ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้น
ถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายใน
ความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว
“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย
“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”
เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรง
ฉัวะ!
เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่วพื้นป่า
ถัวเค่อชีหัวเราะลั่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งถือดี
“ในที่สุด... ข้าก็ไต่ระดับขึ้นมาเทียบเท่าเจ้าจางอี้หมิงได้แล้ว!”
เขากัดฟันแน่น พูดออกมาอย่างคับแค้นใจ “ไม่สิ! ตอนนี้มันสูญเสียพลังปราณไปแล้ว! แสดงว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่ามัน!”
เพี๊ยะ!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้หัวเราะจนเต็มอิ่ม แส้เส้นหนึ่งฟาดลงมาจากความมืด ตวัดเข้าใส่ลำตัวของเขา
อึ๊ก!
ร่างของถัวเค่อชีเซถลาไปด้านข้างเล็กน้อย เขาหันขวับไปมองทันที
เบื้องหน้าของเขา มีร่างของสตรีผู้หนึ่งยืนสงบนิ่ง ใบหน้างดงามปานนางฟ้า นัยน์ตาเย็นชาเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
สตรีผู้นั้นคือ ศิษย์พี่เจียงเยว่
สายลมพัดให้ชายเสื้อคลุมและเส้นผมของเจียงเยว่ปลิวไหว ร่างอันงดงามของนางยืนนิ่งไม่หวั่นไหว ราวกับยอดเขาสูงที่ไม่สั่นคลอนต่อพายุ
ถัวเค่อชีมองนาง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม
“ที่แท้เป็นศิษย์พี่เจียงเยว่นี่เอง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “แต่ทำไมพลังของท่านถึงมีเพียงเท่านี้ล่ะ ฮ่าๆๆ!”
เจียงเยว่ยังคงสงบ นางจ้องมองศิษย์น้องที่เคยเป็นสหายร่วมสำนัก นางยกแส้ขึ้นชี้ไปที่ถัวเค่อชี แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ศิษย์ทรยศที่เปิดประตูให้ศัตรูเข้ามาอย่างเจ้า…ข้าจะต้องจัดการให้ได้”
“ฮ่าๆๆ!”
ถัวเค่อชีหัวเราะลั่น ก่อนจะเหยียดยิ้มมองเจียงเยว่
“ที่แท้ท่านก็รู้แล้ว”
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงขบขัน
เจียงเยว่จ้องมองเขานิ่งๆ ก่อนจะถามขึ้นเสียงเรียบ “เจ้าทำเพื่ออะไร?”
ถัวเค่อชีเบิกตากว้าง ก่อนจะหัวเราะ “ทำเพื่ออะไรหรือ?” เขากำกระบี่แน่น ก่อนจะชี้ไปที่ตัวเอง “แน่นอนว่าข้าทำเพื่อพลังไงเล่า!”
เขาถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ ราวกับจะให้ธรรมชาติเป็นพยาน “ท่านเห็นหรือไม่ ว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งเพียงใด!?”
เขาแสยะยิ้ม ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นชี้ไปทางเจียงเยว่ “ต่อให้ท่านเป็นศิษย์พี่ แต่ข้าก็ไม่ได้ด้อยกว่าอีกต่อไป!”
เจียงเยว่ฟังแล้วเพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าวสั้นๆ “ห่วยแตก!”
ถัวเค่อชีชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “ท่านพูดว่าอะไร!?”
“ข้าบอกว่า... ห่วยแตก”
เจียงเยว่ยืนสงบ แววตาของนางเต็มไปด้วยความเวทนาแส้ในมือของนางกระตุกเบาๆ
“คนทรยศสำนักแบบเจ้า นับเป็นคนไร้ค่า!”
"บัดซบ!"
ถัวเค่อชีโกรธจัด เขาหวดกระบี่ขึ้น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาเจียงเยว่ “ข้าจะใช้ท่านเป็นเครื่องวัดพลังของข้าเอง!”
กระบี่ของเขาสะท้อนประกายเย็นเยียบในยามรัตติกาล ร่างของเขาพุ่งเข้าหาเจียงเยว่ราวกับพายุร้าย
เจียงเยว่ยืนตระหง่าน มือเรียวกระชับแส้ยาวสีเงินอันเป็นอาวุธคู่กาย นางสูดหายใจลึก แม้จะพยายามรักษาความสงบนิ่ง แต่ร่างกายของนางกลับรับรู้ได้ถึงความอ่อนล้าทีละน้อย คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ อันเป็นช่วงเวลาที่พลังของนางลดลงตามธรรมชาติ
วูบ!
