Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 44 กระแสทวนแห่งฟ้า

Share

บทที่ 44 กระแสทวนแห่งฟ้า

ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง

จางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละ

เมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก

               ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ!

               โฮกกก!!!!

เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคลนกระเด็นไปทั่วราวกับห่าฝนที่โปรยปรายอยู่กลางสมรภูมิ

“ฮ่า!” จางอี้หมิงคำรามเสียงต่ำก่อนสะบัดดาบหมุนตัวเป็นวงกว้าง ร่างของอสูรที่อยู่รอบข้างถูกแรงฟันจนกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง เสียงแตกกระจายของดินเหนียวดังก้องขึ้นทุกครั้งที่ดาบของเขาฟาดฟันลงไป

ทว่า แม้จะสังหารอสูรได้มากเพียงใด แม้ไม่ได้สิ้นเปลืองพลังงานในการโคจรลมปราณย้อนกลับ แต่ถึงอย่างไรเรี่ยวแรงของมนุษย์ก็มีขีดจำกัด ลมหายใจของจางอี้หมิงเริ่มหนักขึ้น เหงื่อไหลซึมไปตามไรผมและลำคอ แต่เขาก็ไม่หยุดยั้งเพียงเท่านั้น

มือทั้งสองยังคงจับกระชับดาบ เลือดในกายพลุ่งพล่านด้วยไฟแห่งนักสู้ แม้จะเหนื่อยหอบแต่ร่างกายของเขาก็ยังคงขยับเคลื่อน บุกทะลวงผ่านหมู่มวลอสูรดินเหนียวต่อไปไม่หยุดยั้ง!

เสียงกระบี่และดาบกระทบกันดังก้องไปทั่วลานหน้าหอเทียนหยาง จางอี้หมิงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางฝุ่นดินที่กระจายฟุ้งไปทั่ว ดาบในมือของเขากวัดแกว่งไปมา ฟาดฟันอสูรดินเหนียวที่รายล้อมอยู่รอบตัวอย่างไม่ลดละ

เมื่ออสูรตัวหนึ่งกระโจนเข้ามาพร้อมกับง้างกรงเล็บใหญ่หมายจะฉีกกระชากร่างของเขา จางอี้หมิงรีบก้าวเท้าหลบไปด้านข้าง ปลายดาบในมือของเขาตวัดเป็นแนวโค้งเฉือนผ่านกลางลำตัวของมัน อสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เศษดินกระเด็นไปทั่วพื้น แต่ยังไม่ทันได้พักหายใจ อสูรอีกสองตัวก็กระโจนเข้ามาจากด้านข้างพร้อมกัน จางอี้หมิงขบฟันแน่น หมุนตัวใช้ดาบฟาดออกไปเป็นแนวขวาง กรีดผ่านร่างอสูรสองตัวจนขาดสะบั้นกลางลำตัว

“ศิษย์พี่ ท่านไหวแค่ไหน?” เสียงของซ่งอินดังขึ้นจากด้านหลัง ขณะที่ตัวเขากำลังใช้กระบี่ปัดป้องอสูรดินเหนียวที่โถมเข้าใส่ไม่หยุด

จางอี้หมิงยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อก่อนจะหัวเราะหึ ๆ แล้วตอบ “จบศึกนี้ข้าจะไปผ่อนคลายที่สำนักสังคีตให้สะใจ”

ซ่งอินหลบกรงเล็บของอสูรอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะฟาดกระบี่ออกไปทำลายศัตรู “ข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

“ข้าจะออกเงินให้เจ้าหลับนอนกับดาวเด่นสักคืนหนึ่ง” จางอี้หมิงตอบพลางเหวี่ยงดาบฟันอสูรอีกตัวจนร่างแตกกระจายเป็นเศษดิน

ซ่งอินหัวเราะเสียงดัง “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอแม่นางฉีเหอ”

จางอี้หมิงยิ้มเย้ยขณะใช้สันดาบฟาดเข้าที่หัวอสูรอีกตัวจนมันระเบิดออก “หน้าที่ของนางคือปรนนิบัติข้า”

จากนั้น ต่างคนต่างไล่ฟาดฟันอสูรดินเหนียวที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ โดยมีดาวเด่นสำนักสังคีตเป็นเป้าหมายในการผ่อนคลาย

ภายในหอเทียนหยาง

เสียงโลหะกระทบดินดังสะท้อนขึ้นมาเป็นระยะ แรงสั่นสะเทือนจากสมรภูมิรบเบื้องล่างทำให้โถน้ำชาบนโต๊ะไม้สั่นไหวเบาๆ แต่คนภายในหอเทียนหยางกลับนิ่งงัน ดวงตาหลายคู่จับจ้องออกไปยังลานกว้างเบื้องนอก ที่ซึ่งเหล่าศิษย์กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียวอย่างดุเดือด

หวงจื่อรั่วยืนแน่วแน่ริมหน้าต่าง ร่างอรชรนิ่งสงบ แม้สายลมจะพัดต้องเสื้อผ้า แต่ใจของนางกลับปั่นป่วนดั่งคลื่นใต้ผืนน้ำ ดวงตาของนางจับจ้องไปยังร่างของบุรุษผู้หนึ่งท่ามกลางวงล้อมของอสูร จางอี้หมิงฟาดฟันดาบในมือด้วยพลังอันล้นเหลือ ทุกครั้งที่เขาหวดลงไป เศษดินก็ปลิวกระจุยกระจาย

ความที่นางเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน ถึงอย่างไรนางก็พอมองออกว่า กำลังและเรี่ยวแรงของจางอี้หมิงกำลังลดลง

แตกต่างจากทางด้านหลินหนิง แม้หวงจื่อรั่วจะมองด้วยความสงบ แต่หลินหนิงนั้นกลับไม่ใช่ นางกระวนกระวายใจเดินวนไปมา

“พวกเราทำอะไรได้บ้าง?”

หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่นางกำด้ามทวนแน่นขึ้น ก่อนจะตัดสินใจคว้าทวนคู่ใจของตนออกมา “ข้าจะออกไปช่วย”

พูดจบนางก็พุ่งตัวไปยังประตูอย่างรวดเร็ว แต่เพียงแค่ก้าวข้ามธรณีประตู แสงสีทองพลันวาบขึ้นตรงหน้า ม่านพลังที่ปกป้องศิษย์ระดับต้นของสำนักปิดกั้นมิให้นางผ่านไปได้

“ทำไม…” หวงจื่อรั่วกัดฟันแน่น นางยกมือสัมผัสม่านพลัง พยายามปล่อยพลังปราณดันออกไป แต่มันกลับไม่กระเทือนแม้แต่น้อย

“พวกเราออกไปไม่ได้…” หลินหนิงกล่าวเสียงเบาหวิว ขณะมองเพื่อนของตนที่ยืนแน่นิ่ง

หวงจื่อรั่วไม่ได้ตอบ นางเพียงจ้องออกไปยังลานเบื้องล่าง ดวงตาคมกริบฉายแววเดือดดาล ขณะจางอี้หมิงยังคงยืนหยัดฟาดฟันเหล่าอสูร มือเรียวกำด้ามทวนแน่นขึ้นจนข้อนิ้วซีดเผือด

               อยู่ห่างเพียงแค่นี้ กลับทำอะไรไม่ได้เลยหรือ

ลานหน้าหอเทียนหยาง

เสียงคำรามของอสูรดินเหนียวยังคงดังก้องสะท้อนไปทั่วลาน ดมดาบของจางอี้หมิงยังคงฟาดฟันไปมาไม่หยุด แม้เรี่ยวแรงจะลดลงเรื่อยๆ จนส่งผลต่อความเร็วและความแรงในการเหวี่ยงดาบ

แต่ทันใดนั้นเอง…

ฟึ่บ!

แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ! รัศมีอันเจิดจ้าแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง อสูรดินเหนียวที่กำลังจะเข้าถึงตัวจางอี้หมิงพลันแตกกระจายเป็นเศษฝุ่นหินร่วงลงกับพื้นทันที ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางวงล้อม ฝีเท้าหนักแน่นและมั่นคง เสียงกระแสพลังยังสั่นสะเทือนในอากาศ

               ครืนนน…!!!

ลิ่วเฉียง!

หนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยรังสีแห่งความแข็งแกร่ง ด้านข้างของเขาที่มาพร้อมกัน เป็นหญิงสาวร่างระหงยืนอยู่ ฟางหรง ศิษย์พี่คนงามผู้เชี่ยวชาญศาสตร์รักษา ทั้งสองใช้เวทมิติของลิ่วเฉียงมาโผล่ที่ลานประลองได้ทันเวลาพอดี

จางอี้หมิงกระชับดาบ มองดูพวกเขาด้วยสายตาเหนื่อยล้าแล้วกล่าวอย่างประชดประชัน

“ทำไมไม่รอให้ถึงพรุ่งนี้เลยล่ะ? จะได้มาตอนข้าตายพอดี”

ลิ่วเฉียงเหล่มอง พลางเอ่ยเสียงเรียบ

“หุบปาก!”

ฟางหรงกลั้นหัวเราะพลางยกมือป้องปากเบาๆ ก่อนจะหันไปมองจางอี้หมิงด้วยสายตาขบขันเล็กน้อย

จางอี้หมิงถอนหายใจแล้วโบกมือไปทางฟางหรง “ท่านรีบไปช่วยพวกคนเจ็บเหอะ”

“ข้ารู้หน้าที่ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบอกกล่าว” ฟางหรงกล่าวเสียงเรียบ

จากนั้นนางหยิบกระปุกยาใบหนึ่งออกมา โยนให้จางอี้หมิง

“กินซะ จะได้ไม่ตายกลางสนามรบ”

พูดจบ นางพุ่งตัวขึ้นไปบนหอเทียนหยางทันที ด้วยความคล่องแคล่วสมกับเป็นศิษย์ผู้แข็งแกร่งระดับสูงของสำนัก

เมื่อถึงจุดที่เหมาะสม ฟางหรงสูดลมหายใจเข้า รวบรวมพลังปราณไว้ในฝ่ามือ นางยกมือขึ้นเป็นรูปสามเหลี่ยม กำหนดจิตแน่วแน่ พลังปราณสีเขียวเรืองรองส่องประกายออกจากฝ่ามือ แผ่ขยายออกไปทั่วบริเวณ อาบไล้สำนักเทียนหยางด้วยพลังแห่งการเยียวยา บาดแผลของเหล่าศิษย์ที่บาดเจ็บเริ่มสมานตัว ความปวดร้าวจางหาย ร่างกายที่อ่อนล้ากลับมามีพลังอีกครั้ง

ลานหน้าหอเทียนหยาง

ลิ่วเฉียงกวาดสายตามองซากอสูรดินเหนียวที่กองอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะหันไปสบตาจางอี้หมิงด้วยสายตาคมกริบ

“แค่นี้เจ้าจัดการไม่ได้หรือ?” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ เต็มไปด้วยอำนาจ

จางอี้หมิงที่กำลังหอบอยู่ กำดาบแน่นก่อนจะตอบกลับเสียงห้วน “หากข้ามีพลังปราณ ข้าคงจัดการหมด!”

เขาถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นปาดเหงื่อแล้วพูดต่อ “ถ้าเช่นนั้น... พวกที่เหลืออยู่ตรงนี้ ข้าฝากท่านด้วย”

พูดจบ เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพง พลางปล่อยให้ร่างกายได้พักหลังจากต่อสู้หนักหน่วง

ลิ่วเฉียงไม่พูดให้มากความ เพียงแค่ยกมือขึ้นเบาๆ เพียงพริบตาเดียว…

ฟึ่บ!

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ทวนประจำกายของเขาพุ่งทะลวงลงมาจากฟากฟ้า ราวกับสุนัขป่าที่ได้กลิ่นเลือด ปลายทวนเปล่งประกายเย็นเยียบ แรงกดดันมหาศาลแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ

“กระแสทวนแห่งฟ้า!”

ทันทีที่ทวนมาถึง ลิ่วเฉียงกระโดดขึ้นกลางอากาศ มือคว้าหมับเข้าที่ด้ามทวน ทันใดนั้นเอง ร่างของเขาพลันหมุนคว้างกลางเวหา!

ฟุบ! ฉัวะ! เปรี้ยง!

เสียงทวนแหวกอากาศราวสายฟ้าฟาด! อสูรดินเหนียวที่โถมเข้ามาถูกฟาดกระจายเป็นเศษดินละเอียด ท่ามกลางเสียงคำรามและแรงสั่นสะเทือนจากแรงกระแทก

ลิ่วเฉียงพุ่งตัวเข้าใส่ฝูงอสูรด้วยท่าร่างว่องไว ทวนในมือกรีดผ่านกลางร่างของศัตรูแต่ละตัวอย่างไร้ปรานี ซากดินแตกกระจุยเป็นวงกว้าง ลมหอบพัดกระจาย เศษฝุ่นปลิวว่อนเต็มลาน

ภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ…

ทุกอย่างเงียบกริบ…

เหล่าอสูรดินเหนียวที่เคยกระหน่ำจู่โจม ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น!

จางอี้หมิงและซ่งอินที่นั่งอยู่มองตาค้าง พวกเขารู้ดีว่าลิ่วเฉียงแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดว่าจะเหนือชั้นถึงเพียงนี้

“สมกับเป็นสายฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งในสำนัก” จางอี้หมิงพึมพำเบาๆ

ซ่งอินกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปพูดกับจางอี้หมิง “ข้าเพิ่งเคยเห็นศิษย์พี่ลิ่วเฉียงแสดงฝีมือใกล้ๆ เป็นครั้งแรก ที่แท้ก็แข็งแกร่งเช่นนี้”

“ไม่เท่าข้าหรอก”

“หุบปาก!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 47 คมดาบไร้ลมปราณและไร้ปราณี

    ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 46 ขอเพียงสามกระบวนท่า

    “หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 45 เมื่อเชียนหวงปรากฏกาย

    สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status