เข้าสู่ระบบฟางหลินเฉินรู้ตัวอีกที เขาก็พบว่าตัวเขาถูกผูกมัดไว้กับบางสิ่งที่ทั้งเย็นและนุ่มมาก แต่เขาไม่เห็นสิ่งใดมัดเขาทั้งสิ้น และไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกไปได้
เขามองไปรอบๆ และพบกับบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นคล้ายอายุมากแล้ว แต่กลับยังคงงดงามยิ่งกว่าสตรี ใส่ชุดโบราณรุ่ยร่ายสีดำมืดมิด ในมือถือพู่กันสีทองกำลังนั่งขีดเขียนบางอย่างในพื้นที่ว่างเปล่า และด้านข้างของบุรุษรูปงามนั้นยังมีกระจก หรือจะเรียกให้ถูกคือแอ่งน้ำที่ใสและนิ่งมากจนแทบไม่มีอะไรกระเพื่อม
“เอ่อ..คุณครับ” ฟางหลินเฉินเอ่ย
“อืม..มาแล้วหรือ” ชายรูปงามตอบโดยไม่มองหน้าเขา
“ช่วยแก้มัดได้ไหม ถ้าคุณ..อยากได้เงิน ผมพอมี..แต่ถ้าอยากได้ร่างกาย ..ผมให้ได้มากสุดแค่หอมแก้ม”
“...”
“ผมสาบานว่าจะไม่บอกใคร” ฟางหลินเฉินพยายามต่อรอง เขาคิดว่าตัวเองถูกแฟนคลับประหลาดที่ใส่ชุดคอสเพลย์จับตัวมาเรียกค่าไถ่ หรือไม่ก็หลงใหลเขาจนทนไม่ได้จึงทำเช่นนี้
“สาบานหรือ? ..เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่พูด?” ในที่สุดบุรุษงดงามก็เงยหน้ามองเขา
“ผมไม่พูดแน่นอน” ฟางหลินเฉินรีบยืดยกรับคำ ทั้งที่ในใจคิดไว้ว่าถ้าหลุดออกไปได้จะต้องรีบแจ้งตำรวจให้มาจับคนโรคจิตนี่ให้เร็วที่สุด
“ดี..เช่นนั้นก็ดี ข้ากำลังกลุ้มใจว่าจะทำเช่นไรดี แต่ในเมื่อเจ้าบอกว่าสาบานจะไม่พูด เช่นนั้นก็แก้ปัญหาได้ง่าย”
“เอ่อ..คุณ..” ฟางหลินเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าชายประหลาดตรงหน้าคงเสียสติหรือไม่ก็อาจป่วยจิต
“มีคนตั้งใจจุดไฟเพื่อฆ่าเจ้า เดิมทีคนเห็นแก่ตัวเช่นเจ้าควรรีบหนีออกจากกองเพลิง แต่วันนี้เจ้ากลับคิดโง่งม ช่วยชีวิตผู้อื่นจนตัวตาย ข้าจึงไม่รู้จะทำเช่นไร” บุรุษรูปงามชี้ไปยังแอ่งน้ำ
แอ่งน้ำที่เคยใสนิ่ง ยามนี้กลับปรากฏภาพคนมากมายกำลังไปงานศพของฟางหลินเฉิน เจ้าของงานศพได้แต่มองภาพในแอ่งน้ำแล้วรู้สึกทรมาน เขาค่อยๆ จำเรื่องราวก่อนเขาหมดสติได้
ที่แท้..เขาตายแล้ว..
