เข้าสู่ระบบ
บทนำ
เด็กน้อยในวันเพียง 7 ปีเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักของผู้เป็นมารดา ตั้งแต่นางจำความได้ไม่มีวันไหนที่ท่านแม่จะดุด่าหรือทุบตีนางเลยสักครั้งเดียว มีเพียงรอยยิ้มและน้ำเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยนที่ดังก้องไปในจิตใจของเด็กน้อย ทว่าในทางกลับกันนางกลับเห็นท่านแม่แอบมานั่งร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุก็เป็นเพราะบิดาผู้ให้กำเนิดนางนั้นเอง จนกระทั่งในวันที่อากาศสดชื่นแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดแสงลงมา ตัวนางกลับต้องแยกจากอกของมารดา เพียงเพราะผู้เป็นใหญ่แห่งแว่นแคว้นเล็งเห็นว่าจะใช้นางให้เป็นประโยชน์ได้ เขาส่งนางไปฝึกให้เป็นสายลับที่พร้อมจะพลีชีพเพื่อแคว้นจ้าว! นับจากวันนั้นชีวิตอันเรียบง่ายของนางก็จบสิ้นลง มีเพียงต้องตื่นมาฝึกหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หากนางทำไม่ดีหรือไม่เป็นที่น่าพอใจก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ซ้ำร้ายมารดาที่อยู่ไกลออกไปยังถูกลงโทษเสียด้วย ชีวิตของนางราวกับตกอยู่ในขุมนรก มีวันคืนที่แสนเลวร้ายจนอยากจะปลิดชีพของตัวเองในวัยที่ 10 แต่เพราะการได้พบหน้ามารดาอีกครั้งทำให้ความคิดของนางเปลี่ยนไป... "ซิงเอ๋อร์... อดทนไว้นะลูก อย่าได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของเรา แม่เชื่อว่าในที่สุดสวรรค์จะต้องเห็นใจเราสองแม่ลูกเป็นแน่ ขอเพียงเราไม่ยอมแพ้" "ท่านแม่... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ข้าไม่อยากเป็นสายลับ เหตุใดถึงต้องเป็นข้าด้วย" นางร่ำไห้ออกมาด้วยความไม่เข้าใจที่ชีวิตของตัวเองต้องพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ การถูกฝึกให้เป็นสายลับช่างยากเย็นนัก ไม่เคยมีวันไหนที่ร่างกายนี้จะไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลย "ต้องโทษที่แม่เกิดมาต่ำต้อยจึงทำให้เจ้าต้องลำบากถึงเพียงนี้ แม่ขอโทษซิงเอ๋อร์ แม่ขอโทษ..." 'หานซีอิ๋ง' โอบกอดบุตรสาวเพียงคนเดียวด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ ยิ่งเห็นบุตรสาวร้องไห้อย่างหนัก ภายในใจของนางก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม ต้องโทษที่นางอ่อนแอไร้กำลังจะปกป้องบุตรสาวเพียงคนเดียวได้ หากนางเลือกได้คงไม่คิดจะเหยียบย่างเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ กลายเป็นเบี้ยล่างให้กับคนไร้หัวใจผู้นั้นเป็นอันขาด "ท่านแม่ไม่ผิดเลยเจ้าค่ะ เป็นเขาต่างหากที่ผิดต่อเราสองแม่ลูก!" 