ไม่ทันให้ตั้งตัว ร่างของถัวเค่อชีพุ่งเข้าหาดั่งสายลม แสงกระบี่ส่องวาบเป็นประกายสีฟ้าดำ เจียงเยว่ตวัดแส้สวนกลับ หวังใช้มันรับแรงปะทะ
ปัง!
เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ทว่าความต่างของพลังในตอนนี้ชัดเจนเกินไป แรงกระแทกทำให้ร่างของเจียงเยว่กระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว
“อึก…!”
นางพยายามควบคุมลมหายใจ รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนไปทั้งแขน
ถัวเค่อชีหัวเราะสะใจ “อะไรนะ? แค่นี้เองหรือ? ศิษย์พี่เจียงเยว่ที่เก่งกาจของพวกเรา กลายเป็นสตรีบอบบางที่ไม่มีเรี่ยวแรงไปแล้วอย่างนั้นรึ? ไหนล่ะแส้อันรุนแรง? ไหนล่ะเวทจันทรา? ไม่มี ไม่มีเลยแม้แต่น้อย!”
เจียงเยว่กัดฟันแน่น ยังไม่จบแค่นี้…!
นางตวัดแส้กวาดเป็นวงกว้าง พยายามใช้ความเร็วชดเชยพลังที่ลดลง แต่ถัวเค่อชีคาดการณ์ได้ เขาตั้งรับได้ทุกการโจมตีของนาง กระทั่งฉวยจังหวะหนึ่ง เตะเข้าที่สีข้างของนางเต็มแรง
“อั่ก!”
ร่างบางกระเด็นไปกระแทกกับพื้นดิน ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย นางพยายามฝืนลุกขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าแขนขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“หมดสภาพเสียแล้วหรือ?” ถัวเค่อชีเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาเป็นประกายคุกรุ่นด้วยความพึงพอใจ
เจียงเยว่กัดฟันแน่น มือกำแส้แน่นพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมแพ้งั้นหรือ…?”
ถัวเค่อชีหัวเราะ ก่อนลอบมองใบหน้าอันงดงาม และรูปร่างทรวดทรงส่วนเว้าโค้งของนาง บังเกิดความคิดชั่วร้าย “ข้ารังเกียจเจ้าจางอี้หมิงยิ่งนัก อายุมันก็เท่าเทียมข้า เพียงแค่มันเข้าสำนักมาก่อนข้าเพียงเล็กน้อย เหตุใดมันจึงได้เป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนัก เหตุใดมันจึงได้ขึ้นเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ข้าเป็นเพียงแค่จุดสูงสุดของศิษย์ระดับล่าง!...”
“ข้ารู้ว่าท่านกับเจ้าจางอี้หมิงมีความคิดที่ลึกซึ้งต่อกัน การจัดการกับเจ้าจางอี้หมิงที่ดีที่สุดในตอนนี้ ข้าคิดว่า คงต้องจัดการกับร่างกายของท่าน ไม่ให้มันได้ลิ้มลอง ดีหรือไม่?”
ถัวเค่อชีเดินตรงเข้าไป หมายจะปลดเปลื้องอาภรณ์ของศิษย์พี่ผู้ไร้เรี่ยวแรง ทว่าทันใดนั้นเอง
ฟุ่บ!
สายลมพัดผ่านอย่างรุนแรง ราวกับม่านรัตติกาลถูกฉีกขาด!
แสงสีฟ้าประกายขึ้นเหนือพื้นดิน พร้อมร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
“ที่แท้ข้าก็มาโผล่ที่นี่ นี่เอง”
ร่างของจางอี้หมิงยืนอยู่หน้าร่างของเจียงเยว่ เขาสวมชุดคลุมสีเขียวภายในสีขาวที่สะบัดพลิ้วตามแรงลม ดวงตาของเขาคมกริบราวกับดาบ
เจียงเยว่ที่ยังคงนอนอยู่บนพื้น มองร่างของบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของนางด้วยความตื้นตัน ดวงตาของนางสั่นไหวก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…?”
จางอี้หมิงหันมายิ้มบาง ดวงตาเจ้าเล่ห์ฉายแววขี้เล่นแวบหนึ่ง “เพราะท่านคิดถึงข้ากระมัง”
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มลงชี้ไปที่กระเป๋าใส่ยันต์ที่ห้องอยู่ข้างเอวของเจียงเยว่ “ที่กระเป๋าใส่ยันต์ของข้าในตัวท่านนั้น ข้าเคยเขียนวิชาอัญเชิญตัวข้าเองเอาไว้ ถึงเวลามันจะเรียกข้ามาเอง”
เจียงเยว่เบิกตากว้าง “เช่นนั้นหรือ…”
จางอี้หมิงยักไหล่เล็กน้อย “เป็นอย่างไร ตรงเวลาที่ท่านต้องการหรือไม่?”