“คุณ..คุณคือ..” ฟางหลินเฉินพูดไม่ออก เขาตายแล้วจริงๆ หรือเขาแค่ป่วยหนักและฝันไปเอง ถ้างั้นแล้วภาพในแอ่งน้ำคืออะไร นั่นมันงานศพของเขาแน่ๆ ยังมีแฟนๆ ที่ร้องไห้และวางดอกไม้มากมายนั่นอีก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ หรือนี่จะเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ที่คนร้ายใช้หลอกลวงเขา
“ข้าคืออ๋องฉินกวง[1]“ บุรุษรูปงามแนะนำตัวเอง
“..!” ฟางหลินเฉินเงียบ เขาขมวดคิ้วมุ่น พยายามคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ คนประหลาดตรงหน้าเป็นใต้เท้าคุมนรกจริงเหรอ
“เหตุใดเจ้าไม่หนี เจ้าควรเห็นแก่ตัวและหนีจากกองเพลิงไม่ใช่หรือ เจ้าไม่กลัวตายหรือ” อ๋องฉินกวงถามอย่างสงสัย
“เอ่อ..ผม ผมแค่ไม่อยากเห็นคนสวยทุกคนที่ยอมสนุกกับผมต้องได้รับอันตราย” ฟางหลินเฉินเอ่ยออกไปตามจริง ทั้งที่เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยากพูด ตอนนั้นเขาแค่ไม่อยากเห็นสาวๆ ได้รับบาดเจ็บหรือตาย เขาจำได้ว่าในหัวของเขามีแต่คิดว่าต้องช่วยทุกคนให้ได้
“เฮ้อ เพื่อสตรีที่เจ้าชื่นชม เจ้าถึงขั้นยอมตาย นี่ข้าต้องมาตัดสินให้คนสารเลวที่เห็นแก่เรื่องโลกีย์เช่นเจ้าเป็นบุรุษผู้มีคุณงามความดีมากหรือ ไร้สาระสิ้นดี! มีคนสิ้นคิดเช่นเจ้า งานของข้าจึงยากขึ้นอีก” ท่านอ๋องฉินกวงบ่น
“ไร้สาระเหรอ ผมไม่มีวันยอมให้เหล่านางฟ้าต้องบาดเจ็บ เรื่องนี้ไม่ไร้สาระ แค่พวกเธอปลอดภัย ผมตายก็ถือว่าคุ้ม ว่าแต่พวกเธอปลอดภัยใช่ไหม” ฟางหลินเฉินคล้ายจะยอมรับความตายของตนได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเพื่อสาวอวบที่เขาบูชา
“ใช่แล้ว ผู้อื่นปลอดภัย แต่เจ้ากลับโง่งมสูดควันไฟไปมากจนตาย เฮ้อ..” ท่านอ๋องกลอกตา ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนโง่ขนาดนี้จริง
“...” เขาตายจริงๆ สินะ ความกลัวสายหนึ่งวิ่งผ่านใจเขา..
“เจ้าทำชั่วไว้มาก แต่คุณงามความดีที่ช่วยชีวิตมากมายในคราเดียวก็ไม่อาจตัดทิ้ง ส่งไปรับโทษในนรกไม่ได้ ยิ่งส่งไปสวรรค์ไม่ได้ ข้าจึงคิดว่าจะส่งเจ้ากลับไปยังโลกมนุษย์ เสพสุขให้หมดกรรมดีของเจ้า แล้วค่อยมารับโทษ
โดยปกติ หากจะลงไปจุติในโลกมนุษย์ เจ้าจำเป็นต้องได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง แต่เจ้ายังไม่ถึงคราวตาย ทั้งยังทำความดีไว้มาก ข้ากำลังกลุ้มใจทีเดียวว่าจะทำเช่นไรดี แต่ในเมื่อเจ้ายอมรับปากสาบานไม่พูด ข้าจะร่ายเวทสัตย์สาบานและส่งเจ้าไปในที่ที่สมควรอยู่”
“สัตย์สาบาน?..”
“บอกมา เจ้าอยากได้ชีวิตมีความสุขเช่นไร” อ๋องฉินกวงถาม
“ห๋า?..” ฟางหลินเฉินทำท่าไม่แน่ใจว่าในนรกเช่นนี้ เขาสามารถขอได้ตามต้องการจริงหรือ หรือเขาเพียงถูกคนประหลาดหลอกลวงอยู่เท่านั้น
“รีบพูดมา!” ท่านอ๋องเริ่มโมโห ในมือเขายกพู่กันทองคำออกมาเขียนบางสิ่งกลางอากาศเป็นคำว่า สัตย์สาบาน และคำนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏในกระดาษซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
ฟางหลินเฉินตกตะลึง แม้เขาจะไม่อยากเชื่อ แต่บางอย่างในอกทำให้เขาทรมานจนต้องพูดความต้องการออกไป
“เอ่อ..ผมไม่อยากเป็นเด็กอีก แค่ไม่เจ็บไม่ป่วย ร่ำรวยโดยไม่ต้องทำงานหนัก หล่อและรูปร่างดี มีเวลาว่างทำสิ่งที่ชอบเยอะๆ มีสาวๆ หุ่นอวบอ้วนแบบที่ผมชอบรายล้อม และมีอิสระไม่ต้องคอยปกปิดตัวตน อ้อ..ผมอยากมีความรักจริงใจกับคนอื่นเขาสักครั้ง คนที่จะรักผม คลั่งผม บูชาผม และขอให้ผมได้..”