'เหมยซิง' ดรุณีน้อยผู้ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารกอดตอบมารดาแน่นด้วยความคั่งแค้นในอก ทุกคืนวันอันแสนลำบากในสถานที่แห่งนั้น นางล้วนจดจำได้เป็นอย่างดี แม้เขาจะเป็นผู้ให้กำเนิดทว่าตัวนางกลับไม่เคยคิดเรียกเขาว่าบิดาเลย คนเช่นนั้นน่ะหรือจะเป็นบิดาได้อย่างไรกัน! "แม่ขอโทษที่ทำให้ลูกต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้" เหมยซิงที่ร้องไห้พลันเงียบเสียงลง ในนัยน์ตาคู่สวยพลันสาดแสงแห่งความหวังออกมา นางจะไม่มีวันยอมแพ้กับโชคชะตาของตนเองเป็นอันขาด นางเชื่อว่าหากยังมีความหวังและไม่ยอมแพ้ สักวันหนึ่งจะต้องหลุดพ้นจากขุมนรกนี้ได้อย่างแน่นอน... แม้ความหวังจะดูริบหรี่นักก็ตาม "ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ สักวันหนึ่งข้าจะต้องพาท่านแม่หนีจากคนผู้นั้นให้จงได้ ข้าสัญญา..." เหมยซิงขยับตัวออกห่างจากอ้อมกอดของมารดา ในแววตาของนางทอประกายแห่งความมุ่งมั่นออกมาอย่างเปี่ยมล้น ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะร้องไห้เช่นนี้ "เหมยซิงของแม่ เจ้าช่างเข้มแข็งยิ่งนัก... เหมือนท่านตามิมีผิดเลย" หานซีอิ๋งพลันร้องไห้โหออกมาเมื่อนึกถึงบิดาที่ได้จบชีวิตลงแล้ว และสาเหตุการตายของบิดาก็มาจากคนผู้นั้น เหตุเพราะมาช่วยนางกับลูกให้หนีออกไปจากแคว้นจ้าว ทว่าพวกนางก็ไม่อาจหนีคนผู้นั้นพ้น สุดท้ายคนที่รักนางกับลูกมากที่สุดก็ต้องมาจบชีวิตอย่างน่าอนาถเช่นนี้! "ข้าเป็นหลานของท่านตา ข้าย่อมต้องเข้มแข็งและกล้าหาญอย่างท่านตาเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าร้องไห้เลยนะเจ้าคะ รอข้า... ข้าสัญญาว่าจะต้องพาท่านหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ" เหมยซิงเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนแก้มนวลเนียนของมารดาทิ้งออกไป... นางจะทำให้ความฝันของตนและท่านแม่เป็นจริงให้จงได้! 8 ปีผ่านไป บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่มีแคว้นต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทว่าแคว้นที่ดูมีอำนาจกลับมีไม่มากนัก ไกลออกไปทางทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของแคว้นใหญ่อย่างแคว้นฉิน เหนือสุดของแผ่นดินใหญ่มีแคว้นใหญ่อย่างแคว้นเซี่ยที่รวบรวมแคว้นข้างเคียงเข้ามาเป็นปึกแผ่น และแคว้นเว่ยที่แข็งแกร่งด้วยกำลังทหาร โดยแคว้นเว่ยมีกำลังทหารอันกล้าแกร่งภายใต้การนำของ 'ชินอ๋องเว่ยสือหยาง' ผู้เป็นพระอนุชาคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ เขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แห่งแคว้นเว่ย เป็นโล่มีชีวิตที่คอยปกปักดูแลความสงบของแคว้น ทว่าตัวเขากลับได้รับการขนานนามว่า 'แม่ทัพบ้าเลือด' ในตอนนี้เขาได้รับหน้าที่มาดูแลยังชายแดนเหนืออันอยู่ติดกับแคว้นจ้าว แคว้นเล็ก ๆ ที่กลับมีเหมืองแร่มากมายที่ใช้ผลิตอาวุธอันล้ำค่า โดยที่ตั้งของแคว้นจ้าวกลับลึกลับซับซ้อน อันเนื่องมาจากอยู่ภายในขุนเขาอันสูงชันที่โอบล้อมราวกับกำแพงธรรมชาติ แคว้นจ้าวกับแคว้นเว่ยคือศัตรูคู่อาฆาตกันมาอย่างช้านานตั้งแต่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งแคว้น เว่ยสือหยางเคยคิดจะบุกเข้าไปตีแคว้นจ้าวอยู่หลายครั้ง ทว่าด้วยไม่สันทัดในชัยภูมิอันเป็นภูเขาสูงชันที่เต็มไปด้วยหมอกและสัตว์พิษที่อันตราย ทำได้เพียงคุมเชิงและเฝ้าระวังภัยเท่านั้น ขณะเดียวกันแคว้นจ้าวที่มีกำลังคนน้อยกว่าก็มิอาจบุกตีแคว้นเว่ยได้เช่นกัน ทั้งสองแคว้นต่างคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้มาเกือบร้อยปีแล้ว! "รายงาน! มีสารลับจากแคว้นฉินพ่ะย่ะค่ะ" 'หลิ่งอี้' องครักษ์มือซ้ายของเว่ยสือหยางเข้ามาพร้อมกับกระบอกส่งสารลับ เขารีบส่งมอบให้กับเจ้านายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยมีไม่บ่อยนักที่แคว้นฉินจะส่งสารมาด้วยตนเอง เว่ยสือหยางหยิบสารลับขึ้นมาเปิดอ่านทันที เขากวาดสายตาคมดุกวาดตาอ่านเพียงรอบเดียวก็เข้าใจได้ ก่อนจะนำสารลับนั้นไปลนไฟกับตะเกียงเพื่อทำลายทิ้ง "ชินอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" "แคว้นจ้าวจะส่งสายลับเข้ามาในคืนนี้ คาดว่าจะเป็นนางคณิกาที่แฝงตัวเข้ามาในงานเลี้ยงของจวนเจ้าเมือง" "เช่นนั้นกระหม่อมจะเตรียมการจับกุมนางทันทีพ่ะย่ะค่ะ" หลิ่งอี้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง "เจ้าไม่คิดว่านี่เป็นโอกาสของเราเช่นกันหรือ เพราะแคว้นจ้าวมีทางเข้าออกที่ลึกลับซับซ้อนทำให้เรามิอาจส่งคนเข้าไปแฝงตัวในแคว้นจ้าวได้โดยง่าย ในเมื่อทางนั้นเป็นคนส่งคนเข้ามาเองเราก็ควรต้อนรับนางให้ดีเสียหน่อยสิ" ริมฝีปากหยักพลันยกโค้งเป็นรอยยิ้มอันน่าขนลุก "ชินอ๋องทรงหมายถึงให้ปล่อยนางไปก่อนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" "ใช่! สายลับผู้นี้ข้าจะทำให้นางยอมเผยความลับของแคว้นจ้าวเอง!" "เช่นนั้นกระหม่อมจะคอยจับตามองนางเองพ่ะย่ะค่ะ หากแม้นว่านางมีแผนการจะมาลอบสังหารชินอ๋องกระหม่อมจะได้ฆ่าทิ้งทันที" คิ้วกระบี่พลันกระตุกเมื่อได้ฟังคำของหลิ่งอี้ ก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นห่วงแต่เขาหาใช่เด็กน้อยไม่ แค่สายลับคนหนึ่งจะสามารถเอาชีวิตของเขาได้เลยหรือ ช่างน่าขันนัก! เขาเป็นถึงศิษย์เอกคนสำคัญของท่านอาจารย์สวี่เหอ ผู้เป็นปรมาจารย์ทางด้านดาบของสำนักดาบเฟิ่งเทียนเชียวนะ "เจ้าคิดว่าข้าฆ่านางไม่ได้หรือ" หลิ่งอี้ที่เห็นว่าชินอ๋องกำลังมีสีหน้าหงุดหงิดก็รีบคุกเข่าลงทันที "หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ชินอ๋องทรงเก่งกล้าสามารถจะถูกสายลับจากแคว้นจ้าวทำร้ายได้อย่างไร เพียงแต่กระหม่อมแค่ไม่อยากให้ชินอ๋องต้องทรงมาใส่ใจกับสายลับตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ" เว่ยสือหยางเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไร เขาโบกมือให้หลิ่งอี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ใส่ใจนัก "ช่างเถอะ เจ้าส่งคนไปสืบดูว่าคืนนี้มีนางคณิกาเข้าร่วมงานเลี้ยงกี่คน และมาจากหอใดบ้าง" "พ่ะย่ะค่ะ เอ่อ... มีอีกเรื่องเกี่ยวกับคุณหนูโจวพ่ะย่ะค่ะ" "เรื่องอะไรอีก ข้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่าถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญไม่ต้องรายงาน" หลิ่งอี้พลันเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกริ่งเกรง เขาก็รู้อยู่หรอกว่าชินอ๋องไม่ชอบแต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า จะไม่รายงานก็ไม่ได้เสียด้วย "คุณหนูโจวจะเดินทางมาที่แดนเหนือพ่ะย่ะค่ะ โดยมาพร้อมกับคณะแพทย์หลวงที่จะถูกส่งมากับกองทัพของท่านรองแม่ทัพโจวพ่ะย่ะค่ะ" "บัดซบ!" เว่ยสือหยางพลันสบถออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญใจนัก หากเป็นศัตรูก็สามารถฆ่าทิ้งได้โดยง่ายอย่างไม่นึกลังเล ทว่าคุณหนูโจวผู้นี้คือคุณหนูคนสำคัญของตระกูลโจว บิดาของนางคืออัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย ทั้งยังมีพี่ชายเป็นสหายสนิทของเขา แล้วยังพ่วงตำแหน่งเป็นถึงรองแม่ทัพด้วย ผู้ใดจะรู้ว่าแค่การช่วยเหลือนางเพียงครั้งเดียวจากการถูกโจรวิ่งราวเมื่อ 3 ปีก่อน จะทำให้นางมาหลงใหลเขาถึงเพียงนี้ ทั้งฝ่าบาทยังเห็นดีเห็นงามที่จะให้เขาแต่งงานกับนางด้วย แต่เขาไม่ได้รักนางจะแต่งนางเป็นภรรยาได้อย่างไรกันเล่า! เว่ยสือหยางพลันรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาทันที!ตอนพิเศษ 2เมิ่งเอ๋อร์เหมยซิงต้องมาอยู่ไฟในห้องด้านข้างเพื่อปรับสมดุลร่างกายที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตร ทว่าในทุกวันเว่ยสือหยางจะอุ้มบุตรสาวตัวน้อยมาหานาง เพื่อมาดื่มน้ำนมจากอกของนางทุก ๆ 1 ชั่วยาม (2 ชั่วโมง) หลังจากนั้นก็จะส่งเว่ยซิงเมิ่งให้กับแม่นมไปดูแลต่อ ส่วนเว่ยสือหยางก็จะอยู่เป็นเพื่อนเหมยซิง พูดคุยกับนางเพื่อให้คลายความเหงาลง"พรุ่งนี้ท่านหมอเทวดาและท่านแม่ยายก็น่าจะเดินทางมาถึงแล้วล่ะ พี่ได้ส่งคนไปคอยรับพวกท่านทั้งสองแล้ว""ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่ ยังคงเป็นเสด็จที่นึกถึงข้าเสมอมา""ก็เจ้าเป็นคนที่พี่รักอย่างไรเล่า ตอนนี้เจ้าคงอยากจะพบหน้าท่านแม่ยายมากที่สุดใช่หรือไม่ รออีกนิดนะซิงเอ๋อร์""เพคะเสด็จพี่ ว่าแต่... ไทเฮาก็ยังทรงประทับที่จวนของเราหรือเพคะ นี่ก็นานกว่าสิบวันแล้วนะเพคะ""หึ ๆ เห็นทีไทเฮาจะทรงมาเป็นแขกของจวนเราไปอีกนานเลยล่ะ พระนางทรงเอ็นดูเมิ่งเอ๋อร์ของเรามากเหลือเกิน ในทุกวันจะต้องไปที่ห้องของเมิ่งเอ๋อร์เพื่อพูดคุยหยอกล้อ แม้ส่วนมากเมิ่งเอ๋อร์จะนอนหลับก็ตาม" ใบหน้าหวานพลันคลี่ยิ้มหวานเมื่อรู้เช่นนี้ "ทำไมหม่อมฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองจะถูกแย่งบุตรสาวไปเลยล่ะเพคะ" นางเอ่ย
ตอนพิเศษ 1ดวงใจของทุกคนท้องของเหมยซิงโตขึ้นมากทุกวัน จนตอนนี้ก็ใกล้จะถึงกำหนดคลอดแล้ว เจิ้งไทเฮาได้ส่งหมอหญิงที่มีฝีมือดีในการทำคลอดมาที่จวนชินอ๋อง ในขณะที่กู้ฮองเฮาได้ส่งนางกำนัลให้มาช่วยดูแลเหมยซิงทุกฝีก้าว การดูแลเหมยซิงที่ท้องแก่จะต้องระวังทุกฝีก้าวย่าง จะให้ผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด "โอ๊ย! ข้าเจ็บท้องเหลือเกินจูจู" เหมยซิงจับท้องของตนเมื่อรู้สึกถึงความปวดหน่วงตรงท้อง ใบหน้าหวานขมวดมุ่นด้วยความทรมานที่เคยพานพบเป็นครั้งแรก "พระชายาจะคลอดแล้วหรือเพคะ มะ หม่อมฉันจะรีบไปทูลท่านอ๋องเพคะ"จูจูรีบวิ่งไปบอกกับท่านหลิ่งเอ้อร์ให้ไปส่งข่าวท่านอ๋องที่อยู่ในท้องพระโรงทันที ในขณะที่นางกำนัลของกู้ฮองเฮาก็เข้ามาประคองเหมยซิงไปยังห้องทำคลอด โดยมีท่านหมอหญิงรีบเข้ามาดูอาการโดยไวหลังจากนั้นภายในจวนชินอ๋องก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย บ่าวไพร่ในจวนต่างมายืนรอกันอยู่หน้าเรือนของเหมยซิง เฝ้ารอที่จะร่วมยินดีกับการให้กำเนิดท่านชายหรือท่านหญิงน้อยเว่ยสือหยางที่ทราบข่าวก็รีบตรงดิ่งกลับจวนทันที ถึงแม้ว่าในขณะนั้นในท้องพระโรงกำลังประชุมเรื่องสำคัญ ทว่าเขาหาได้สนใจไม่ ซึ่งเว่ยเฟยอวี่ก็ได้สั่งให้เลิกประชุ
บทส่งท้ายหลังจากงานแต่งงานไม่กี่วัน ก็มีเหตุให้เว่ยสือหยางต้องเร่งเดินทางไปยังแคว้นเซี่ย เพื่อไปช่วยศิษย์น้องเล็กทำสงครามกับพวกไม่กลัวตาย กล้าดีอย่างไรถึงกล้ามาชิงสตรีในดวงใจของเซี่ยหย่งจื้อช่างไม่กลัวตายเสียเลย!หลายเดือนต่อมากองทัพของชินอ๋องได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงหลังจากที่ใช้ระยะเวลาเกือบสามเดือน ทั้งที่ความจริงควรจะถึงตั้งแต่เดือนที่แล้วทว่าเพราะเว่ยสือหยางเป็นห่วงเหมยซิงและท่านแม่ยาย จึงได้ระมัดระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวของเหมยซิงก็มีอาการไม่สู้ดีนัก เขาผู้เป็นสามีก็ต้องดูแลนางให้ดีที่สุด"ในที่สุดเจ้าก็มาถึงสักทีนะอาหยาง ข้ารอเจ้ามาหลายเดือนแล้ว เสด็จแม่เองก็ทรงบ่นหาเจ้าทุกวันจนข้าตอบไม่ถูกแล้ว"'เว่ยเฟยอวี่' ฮ่องเต้แห่งแคว้นเว่ย ผู้เป็นพระเชษฐาต่างมารดาของเว่ยสือหยาง ถึงแม้ว่าไทเฮาผู้เป็นพระมารดาของฮ่องเต้จะไม่ใช่มารดาแท้ ๆ ของเว่ยสือหยาง แต่เพราะรับเลี้ยงเว่ยสือหยางมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงรักใคร่มิต่างจากบุตรชายตนเอง อีกทั้งเว่ยเฟยอวี่ก็ทรงรักเอ็นดูน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก"ขออภัยฝ่าบาทที่กระหม่อมเดินทางมาถึงล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ"เว่ยเฟยอวี่โบกมือให้เว่ยสือหยางลุกขึ้น ที่พระองค
บทที่ 30ชุดเจ้าสาวที่เปื้อนเลือดฉินจินมิอาจรับความจริงในเรื่องนี้ได้ ตัวเขารู้สึกสมเพชตัวเองยิ่งนัก ทว่าความรู้สึกที่เด่นชัดมากที่สุดคือความโกรธ ที่เหมยซิงมาล่วงรู้ความในใจของตน"เจ้าไม่คิดจะรักข้าใช่หรือไม่""ใช่! คนเดียวที่ข้ารักคือท่านอ๋อง และจะเป็นท่านอ๋องตลอดไป""ดี ดีมาก... เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดกาลที่มาทำร้ายความรู้สึกของข้าเช่นนี้ ย๊ากกก!"ดาบในฝักถูกควักออกมาฟาดฟันใส่ร่างของเหมยซิงด้วยความรุนแรง ทว่าตัวนางที่ได้รับคำชื่นชมเรื่องวรยุทธ์ในหมู่สายลับ จะพลาดท่าให้กับฉินจินในดาบเดียวได้อย่างไร "หึ! ฝีมือเจ้าต่ำกว่าข้ามากนักฉินจิน"ร่างบอบบางเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ทว่ากลับพลิ้วไหวดุจดั่งสายลมในวสันต์ฤดู ตัวนางดีดกายหลบการโจมตีทุกกระบวนท่าของฉินจินได้ทั้งหมด ก่อนที่มีดสั้นในมือจะเขวี้ยงเข้าใส่จุดตายของฉินจิน แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้อ่อนด้อยถึงเพียงนั้น "ใช่ ข้ายอมรับว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้"ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉินจินผุดยิ้มร้าย ก่อนจะสาดผงสลายลมปราณเข้าใส่ร่างของเหมยซิงอย่างรวดเร็ว เหมยซิงที่ระวังตัวอยู่ก่อนแล้วหมุนตัวหลบออกไปได้ทัน แต่เพราะสายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให
บทที่ 29แหย่หนวดพยัคฆ์หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเช้าในการคำนับฟ้าดินและพ่อแม่แล้ว เหมยซิงก็ถูกแม่สื่อพาตัวไปนั่งรออยู่ในห้องหอ ในขณะที่เว่ยสือหยางจำต้องไปดื่มสุรากับแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งงานนี้โจวหมิงลู่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการขอคารวะจอกสุรากับเว่ยสือหยางไปหลายจอก ด้วยตัวเองก็รู้สึกหมั่นไส้ท่านอ๋องผู้นี้ไม่น้อยเลยทางด้านเหมยซิงที่นั่งรออยู่ในห้องหอนั้น โดยมีจูจูผู้บัดนี้ได้กลายมาเป็นสาวใช้ข้างกายของนางแล้ว สาวใช้ตัวน้อยเดินถือถาดอาหารของว่างเข้ามา ด้วยกลัวว่าผู้เป็นนายจะรอนานจนหิว "พระชายาทรงหิวหรือไม่เพคะ หม่อมฉันได้ให้คนครัวจัดทำน้ำแกงปลามาให้เพคะ และยังมีขนมดอกกุ้ยฮวาด้วยนะเพคะ"เหมยซิงคลี่ยิ้มบางด้วยความขอบคุณ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเพื่อทานอาหารรองท้อง ในตอนที่นางกำลังตักอาหารเข้าปาก สัมผัสอันว่องไวพลันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากบนหลังคา เหมยซิงวางช้อนลงบนโต๊ะ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วจุ่มลงไปในถ้วยน้ำชา เขียนอักษรให้จูจูได้อ่าน 'มีคนร้าย ไปตามท่านอ๋อง'นับว่าไม่เสียแรงที่เหมยซิงเคยสอนตัวอักษรให้กับจูจู และอีกฝ่ายก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วนัก "เอ่อ พระชายาอยากได้สิ่งใดอีกหรือไม่เพคะ" จูจูพยายามไม่
บทที่ 28แก้วตาดวงใจจวนเจ้าเมืองเป่ยซีหานซีอิ๋งผู้เป็นมารดาของเหมยซิงกำลังบรรจงปักปิ่นทองระย้า อันเป็นปิ่นที่สืบทอดมาจากคนตระกูลหานลงบนมวยผมของเหมยซิงด้วยความตื้นตันใจ ทุกคราที่มองปิ่นปักผมอันนี้ นางจะคิดถึงวันที่ท่านพ่อปักปิ่นให้นางในวันที่ถูกส่งตัวเข้าสู่วังหลังของจ้าวเทียน เพราะสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย นางจึงมีเพียงท่านพ่อที่อยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด"ซิงเอ๋อร์ของแม่งามมากเหลือเกิน หากท่านตายังอยู่คงจะดีใจกับเจ้าอย่างแน่นอน" หานซีอิ๋งถอยออกมาพินิจดูบุตรสาวที่แต่งกายด้วยชุดมงคลสีแดงสดอย่างงดงาม ดวงตาคู่สวยที่เหมือนกับบุตรสาวเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความดีใจ นางดีใจที่บุตรสาวสามารถแต่งงานกับบุรุษที่รักได้อย่างภาคภูมิ ถึงแม้ตัวนางจะไม่ได้มีโอกาสนั้น ทว่าขอเพียงได้ยืนส่งบุตรสาวขึ้นเกี้ยวมงคลแปดคนหามนางก็ดีใจแล้ว"ท่านแม่คิดถึงท่านตามากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ" เหมยซิงเอื้อมมือไปจับมือมารดาเพื่อปลอบประโลมหานซีอิ๋งพยักหน้ารับว่าตนคิดถึงบิดาจริง ๆ เมื่อเห็นว่าบุตรสาวมีสีหน้าเป็นกังวลนางจึงคลี่ยิ้มหวาน วันมงคลของบุตรสาวจะมาคิดเรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองไม่ได้"ยามนี้ไม่เช้าแล้ว เราอ