เจียงเยว่ที่นอนอยู่ในสภาพอ่อนล้ากลั้นยิ้มเอ่ยเบา ๆ “ทันเวลาพอดี…”
จางอี้หมิงหัวเราะพลางพยักหน้า เขากำดาบประจำกายไว้แน่น ก่อนจะหันไปประจันหน้ากับถัวเค่อชีที่ยืนรออยู่
“จางอี้หมิง ข้ากำลังรอเวลาที่จะกำจัดเจ้าอยู่พอดี!” ถัวเค่อชีตะโกนออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
“อย่ามัวแต่พูด เข้ามาได้เลย” จางอี้หมิงตอบกลับเสียงเรียบ
ถัวเค่อชีชักกระบี่ออกมา ปราณสีดำทะมึนแผ่ซ่านออกมารอบตัว เปลวพลังลุกโชติช่วงไปตามคมกระบี่ พื้นดินแตกระแหงภายใต้แรงกดดันของพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมา
ในทางกลับกันจางอี้หมิงเพียงแค่ยกดาบของตนขึ้นตั้งตรง ปราศจากปราณใด ๆ ห่อหุ้ม มันเป็นเพียงแค่ดาบเรียบๆ เพียงเท่านั้น
“ท่าทางคงตึงมืออย่างยิ่ง”
ฟุ่บ!
ถัวเค่อชีเป็นฝ่ายพุ่งเข้าใส่ก่อน กระบี่ของเขากรีดผ่านความมืด เปลวพลังสีดำคมกริบราวกับเขี้ยวอสูรพุ่งเข้าหาจางอี้หมิง
ฉั้วะ!
จางอี้หมิงตวัดดาบตั้งรับ เสียงโลหะกระทบกันดังสะท้อนก้องกลางป่า แม้ดาบของเขาจะไร้ปราณ แต่กระบวนท่าของเขาก็นับได้ว่าเหนือธรรมดา
เคล้ง! เคล้ง! เคร้ง!
เสียงกระบี่และดาบปะทะกันอย่างรวดเร็ว ถัวเค่อชีใช้พลังปราณช่วยเสริมแรงโจมตี ขณะที่จางอี้หมิงใช้เทคนิคดาบบริสุทธิ์ล้วน ๆ ต้านรับ
“หนอยย…!?”
ถัวเค่อชีเห็นว่าจางอี้หมิงยังคงรับมือได้ แม้จะไม่มีพลังปราณคุ้มกาย แต่วิชาดาบของเขากลับไร้ช่องโหว่ ทว่า…
“อึก!”
จางอี้หมิงเสียจังหวะเพียงนิดเดียว ร่างของเขาถูกพลังปราณของถัวเค่อชีซัดเข้าใส่โดยตรง ร่างของเขากระเด็นไปด้านหลัง ฝุ่นคละคลุ้งทั่วบริเวณ
“แค่พึ่งพาฝีมือดาบ เจ้าไม่มีวันเอาชนะข้าได้หรอก!” ถัวเค่อชีคำราม พลังปราณพุ่งพล่านกว่าเดิม
จางอี้หมิงยันตัวลุกขึ้น ดวงตาแน่วแน่ แม้เขาจะบาดเจ็บ แต่ท่าทางยังคงสงบนิ่ง
“นั่นสินะ ข้าไม่มีพลังปราณ จะไปทัดเทียมอะไรกับเจ้า” เขาพูดเบา ๆ พลางเช็ดเลือดที่มุมปาก
ราตรียังคงเงียบงัน มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่าน ไร้ซึ่งแสงจันทราและหมู่มวลดารา มีเพียงแสงจางๆ จากโคมไฟเล็กรายทางเท่านั้น
เพล้ง!
จางอี้หมิงปล่อยดาบประจำสำนักในมือลงพื้น ร่างดาบกระทบกับหินดังก้องไปทั่วบริเวณ
ถัวเค่อชีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หึ คิดจะยอมแพ้แล้วหรือ?”
