หลี่หยางมองไปรอบ ๆ ห้อง พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย ทั้งผ้าที่เขาห่มที่ดูเป็นของใหม่ ถ้วยชาที่ถูกเปลี่ยนไม่ใช่ถ้วยชาที่แตกบิ่นเหมือนที่เขาเคยใช้ ตะเกียงที่มีน้ำมันเติมไว้จนเต็มจำนวนหลายอัน ห้องที่ถูกเช็ดถูจนสะอาด หรือแม้แต่ประตูเรือนที่พังจนไม่สามารถปิดได้ ตอนนี้กลับมีสภาพเรียบร้อย ถ้าเทียบกับเงินสองตำลึงที่เสียไปถือว่าเขาไม่ขาดทุนแล้ว
เมื่อหลี่หยางลงจากเตียง เดินไปที่โถงเรือนก็พบโต๊ะตัวใหม่ แลเก้าอี้อีกหลายตัวเรียงไว้เป็นวงกลมอย่างเรียบร้อย บนโต๊ะยังมีอาหารหลายอย่าง ทั้งเป็ดย่าง หมูตุ๋น ผัดผัก แลยาต้มอยู่ด้วย
“คุณหนูเว่ยใจดีไม่ใช่น้อยเลยนี่”
หลี่หยางพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะนั่งลงคีบอาหารเข้าปากไม่หยุด ด้วยเขาเองไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืน ร่างกายก็หิวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
หนิงอวี่เองตอนนี้ก็หิวไม่น้อย พอกลับถึงเรือนนางก็สั่งให้พ่อครัวทำอาหารมาเต็มโต๊ะอย่างกับจะกินกันทั้งหมู่บ้าน
“เจ้านั่ง” หนิงอวี่ชี้ไปทางเจียลี่ที่ยืนอยู่
เจียลี่ได้แต่งุนงง คุณหนูจะให้นางร่วมโต๊ะด้วยเช่นนั้นหรือ
เมื่อเห็นสีหน้างงงวยของเจียลี่ นางก็กล่าวเสริมในทันที
“ข้ากินคนเดียวไม่อร่อย เจ้ากินเป็นเพื่อนข้า เจ้าก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งคืนเช่นกันนี่”
“บ่าวไม่หิวเจ้าค่ะ” เจียลี่รีบปฏิเสธในทันที
“หากเจ้าไม่กิน ข้าจะหักเงินเจ้าแบบนี้ดีหรือไม่”
หนิงอวี่แสร้งข่มขู่ให้สาวใช้กลัว
“บ่าวนั่งแล้วเจ้าค่ะ” เจียลี่รีบนั่งลงร่วมโต๊ะกับนางเร็วเสียยิ่งกว่าฟ้าผ่า
หนิงอวี่ได้แต่ขำกับท่าทางขี้กลัวของสาวใช้ตน
“กินสิ”
ไม่ต้องรอให้หนิงอวี่พูดซ้ำ เจียลี่ก็รีบคีบเป็ดตุ๋นเข้าปากตัวเองทันที ตอนนี้กลายเป็นว่าหนิงอวี่เป็นคนเฝ้ามองเจียลี่ที่กินอย่างเอร็ดอร่อยแทน
“คุณหนู หอบุปผามีเรื่องเกิดขึ้นแล้วขอรับ”
พ่อบ้านเจียงวิ่งหน้าตั้งรีบมาแจ้งให้ผู้เป็นนายทราบทันที
“มีเรื่องอะไร” หนิงอวี่ยังคงนั่งกินข้าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“แม่ทัพซุยอู่เหริน พารองแม่ทัพและเหล่าทหารคนสนิท มากินดื่มที่หอขอรับ”
“นั่นก็ดีสิ ร้านจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น” นางไม่เห็นสิ่งใดต้องตกใจ
“แต่พวกเขากำลังทำผิดกฎ พวกเขาพยายามใช้กำลังจขืนใจเหล่าหญิงคณิกา รวมถึงแม่นางป้ายด้วยขอรับ”
สิ้นคำพ่อบ้านเจียง ตะเกียบที่หนิงอวี่ถืออยู่ก็หล่นลงกระทบชามข้าวในทันที
‘เหตุการณ์ที่ลู่เสียนจะถูกขืนใจนั้น ต้องเป็นนางที่เขียนจดหมายเชิญแม่ทัพคนนี้มานี่ แต่นี่นางไม่ได้เชิญแล้วจะเกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร’