“พอ!! โลภมากเสียจริงเจ้ามนุษย์!!” ท่านอ๋องฉินกวงด่าก่อนที่ฟางหลินเฉินจะได้พูดความต้องการของเขาออกมาได้หมด
จากนั้นท่านอ๋องก็หยิบแผ่นกระดาษกลางอากาศยัดใส่ปากเขาและบังคับอย่างหยาบคายให้เขากลืนลงไป
“อื้อ!!..แค่กๆ สารเลว! จะฆ่ากันเหรอ!” ฟางหลินเฉินประท้วง แต่เขาก็กลืนแผ่นกระดาษลงไปแล้ว ไม่นานเกินสามวินาทีชายหนุ่มก็รู้สึกเวียนหัวจนแทบทรงตัวไม่อยู่ และหลับไปทันที
[1]ฉินกวงหวาง คือเทพผู้มีหน้าที่ตรวจสอบบาปบุญคุณโทษคนตาย เขามี “กระจกส่องกรรม” ส่องดูความดีความชั่วของดวงวิญญาณ ถ้าไม่ทำกรรมชั่วเลย จะได้เดินข้ามสะพานทองคำไปสู่สวรรค์ทางตะวันตกที่มีแต่ความสุข ถ้าทำกรรมชั่วบ้างก็เดินข้ามสะพานเงินไปสู่สวรรค์ทางทิศใต้ พอบุญหมดก็จะต้องกลับมาดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อไปเกิดใหม่ แต่ถ้าใครทำชั่วไว้เยอะ ต้องถูกส่งไปยังนรกอีก 9 ขุม เพื่อรับโทษต่อไป
หลังจากที่ตระกูลฟางมาอาศัยอยู่ในจวนหลิวคับแคบได้เกือบเดือน ในที่สุดนางเจินหมานก็เพิ่งลากตัวสามีกลับจวนฟางได้เพราะต้องมีผู้นำในการทำการค้า หลิวฟู่จงเฝ้ามองรถม้า และคิดว่าตัวเองจะได้มีโอกาสใกล้ชิดหลานชายแล้วแต่หลายสิ่งไม่เป็นดังคาด..ในห้องโถงใหญ่ของตระกูลหลิว บรรยากาศอำมหิตแผ่ซ่านไปทั่ว เมื่อบิดาและสามีของหลิวลี่อินต่างพากันแย่งอุ้มลูกชายของนาง บุรุษอายุมากผู้หนึ่งที่มักสงบนิ่งเยือกเย็นเสมอ และอีกคนที่ยังหนุ่มแน่นเย่อหยิ่งหน้าหนา พวกเขากำลังกลายเป็นคู่แข่งที่ดุเดือดในการแย่งชิงอุ้มเด็กน้อย“ข้าเป็นตา! ข้าควรจะได้อุ้มก่อน!” หลิวฟู่จงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยเสียงแข็งกระด้าง ขณะยื่นมือมาทางหลานชายที่อยู่ในอ้อมแขนของฟางหลินเฉิน“แต่ข้าเป็นบิดาของเขา ข้าก็ต้องการอุ้มบุตรของข้าบ้างนะ ท่านพ่อตา” ฟางหลินเฉินยิ้มบางๆ พลางเบี่ยงตัวออกห่างจากมือของเจ้ากรมหลิวเล็กน้อย ไม่ยอมให้อีกฝ่ายแตะตัวลูกชาย&l
ในทุกวันที่หลิวลี่อินไปสอนในสถานศึกษาสำหรับสตรี ฟางหลินเฉินมักตามติดนางไปด้วย ทำตัวเป็นคนรับใช้ของภรรยาอย่างเต็มใจและขยันขันแข็ง แม้ว่าขนบธรรมเนียมจะบ่งบอกว่าภรรยาควรเป็นผู้ดูแลสามี แต่เขาก็ไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น ด้วยใจที่มุ่งมั่นจะบูชาภรรยาด้วยการดูแลของเขาทุกเช้า เขาจะปัดกวาดที่นั่งของภรรยาในห้องเรียนด้วยตัวเอง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโต๊ะและเก้าอี้ของนางสะอาดเรียบร้อย หลังจากนั้น