันกำลังเต้นแรงที่สุด พยายามกดเบา ๆ ราวกับจะสั่งให้มันเงียบเดี๋ยวนี้ แต่หัวใจกลับดื้อ ไม่ยอมฟังภาพซ้อนทับวนกลับมาไม่ยอมจบ สายตาคมที่สั่นน้อย ๆ ตอนเขายอมเชื่อคำพูดฉันหลังฟิลิปถูกทำร้าย หลังข้อความขู่ หลังคำสั่งเลื่อนแผนการตอบโต้หลุดจากปากเขา เพราะฉันไปขอด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดในชีวิตและอีกภาพที่ยิ่งไล่ไม่พ้นคือริมฝีปากนั้นจูบฉันอย่างยาวนานในคืนก่อนหน้า แขนแข็งแรงรั้งฉันไว้แนบอก ลมหายใจเราเกยกันจนฉันจำไม่ได้ว่าของใครเป็นของใครตอนนี้ระหว่างฉันกับเขามันไม่ใช่วันไนท์สแตนด์เหมือนครั้งแรกที่บ้าบอและสับสนอย่างตอนนั้นครั้งนี้มันต่างออกไป“บ้าเอ๊ย! ลิลิน”ฉันพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบไม่ใช่เสียง “บอกตัวเองมาตล
ฉันนั่งเงียบอยู่ในห้องรับรองของศูนย์แพทย์ ใบหน้าสะท้อนแสงไฟสีขาวหม่นจากเพดาน ความเหนื่อยล้ากับความกลัวตีกันอยู่ในอก ขณะเดียวกันมือถือในกระเป๋าก็สั่นเบา ๆครืด...ฉันหยิบออกมาอย่างงง ๆ จนหน้าจอสว่างขึ้น เป็นข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก“หยุดโครงการใหม่ของอคินธรักษ์ มิฉะนั้น คนของคุณจะไม่มีวันได้กลับบ้านอีก”หัวใจฉันหยุดเต้นไปวูบเดียว ก่อนจะเร่งรัวไม่เป็นจังหวะ มือเย็นเฉียบจนแทบทำโทรศัพท์หล่น....[ระบบชาย] “แจ้งเตือนภัย ข้อความนี้มีรหัสไอพีเปลี่ยนตำแหน่งทุกวินาที ต้นทางไม่สามารถตามได้ โปรดระวัง”....ฉันกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนรีบลุกไปหาคิริน เขายืนคุยกับธีร์อยู่ตรงมุมทางเดิน ดวงตาคมเข้มยังคงนิ่งแต่บรรยากาศรอบตัวคือแรงกดดันที่แทบทำให้คนยืนใกล้หายใจไม่ออก“บอสคะ...” ฉันเรียกเสียงสั่น ยื่นโทรศัพท์ให้ “มีข้อความส่งมาที่มือถือฉัน”เขาหันมามอง ฉันเห็นประกายบางอย่างในดวงตาเขามันมีทั้งความโกรธและเดือดดาลอยู่ในแววตานั้นเขาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือฉัน อ่านเพียงแวบเดียวก่อนส่งต่อให้ธีร์“ไปตามหาต้นทางเดี๋ยวนี้”“ครับบอส” ธีร์รับไปทันทีฉันเผลอเอามือจับแขนเสื้อเขา“นี่หมายความว่า พวกนั