หนิงอวี่ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ต่อ นางรีบมุ่งไปที่หอบุปผาอย่างตื่นตระหนก หากเรื่องนี้รู้ถึงหูหลี่หยาง หรือ มู่เฉิน นางได้ตายโดยไม่ได้สั่งเสียแน่
เมื่อถึงหอบุปผา ก็มีเสียงร้องไห้ของเหล่าหญิงคณิกาดังลงมาจากชั้นสอง ผู้คนในหอบุปผาต่างมองดูแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย หัวใจของ
หนิงอวี่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ นางทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้น
หนิงอวี่ให้คนรับใช้พังประตูเข้าไปในทันที ภาพที่นางเห็นคือเหล่าทหารหลายคน กำลังฉีกกระชากเสื้อผ้าของเหล่านางโลมจนแทบไม่มีสิ่งใดปกปิดร่างกายของพวกนางแล้ว เสียงร้องไห้อ้อนวอนขอความเมตตาดังขึ้นเป็นระยะ
“หยุดเดียวนี้! หากพวกเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะเรียกทางการมาจัดการเดี๋ยวนี้” หนิงอวี่ตะโกนจนสุดเสียง
เสียงนั่นเรียกความสนใจของบุรุษเหล่านั้นได้ แต่ไม่เพียงพอให้พวกมันยำเกรง ยังคงใช้มือหยาบนั่นลูบไล้ทั่วตัวของสตรี
“หากมันผู้ใดไม่หยุดแค่เพียงนี้ อย่าหาว่าข้าเว่ยหนิงอวี่เป็นคนบ้าเลือด เสียสติ ทำสิ่งใดไม่ยั้งคิดแล้วกัน”
หนิงอวี่พูดพลางใช้กระบี่ของพวกมันเองชี้ไปที่คอของคนที่นางคาดว่าจะเป็นหัวหน้า
กระบี่ที่เย็นเฉียบบนคอทำให้ทหารพวกนั้นได้สติทันที บัดนี้เหล่าคนรับใช้ได้เจียลี่พาขึ้นมามัดตัวของทหารพวกนั้นไว้
“ป้ายลู่เสียนเล่า?” หนิงอวี่มองหาลู่เสียน แต่กลับไม่พบนางจึงถามด้วยความร้อนใจ
หญิงคณิกานางหนึ่งชี้ไปยังห้องด้านข้าง พลางร้องไห้ควานหาเศษผ้ามาคลุมกาย
หนิงอวี่ไม่รอช้า นางให้คนพังประตูอีกห้องทันทีตอนนี้ลู่เสียนโดนซุยอู่เหริน รวบมือทั้งสองของนางด้วยมือเดียว อีกมือปิดปากนางไม่ให้ส่งเสียง พลางใช้กำลังกดทับลู่เสียนอยู่บนเตียง
เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของหลี่หยาง และ มู่เฉิน ที่รู้ข่าวจึงรีบมาที่หอบุปผาในทันที
หนิงอวี่ที่ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า นางไม่สนใจอันตรายใด ๆ รีบตรงเข้าไปหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะ ฟาดลงบนหัวของซุยอู่เหรินจนสุดแรง
ของเหลวสีแดงไหลออกมาจากหัวพร้อมเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของแม่ทัพบ้าเลือดคนนั้น
ยังไม่ทันที่หนิงอวี่จะป้องกันตัว มือหนาก็ตบมาที่หน้าของนางฉาดหนึ่ง ทำให้ใบหน้าของหนิงอวี่แดงเป็นรอยฝ่ามือในทันที
หลี่หยางและมู่เฉินต่างตกใจกับการกระทำของซุยอู่เหริน ที่เป็นถึงแม่ทัพกลับกล้าทำร้ายสตรีกลางหอนางโลมเช่นนี้
“หยุดเดียวนี้!”