จางอี้หมิงไม่ตอบ แต่เพียงแค่ยืนนิ่ง แววตาของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม คล้ายกับมีพายุพัดโหมอยู่ภายใน เขากล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“ตามกฎสำนัก… การสังหารศิษย์ร่วมสำนักในลานประลอง ไม่มีความผิด หากเป็นนอกลานประลอง ถือว่าผิดทุกกรณี”
เสียงของเขาเนิบช้า ทว่าหนักแน่นดุจคำตัดสินจากผู้พิพากษา “อีกข้อหนึ่งก็คือ การจับศิษย์ที่มีความผิด ต้องจับเป็นเท่านั้น หากจับตาย จะถูกพิจารณาเป็นรายกรณี”
จางอี้หมิงยังคงกล่าวต่อ “การลงโทษหนักสุดก็คือ ถูกขับออกจากสำนัก…แล้วอย่างไร?”
เขายักไหล่ “ข้ากลับไปใช้ชีวิตสุขสบายในจวนอ๋องยังได้ หรือจะออกไปท่องยุทธภพให้ทั่วหล้า ก็คงไม่เลว”
จากนั้น เขาตวัดสายตากลับมาจ้องถัวเค่อชี สายตาที่เยียบเย็นราวใบมีด “เพียงแค่กำจัดกากเดนแบบเจ้าให้หมดไปจากโลก นับว่าคุ้ม”
ฟุ่บ!
จางอี้หมิงขยับมือไปด้านหลัง ก่อนจะจับดาบอีกเล่มที่สะพายไว้
ดาบเล่มนี้… ไม่ใช่ดาบของสำนัก
มันเป็นอาวุธประจำกายของเขา เป็นดาบที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เป็นสิ่งที่เขาแทบไม่ค่อยได้ใช้เลยสำนักมาก่อน ในอดีตสมัยเด็กเขาเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถูกอาจารย์เจ้าสำนักสั่งเอาไว้ หากไม่จำเป็นอย่าใช้ จากนั้นเป็นต้นมาก็แทบไม่ได้ใช้งานเลย
เจียงเยว่ที่ยังนอนอยู่กับพื้น มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางสั่นไหว นางพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
“จางอี้หมิง… เจ้า… คิดจะทำอะไร…”
แต่เสียงของนางแผ่วเบาเหลือเกิน ร่างกายอ่อนแรงจนไม่อาจตะโกนห้ามปรามเขาได้
“ฟ้า… ดิน…”
“คำราม!!”
เปรี้ยงงงง!!
ทันทีที่จางอี้หมิงชักดาบออกมา ฟ้าดินก็พลันสั่นสะเทือน!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นราวกับคำประกาศิตจากสวรรค์ ปราณบริสุทธิ์พวยพุ่งออกจากดาบ เปลวพลังสีขาวเรืองรองแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ คล้ายกับมวลพลังบางอย่างตื่นขึ้น
แรงกดดันของมัน ทำให้แม้แต่ถัวเค่อชียังต้องก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว แววตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือที่กำกระบี่เริ่มมีเหงื่อซึมออกมา
“นี่มัน…อะไรกัน…!?”
แต่ปากของเขาก็ยังไม่หยุดพูด “หึ! คิดว่าข้าจะกลัวหรือ!?”
ฟุบ!
เขาพุ่งเข้าใส่จางอี้หมิง พร้อมกับตวัดกระบี่เต็มแรง!
แต่จางอี้หมิงไม่แม้แต่จะหลบ เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดาบในมือวาดเป็นเส้นแสงสีขาวตัดผ่านความมืด เสียงลมที่ถูกผ่าแหวกเป็นสองส่วน ดาบของเขาตวัดลงมาในพริบตา
ฉัวะ!!
ถัวเค่อชีชักกระบี่ขึ้นต้านรับเต็มแรง แต่…
เปรี้ยง!!!
ทันทีที่ดาบของจางอี้หมิงปะทะกับกระบี่ของถัวเค่อชี กระบี่เล่มนั้นก็แตกหักเป็นเสี่ยงๆ
กร๊อบ!!
เสียงกระดูกแตกดังขึ้น ร่างของถัวเค่อชีแข็งค้าง เขาค่อย ๆ ก้มมองร่างกายของตนเอง
เสี้ยววินาทีต่อมา…
“อั่ก!!”
ร่างของถัวเค่อชีถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน!
เลือดพุ่งกระจายไปทั่วพื้น กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งในอากาศ ร่างของเขาร่วงลงสู่พื้นโดยไร้ซึ่งลมหายใจ
ดาบของจางอี้หมิงยังคงเปื้อนโลหิตของศัตรูสีแดงฉาด เขายืนสงบนิ่ง ปล่อยให้สายลมกลางคืนพัดผ่านร่างไป
เจียงเยว่เบิกตากว้าง นางอ้าปากค้าง พยายามจะเอ่ยคำพูดออกมา แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงใด ๆ
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร