เดือนอ้าย ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบแปด
ยามตรุษวสันต์เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือก เสียงประทัดดังกึกก้องแผ่วเบาจากหมู่บ้านใกล้เคียง ตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูแสงจันทร์ที่ทอแสงนวลผ่องลงมายังลานเรือนที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ดุจแพรไหมสีขาวที่คลี่คลุมผืนดิน เหตุการณ์เมื่อปลายปีที่แล้วยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดของนาง
การที่นางสามารถรักษาชายผู้ที่ถูกวางยาพิษได้อย่างปาฏิหาริย์ มิเพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังยิ่งขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังช่วยขจัดข่าวลือร้าย ๆ ที่ฮูหยินหลี่พยายามแพร่กระจาย ผู้คนในหมู่บ้านต่างมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความศรัทธาและความเคารพยำเกรง ดุจเทพธิดาที่จุติลงมาโปรดสัตว์
“คุณหนูเจ้าคะ หิมะตกหนักเช่นนี้ มิหนาวหรือเจ้าคะ ?” เสียงของเสี่ยวจูดังขึ้นจากด้านหลัง นางนำเสื้อคลุมตัวหนามาสวมให้เยี่ยนอวี่อย่างแผ่วเบา
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มเล็กน้อย “มิต้องเป็นห่วงหรอกเสี่ยวจู กายของข้าแข็งแรงขึ้นมากแล้ว”
“จริงเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “คุณหนูตั้งแต่ฝึกฝนวิชาแปลก ๆ นั่น ก็ดูแข็งแรงขึ้นมาก ผิวพรรณก็ผ่องใสนักเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่รู้ดีว่าวิชาที่เสี่ยวจูกล่าวถึงนั้นคือกำลังภายใน ที่นางฝึกฝนอย่างลับ ๆ มาตลอด มิมีผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้นอกจากตัวนางเอง
“เสี่ยวจู เจ้ากับข้ามิใช่เพียงนายบ่าว” เยี่ยนอวี่หันไปมองเสี่ยวจู ดวงตาของนางฉายแววความจริงใจ “แต่เราเป็นดุจพี่น้องที่พึ่งพาอาศัยกัน”
เสี่ยวจูดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวซาบซึ้งใจยิ่งนัก บ่าวจะขออยู่รับใช้คุณหนูไปจนสิ้นชีวิตเจ้าค่ะ”
ความผูกพันระหว่างตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เสี่ยวจูเป็นทั้งผู้ช่วย แม่บ้าน และเพื่อนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างนางเสมอ ไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์
ยามลมหนาวเริ่มคลายตัว ดอกท้อเริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจที่จะริเริ่มโครงการเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในด้านการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพหลักของพวกเขา
นางรวบรวมชาวบ้านผู้สูงอายุและผู้ที่มีความรู้ด้านการเกษตร มารวมตัวกันที่ลานกว้างหน้าเรือนตู้ เพื่อจัดประชุมเล็ก ๆ
“ท่านลุง ท่านป้าทุกท่าน” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ข้าใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านทั้งหลายเกี่ยวกับวิธีการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรของเรา”
ชาวบ้านต่างมองหน้านางด้วยความประหลาดใจ แต่พวกเขาก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ท่านช่างถ่อมตนยิ่งนัก” ท่านลุงเจิ้ง หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่างหากที่ต้องเรียนรู้จากท่าน”
ตู้เยี่ยนอวี่เริ่มอธิบายถึงแนวคิดเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน การบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการเลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศ ชาวบ้านรับฟังอย่างตั้งใจ บางคนก็จดบันทึก บางคนก็ซักถามข้อสงสัย
“หากเราปลูกพืชชนิดเดิมซ้ำ ๆ กันนานเกินไป ดินก็อาจจะเสื่อมสภาพได้เจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่อธิบาย “แต่หากเราปลูกพืชหมุนเวียน ดินก็จะฟื้นฟูตัวเองได้”
นางยังแนะนำให้ชาวบ้านรู้จักการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร ใบไม้แห้ง และมูลสัตว์ ซึ่งจะช่วยบำรุงดินให้สมบูรณ์ขึ้น โดยมิต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมาย
“คุณหนู วิธีนี้ของท่านช่างดีนัก พวกเรามิเคยคิดถึงเรื่องนี้กันเลยขอรับ” ชาวบ้านต่างพากันกล่าวชื่นชม
หลังจากนั้นตู้เยี่ยนอวี่ก็ลงมือสาธิตวิธีการทำปุ๋ยหมัก และการเตรียมแปลงปลูก ชาวบ้านต่างให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
ยามฤดูใบไม้ผลิผลิบานเต็มที่ หมู่บ้านซีหลินกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา
การเปลี่ยนแปลงที่ตู้เยี่ยนอวี่นำมาซึ่งการเกษตร เริ่มเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ผลผลิตของพืชผักเพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ดุจปาฏิหาริย์จากสรวงสวรรค์
“คุณหนู ! ดูสิเจ้าคะ ! หัวผักกาดของเราใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากเลยเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องด้วยความดีใจขณะเก็บเกี่ยวผลผลิต
“จริงด้วย” ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “นี่เป็นผลมาจากการที่เราดูแลดินให้ดี”
ความสำเร็จนี้มิเพียงแต่ทำให้ชาวบ้านมีกินมีใช้มากขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังช่วยให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ชาวบ้านต่างชื่นชมในสติปัญญาของตู้เยี่ยนอวี่ และเชื่อมั่นในคำแนะนำของนางยิ่งกว่าเดิม
แน่นอนว่าความสำเร็จของตู้เยี่ยนอวี่มิได้พ้นจากสายตาของฮูหยินหลี่ ผู้ซึ่งยังคงเก็บงำความริษยาไว้ในใจ นางได้ยินข่าวคราวความสำเร็จของตู้เยี่ยนอวี่จากบ่าวไพร่ แล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
“นางเด็กนั่น ช่างโชคดีนัก” ฮูหยินหลี่บ่นพึมพำกับอาซิ่น “ทำสิ่งใดก็สำเร็จไปเสียหมด”
“ฮูหยินอย่าได้ทรงกังวลเลยเจ้าค่ะ นางเด็กนั่นคงจะใช้เล่ห์กลอันใดเป็นแน่” อาซิ่นกล่าวปลอบใจ
แต่ฮูหยินหลี่มิได้คลายความริษยาลงเลยแม้แต่น้อย นางเริ่มคิดหาทางที่จะทำลายชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่อีกครา
ยามลมร้อนเริ่มพัดโชยมา ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังเมืองจิ่นหยาง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านซีหลินออกไปหลายวัน เพื่อหาซื้อตำราแพทย์และสมุนไพรหายากเพิ่มเติม
“คุณหนูจะเดินทางไปเมืองจิ่นหยางหรือเจ้าคะ ? มันจะมิเป็นอันตรายเกินไปหรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูถามด้วยความกังวลใจ “ระหว่างทางอาจจะมีโจรผู้ร้ายก็ได้นะเจ้าคะ”
ตู้เยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “มิต้องเป็นห่วงหรอกเสี่ยวจู ข้าจะระมัดระวังตนเองให้ดี” นางหันไปหาท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยินตู้ที่ยืนมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง “ท่านพ่อ ท่านแม่ มิต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
ท่านผู้เฒ่าตู้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เดินทางปลอดภัยนะลูก หากมีอันใดเกิดขึ้น ให้รีบส่งข่าวมาให้พ่อทันที”
การเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตู้เยี่ยนอวี่ต้องจากบ้านไปไกล แม้ในใจจะรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเอง นางก็พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างที่รออยู่เบื้องหน้า
นางสวมชุดที่เรียบง่าย พกพาถุงผ้าบรรจุเงินทองและสมุนไพรบางชนิด ติดตัวไปพร้อมกับเสี่ยวจูที่ขอติดตามไปด้วย
“คุณหนู บ่าวจะดูแลคุณหนูเองเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวอย่างมั่นใจ
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังเมืองจิ่นหยาง ตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูต้องเผชิญกับความยากลำบากหลายประการ ทั้งเส้นทางที่ขรุขระ ผู้คนที่แปลกหน้า และอันตรายจากโจรผู้ร้ายที่อาจจะดักซุ่มอยู่ตามรายทาง
แต่ด้วยความรู้ด้านกำลังภายในที่ตู้เยี่ยนอวี่ฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นางสามารถป้องกันตนเองและเสี่ยวจูให้พ้นจากอันตรายได้หลายครา
ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง …
ขณะที่พวกนางกำลังเดินทางผ่านป่ารกทึบ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์สี่ห้าคนออกมาจากป่า ดุจสัตว์ร้ายที่กำลังจะออกล่า พวกเขามีใบหน้าดุร้าย และถืออาวุธครบมือ
“พวกเจ้าจะไปไหนกัน ส่งทรัพย์สมบัติมาให้พวกข้าเสียดี ๆ !” ชายคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง
เสี่ยวจูตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ทำให้ตู้เยี่ยนอวี่ต้องก้าวออกมาข้างหน้า ปกป้องเสี่ยวจูที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาของนางสงบนิ่ง แต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว
“พวกท่านต้องการอันใด ?” เยี่ยนอวี่ถามเสียงเรียบ “เรามิได้มีทรัพย์สมบัติมากมายอันใด”
“อย่ามาเล่นลิ้น ! หากมิอยากเจ็บตัว ก็จงส่งทุกสิ่งที่มีมาให้พวกข้าเสียดี ๆ !” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยความโกรธ
ตู้เยี่ยนอวี่ถอนหายใจเล็กน้อย “ในเมื่อพวกท่านมิยอมเลิกลา ข้าก็คงต้องสั่งสอนพวกท่านให้หลาบจำเสียบ้าง”
เมื่อกล่าวจบ นางก็พุ่งเข้าใส่ชายฉกรรจ์เหล่านั้นอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ท่วงท่าของนางพลิ้วไหว แต่ก็แฝงไว้ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง กำลังภายในที่ฝึกฝนมาตลอดหลายเดือนถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
เพียงไม่นาน ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวด พวกเขามิอาจคาดคิดได้ว่าสตรีร่างบอบบางเช่นนาง จะมีพลังยุทธ์ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้
“พวกเจ้าจำไว้ จงกลับตัวกลับใจเสีย” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากยังคงกระทำความชั่วเช่นนี้ ต่อไปจะมิมีที่ยืนในแผ่นดินนี้อีกต่อไป”
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นมองเยี่ยนอวี่ด้วยความหวาดกลัว และรีบพยุงตนเองหนีหายเข้าไปในป่าด้วยความรวดเร็ว
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูช่างเก่งกาจยิ่งนักเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องอุทานด้วยความทึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโล่งใจ
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบเล็กน้อย “เจ้ามิต้องเป็นห่วงแล้วเสี่ยวจู เราเดินทางกันต่อเถิด”
การเดินทางครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถของตู้เยี่ยนอวี่ และทำให้เสี่ยวจูยิ่งเชื่อมั่นในตัวนางมากยิ่งขึ้น
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