เป็นมู่เฉินที่ได้สติก่อน เสียงของเขาหยุดฝ่ามือที่จะตบลงบนใบหน้าของหนิงอวี่อีกครั้งได้พอดี
“ซุยอู่เหรินเจ้าเป็นถึงแม่ทัพ กล้าดีอย่างไรถึงกล้าก่อความวุ่นวายให้ชาวบ้านกลางเมืองหลวงเช่นนี้”
เสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน พร้อมกระบี่ที่จ่ออยู่บนคอของเขาทำให้ซุยอู่เหรินได้สติในทันที
“ขออภัยคุณชายไป๋ ข้าเมาไม่น้อยเลยขาดสติ ไม่รู้ว่าที่นี่มีคุณชายดูแลอยู่จึงเสียมารยาทไป”
ซุยอู่เหรินแก้ตัวหน้าด้าน ๆ แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ก็ยังทำอะไรแม่ทัพชั่วผู้นี้ไม่ได้ ด้วยเขาพึ่งนำทัพกลับมาจากการชนะสงคราม ความดีความชอบนี้ย่อมช่วยให้เขาพ้นโทษได้แน่
มู่เฉินยอมลดกระบี่ลง เช่นเดียวกับซุยอู่เหรินที่ไม่ตอแยอีก เพียงแค่เหลือบมองหนิงอวี่แล้วจากไป โดยมีสายตาอาฆาตของหลี่หยางมองตามหลังเขาไป
มู่เฉินทำเพียงจ้องมองที่ใบหน้าบวมแดงของหนิงอวี่ที่มีน้ำตาคลอทั้งสองข้าง แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“คุณชายไป๋”
เสียงอ่อนแรงของลู่เสียนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ลู่เสียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
มู่เฉิน ละสายตาจากหนิงอวี่ แล้วรีบถอดเสื้อคลุมร่างของลู่เสียนที่บัดนี้เสื้อผ้าถูกฉีกขาดไปบางส่วน นางร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยมี
หลี่หยางที่ส่งสายตาเป็นห่วงไปให้
ลู่เสียนมองเห็นสายตาที่เป็นห่วงนั้นของเขา นางทำได้เพียงส่ายหน้าเพื่อบอกเขาว่านางไม่เป็นอะไร ด้วยน้ำตาที่นองหน้านั่นทำให้หลี่หยางยิ่งรู้สึกเจ็บแค้นมากขึ้น
หลี่หยางกลับตำหนักเผิงซีด้วยความขุ่นเคือง แม้หนิงอวี่บอกว่านางต้องการอยู่ที่หออาลักษณ์เพื่อใช้ความสามารถของตน แต่เขามักรู้สึกว่านางจงใจหลบเลี่ยงเขาอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาไม่พอใจ “ยินดีกับองค์รัชทายาทเพคะ” ลู่เสียนกล่าวยินดีกับเขาทันที เมื่อเห็นหลี่หยางก้าวเข้ามาในห้องทรงอักษร “เจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไร” หลี่หยางขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจ ลู่เสียนในใจเขานับวันยิ่งแตกต่างจากสตรีที่เขาคอยปกป้องเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอบุปผา “หม่อมฉันเห็นว่าห้องนี้ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด จึงเข้ามาเช็ดถูให้เพคะ” รอยยิ้มบนใบหน้านางจางหายในทันที เมื่อสิ่งที่หลี่หยางตอบกลับมาไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่นางคิด “ช่างเถิด เจ้าไปเก็บของเถอะ รุ่งเช้า มามา จะพาเจ้าไปตำหนักของตัวเอง เจ้าจะได้มีอิสระในการทำสิ่งใดไม่ต้องคอยเกรงใจข้าอีก”ลู่เสียนหน้าชาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ถึงแม้คำพูดของหลี่หยางจะดูเป็นห่วงนาง แต่แท้จริงแล้วกลับต้องการไล่ให้นางออกไปเสียมากกว่า “หม่อมฉันรับบัญชาเพคะ” ลู่เสียนเดินออกจากห้องไป นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข
หนิงอวี่ยกหนังสือที่อยู่ในมือขวางการจ้องมองของหลี่หยาง นางมิอาจจะทนต่อการจ้องมองอย่างลึกซึ้งนั้นของเขาได้ “องค์ชาย นี่หออาลักษณ์โปรดสำรวมด้วย” หนิงอวี่ตำหนิหลี่หยางกลาย ๆ “เช่นนั้นกลับตำหนักเผิงซีเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องสำรวม”หลี่หยางกล่าวพลางดึงหนังสือให้มือของนางออก หนิงอวี่จ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้หลี่หยางยอมปล่อยนางอย่างว่าง่าย เกรงว่านางจะเคืองจนไม่กลับไปตำหนักกับเขาแต่โดยง่าย “องค์ชายโปรดอภัย หม่อมฉันไม่คิดจะกลับไปตำหนักเผิงซี” หนิงอวี่กล่าวในสิ่งที่เขาไม่อยากจะฟัง “เหตุใดไม่กลับไป? ตอนนี้ข้าก็สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีก” แววตาของหลี่หยางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “เหตุใดองค์ชายต้องปกป้องหม่อมฉันด้วย?” นางอยากรู้ว่าตนเองเป็นสิ่งใดในใจเขากัน “ข้า............” หลี่หยางนิ่งไปชั่วครู่ เขาไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรกับนางดี นางสำคัญอย่างไรในใจเขากันแน่ “ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายของข้า” คำตอบของหลี่
หลี่หยางรู้สึกตัวขึ้นในยามเหม่า หนิงอวี่ยังคงหลับอยู่นางนั่งพิงอยู่กับเสาแท่นบรรทม โดยมีเขาหนุนตักของนางอยู่อย่างนั้น หลี่หยางจ้องมองใบหน้าขาวนวลนั้นอยู่นาน เขาอยากให้นางอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นนี้ในทุกวันหลี่หยางช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะวางให้นางนอนบนแท่นบรรทมอย่างสบายตัว มือของเขาลูบไล้ใบหน้านางอยู่นาน สายตาที่จดจ่ออยู่กับริมฝีปากอิ่มสีทับทิมสุกนั้น ทำให้ความกระหายในกายของเขาเริ่มพลุ่งพล่าน จนหลี่หยางต้องรีบลุกออกจากเตียงในทันที “ถงอู่ให้องครักษ์เฝ้าห้องบรรทมไว้ ห้ามผู้ใดเข้าไปหากนางตื่นแล้ว ค่อยส่งนางกลับหออาลักษณ์” หลี่หยางไม่ต้องการให้ใครรบกวนการนอนของนาง หากเพียงผ่านวันนี้ไป หากเขาไม่สามารถรับกระบี่เทพได้ ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงเป็นของเจี้ยนหยาง นั่นทำให้เขาไม่ใช่คู่แข่งอีกต่อไป หนิงอวี่ก็สามารถกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้ หรือหากวันนี้เขารับกระบี่เทพได้ ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าทำร้ายเขาอีก นั่นก็ทำให้นางอยู่ข้างกายเขาได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วขอเพียงผ่านวันนี้ไป เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางอีก................................พิธีบูชากระบี่เทพ เริ่มขึ้นตั้งแต่ยามเหม่าเหล่าขุนนาง
หนิงอวี่ยังคงทำหน้าที่เน่ยเหรินผู้ต่ำต้อยได้ดีเช่นทุกวัน พอนานวันเข้านางกำนัลคนอื่น ๆ ต่างเบื่อหน่ายที่จะกลั่นแกล้งนาง ด้วยนางไม่คิดตอบโต้ เป็นเหมือนแม่น้ำที่โยนสิ่งใดลงไปก็ได้แต่จมหาย การใช้ชีวิตในหอซักของหนิงอวี่จึงง่ายขึ้น “เน่ยเหรินหนิงอวี่ ฝ่าบาทเรียกพบที่ห้องทรงอักษร”ฝางกงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ตามหานางด้วยท่าทีรีบร้อน หนิงอวี่ที่กำลังง่วนอยู่กับการซักอาภรณ์ของเหล่าราชวงศ์ เริ่มมีสีหน้ากังวล ‘เหตุใดจู่ ๆ ฮ่องเต้ถึงเรียกพบนางได้’ ถึงจะหวาดกลัว แต่หนิงอวี่ก็ยอมเดินตามฝางกงกงอย่างว่าง่าย “หม่อมฉันเว่ยหนิงอวี่ถวายพระพรฝ่าบาท” หนิงอวี่ ยอบกายถวายพระพรตามธรรมเนียม พลางสายตานางกลับมองเห็นองค์ชายเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอักษร นางรู้ได้ทันทีว่าต้องเกี่ยวข้องกับบทความที่นางเขียนแน่ “เจ้าเป็นคนเขียนบทพรรณนาความงามให้องค์ชายเฟยหยางใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสถามโดยไม่แสดงอาการใด ๆ “เพคะ” หนิงอวี่ไม่คิดปิดบัง ด้วยฮ่องเต้ต้องซักถามองค์ชายเฟยหยางอย่างแน่ชัดแล้ว “เจ้าไปเรียนรู้การกล่าวพรรณนาเ
ถงอู่ที่มองเห็นแววตาเจ็บปวดของหลี่หยาง เขาเองไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นนาย “องค์ชายจะไม่บอกความจริงกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” “นางอยู่ห่างจากข้า จึงจะปลอดภัย” หลี่หยางยังคงมองไปยังจุดที่นางจากไป แม้บัดนี้จะมองไม่เห็นนางแล้วก็ตาม “เหตุใดองค์ชายถึงทำเช่นนั้น” ถงอู่ยังคงไม่เข้าใจหากห่วงใยทำไมไม่เก็บไว้ข้างกาย “การชิงตำแหน่งรัชทายาท ต้องมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายแน่ หากนางยังอยู่ข้างข้าคนเหล่านั้นต้องใช้นางเป็นเครื่องต่อรอง เช่นนั้นนางจะตกอยู่ในอันตราย โดยข้าเองไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากเพียงใดจึงไม่กล้าดึงนางเข้ามาเสี่ยง” หลี่หยางที่แม้ไม่พอใจที่นางอยู่ใกล้ชิดกับไป๋มู่เฉิน แต่นั่นก็ใช่ว่าเขาจะโกรธจนขาดสติไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ “เจ้าไปสืบมา เหตุการณ์ที่อุทยานเป็นฝีมือใคร” หลี่หยางเชื่อคำพูดของหนิงอวี่ตั้งแต่แรก หากแต่นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ผู้คนคิดว่าเขาทอดทิ้งนางแล้วจริง ๆ………………….หนิงอวี่กลับมายังหอซัก ภายใต้ความประหลาดใจของเน่ยเหรินที่อยู่ตรงนั้น หากแต่นางไม่สนสายตาของผู้ใด
ราชสำนักซู่หนานบัดนี้เกิดความโกลาหลไม่น้อย ด้วยเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในวันที่องค์ชายหลี่หยางดื่มยาถอนพิษหนิงเซี่ย ทำให้ฝนที่ไม่เคยตกลงผืนแผ่นดินแคว้นซู่หนานมานานถึงห้าปี กลับมาตกหนักอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน ขุนนางจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายองค์รัชทายาท และฝ่ายที่ต้องการให้แต่งตั้งองค์ชายหลี่หยางขึ้นเป็นรัชทายาทแทน ด้วยเป็นองค์ชายองค์โตและเป็นผู้นำสายฝนคืนสู่แคว้นอีกครั้ง “เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พิธีบูชากระบี่เทพหากองค์ชายหลี่หยางสามารถครองกระบี่เทพได้ ข้าจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้กับเขา” ฮ่องเต้ฉินหนานประกาศกลางท้องพระโรง ทำให้เหล่าขุนนางหยุดโต้แย้งกันลงได้..........................ข่าวแต่งตั้งรัชทายาทใหม่แพร่ไปยังหมู่นางกำนัลอย่างรวดเร็ว หลายคนต่างคาดหวังว่าหลี่หยางจะสามารถครองกระบี่เทพได้ ราษฎรจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยบัดนี้แคว้นซู่หนานแห้งแล้ง ราษฎรอดอยาก หากไม่มีกระบี่เทพคอยปกป้องเกรงว่าแคว้นซู่หนานจะล่มสลายไปนานแล้ว ความกดดันนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลี่หยางไม่น้อย ด้วยเขาเองไม่ได้คิดอยากจะเป็นรัชทายาท ไม่ได้อยากครองกระบี่เทพเขาเพียงอ