เขายังจัดเตรียมอาหารว่างสำหรับหลิวลี่อิน โดยจัดใส่จานอย่างปราณีต สิ่งที่หลิวลี่อินต้องทำก็เพียงนั่งลงและอ้าปาก เพราะเขาจะคอยป้อนใส่ปากของนางอย่างบรรจงไม่เพียงแค่นั้น ฟางหลินเฉินยังถือกล่องเครื่องเขียนของนางทุกครั้ง เดินตามไปทุกที่ นั่งเฝ้านางอยู่ใกล้ๆ ขณะนางสอนเหล่าสตรีร้องเพลงและบรรเลงดนตรี ราวกับเงาที่ไม่เคยห่างหายทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความเอาใจใส่และความรักที่แสดงออกอย่างชัดเจนเกินกว่าที่สามีในยุคนั้นจะทำกันได้ ทว่าความรักของเขานั้นกลับยิ่งลึกซึ้งเมื่อถึงเวลาพักผ่อน
ฟางหลินเฉินเดินไปเดินมานอกห้องคลอด ใจเต้นระรัวและเหงื่อซึมทั้งฝ่ามือ เขาไม่เคยรู้สึกกังวลเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ ทั้งชีวิตเขาเต็มไปด้วยความสามารถ เขารู้ว่าหากเขาพยายามย่อมเกิดผลดีตามมา เขามีความสามารถพอจะทำเพื่อสิ่งต่างๆ อยากได้สิ่งใดก็ต้องลงมือทำแต่ในวันนี้ ชะตากรรมของอีกสองชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา ร่างเล็ก ๆ ที่กำลังจะเกิด และหลิวลี่อิน ภรรยาของเขาที่กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด โดยไม่อาจทำสิ่งใดได้เลยเขาเคยรู้สึกหงุดหงิดกับเด็กในครรภ์ที่ทำให้หลิวลี่อินไม่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ นางอ่อนแรงและต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา และสิ่งที่ทำให้เขาหนักใจที่สุดคือการที่เขาไม่สามารถนอนร่วมกับนางได้เหมือนเคย แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความรู้สึกในขณะนี้ เสียงร้องของนางดังขึ้นทุกครา ทำให้เขาเจ็บปวดแทบใจขาด“เธอต้องปลอดภัย!” ฟางหลินเฉินพึมพำกับตนเอง เสียงแผ่วเบาที่แฝงไปด้วยความห่วงใย“นางจะไม่เป็นไร ไม่
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนงงงันไม่ต่างกัน ฟางเซิ่งฝูและนางเจินหมาน บิดามารดาของฟางหลินเฉินไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดบุตรชายผู้เคยกระตือรือร้นกับการเพิ่มอนุถึงกับเปลี่ยนใจในพริบตาแม้กระทั่งหลิวฟู่จง บิดาของหลิวลี่อินก็งงงันที่เห็นลูกเขยผู้ไม่เคยสนใจเรื่องการศึกษากลับมุ่งมั่นสร้างสถานศึกษาสำหรับสตรีขึ้นมาเช่นนั้น ทั้งยังยกย่องบุตรสาวของเขาให้เป็นอาจารย์ผู้สอน นางมีทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีสูงส่ง เขาผู้เป็นบิดาจึงภูมิใจยิ่งนักแต่ผู้ที่ดูจะตกใจมากที่สุดกลับเป็นแม่เลี้ยงและน้องสาวของหลิวลี่อิน พวกนางที่เคยคิดว่าหลิวลี่อินจะโดนสามีทอดทิ้ง หลังจากที่หลิวฟู่จงไปรับนางกลับบ้านเดิมพวกนางยังกลั่นแกล้งให้หลิวลี่อินทำงานบ้านหลายอย่างโดยที่หลิวฟู่จงไม่รู้ ยามนี้กลับต้องเห็นนางกลายเป็นอาจารย์ผู้สอนในสถานศึกษาใหญ่โตที่ฟางหลินเฉินตั้งใจสร้างเพื่อยกย่องความสามารถของนางน้องสาวของหลิวลี่อินแสดงความอิจฉาอย่างชัดเจน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดฟางหลินเฉินจึงเลือกที่จะทุ่มเทเพื่อพี่สาวท
หญิงสาวคล้ายตกใจไม่น้อย แต่เมื่อเขายังคงถูไถเบาๆ เพื่อยืดเวลาแห่งวสันต์ออกไปอีกนิด นางจึงยกมือมาลูบปลายแท่งเสาสวรรค์อย่างรู้ใจ แม้ตัวนางจะสั่นเล็กน้อยและหายใจลำบาก“อะ..อ้าปากลี่เอ๋อร์..” เขาสั่งเสียงแตกเครือลี่เอ๋อร์ถูกเขาสั่งสอนมานาน ยามนี้นางได้แต่มองเขาอย่างคลั่งไคล้และอ้าปากตามคำสั่งของสามี เขาจดจ่อปลายเสาค้ำใหญ่ที่ยังคงมีสายน้ำรักยืดหยดเหนียวข้นลงในปากนาง พร้อมเสียงครางสั่นระริกที่บ่งบอกว่าเขารู้สึกดีมาก“อือ..เด็กดี..นางฟ้า..” เขาชื่นชมเสียงแหบพร่า ขยับสะโพกเข้าออกริมฝีปากระเรื่อของนางอย่างหลงใหล ความอบอุ่นในโพรงปากของนางทำให้เขารู้สึกสั่นซ่านไปทั้งแท่งหยกและทั่วร่างกาย“ดูดแรงอีกหน่อย” เขาสั่ง ทั้งที่เพิ่งพวยพุ่งความคิดถึงตลอดเดือนใส่ใบหน้าของนาง แต่คล้ายเขายังไม่พอใจ ยังต้องการต่อเวลาหฤหรรษ์ออกไปให้ยาวนานยิ่งขึ้น หรือไม่ก็เริ่มต้นความสุขสมอีกครั้งเมื่อนางดูดดื่มให้เขาเข้าลึกลงไปใ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความต้องการของตัวเอง คิดเพียงความพอใจของตนเอง จนกระทั่งเวลานี้ ยามที่น้ำตาของนางพรั่งพรู เขาไม่อาจทนเห็นน้ำตาของนางอีกต่อไป“ไม่แต่งอนุ..ข้ามีเพียงเจ้า” ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดร้าวลึก นี่คือครั้งแรกที่ฟางหลินเฉินรู้สึกว่าความสุขของนางสำคัญกว่าสิ่งใดในโลก ความทะนงและเห็นแก่ตัวของเขาพังทลายทุกครั้งที่นางสะอื้นไห้ ราวถูกกดทับด้วยหินก้อนใหญ่“ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงแทบคลั่งอยู่แล้ว” ฟางหลินเฉินกัดฟัน หัวใจบีบรัดจนเขาแทบลืมหายใจมือของเขาสั่นระริก หัวใจเหมือนกำลังจะหลุดออกจากอก คำพูดที่เคยพร่ำบอกรักบูชาสาวอ้วนคนอื่นๆ มันง่ายดายเมื่อไม่เคยต้องเผชิญกับน้ำตาของหลิวลี่อิน นางเป็นทุกอย่างสำหรับเขา ไม่เคยมีใครทำให้เขาเจ็บปวดได้เท่านี้มาก่อน เขารู้ว่าไม่สามารถทนเห็นนางทุกข์ใจได้ เขาจำต้องยอมรับว่าจะทำทุกอย่างเพื่อนางใช้ชีวิตเพื่อนางเท่านั้น..







