กลิ่นฟางเปียกกับกลิ่นม้าอบอวลทั่วคอก ร่างบางของคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาถูพื้นดินที่เปื้อนโคลนและมูลม้าด้วยมือเปล่า ๆ
เสื้อตัวบางยังเปียกชื้นแนบตัว ผมยาวถูกรวบขึ้นลวก ๆ น้ำหยดลงจากปลายเส้นผมขณะเธอขยับมืออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ธราดลยืนพิงรั้วไม้ ห่างออกมาไม่กี่ก้าว ดวงตาคมจ้องมองเธอไม่วางตา สีหน้าอ่านอารมณ์ได้ยากนัก แต่ในแววตากลับนิ่งลึกจนแทบสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปะทุอยู่เงียบ ๆ ลูกน้องสองสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำท่าจะเดินเข้ามาช่วย แต่เจ้านายหนุ่มเพียงยกมือขึ้นช้า ๆ ไม่ต้องพูดอะไร เสียงฝีเท้าก็หยุดกึก “พวกนายออกไปก่อน” เขาออกคำสั่งเสียงเรียบ ไม่ต้องเสียงดัง แต่อำนาจแฝงอยู่ในทุกถ้อยคำที่พูด ลูกน้องหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวถอยหลังออกจากคอกม้า ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน กับเสียงแปรงขัดไม้ที่คนตัวเล็กยังคงก้มหน้าก้มตาทำต่อไปอย่างมุ่งมั่น เธอรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่ไม่อยากเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ใช่ไม่กล้า...แค่ไม่อยากเห็นคนทำหน้ายักษ์ถมึงทึงก็เท่านั้น “จะล้างให้สะอาดก็ต้องใช้แรงเพิ่มขึ้นอีก” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นในที่สุด เธอเงยหน้าขึ้นทันที แววตาต่อต้านผสมความเหนื่อยยิ่งเพิ่มดีกรีความอดทนให้ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ต้องมายืนเฝ้าแบบนี้หรอกค่ะ ฉันอึดอัด!” เธอโพล่งออกไปทั้งที่น้ำเสียงสั่น “ไม่ได้เฝ้า แค่อยากดูว่าเธอจะทำงานได้เก่งเท่าปากรึเปล่า?...ก็แค่นั้น” เขาตอบกลับออกไป แล้วพิงรั้วต่ออย่างใจเย็น ขณะที่เธอแทบอยากจะเขวี้ยงแปรงใส่เขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด แดดยามบ่ายแสนร้อนอบอ้าวผนวกกับความชื้นในคอกม้าอบอวลผสมกับกลิ่นฟางและมูลสัตว์ หากร่างบางยังคงกัดฟันแน่นก้มหน้าก้มตาขัดพื้นไม้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสื้อเปียกชื้นแนบเนื้อเริ่มแห้งแต่เหงื่อก็ผุดขึ้นแทนที่เต็มแผ่นหลัง ลมหายใจเริ่มติดขัด มือที่จับแปรงสั่นเล็กน้อย วิมลลักษณ์กัดฟันแน่น ฝืนตัวเองจนเกินไป ใจบอกให้หยุด แต่วิญญาณของความดื้อดึงยังคงสั่งให้เธอทำต่อ...โดยเฉพาะเจ้านายแสนใจดำอำมหิตคนนั้นที่ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนไกล หากขายาว ๆ นั้นเดินออกไปเพื่อใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ในการฉีดพื้น ผนังคอก รางน้ำและที่ให้น้ำบริเวณอีกฝั่งของคอก แปรงในมือหลุดลงพื้นตอนที่ร่างบางพยายามยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ใจเต้นแรง ร่างกายโงนเงน โลกทั้งใบหมุนคว้างไปหมด เสียงรอบข้างค่อย ๆ จางลง เธอเอื้อมมือคว้าไปบนอากาศ แต่กลับไม่สามารถคว้าอะไรได้เลยสักอย่าง แล้วในที่สุดทุกอย่างก็ดับวูบลง ร่างของเธอทรุดฮวบลงกับพื้น ดีที่ยังมีฟางแห้งรองรับร่างบางนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นในวินาทีต่อมา ธราดลที่ยืนอยู่ไม่ไกลแทบจะพุ่งเข้ามาในทันที “มน! ตื่นสิ!” คนตัวโตทรุดตัวลงข้างเธอ มือใหญ่ประคองไหล่บางขึ้นมา ดวงหน้าเธอซีดเผือด เหงื่อซึมทั่วขมับ ลมหายใจอ่อนแรงจนแทบจับอัตราจังหวะการเต้นของหัวใจไม่ได้ “อย่าเพิ่งตายไปซะก่อนก็แล้วกัน…” เสียงเขาแผ่วลงจนน่าประหลาด ดวงตาคมมองเธออย่างร้อนรน ก่อนจะตัดสินใจช้อนร่างของเธอขึ้นในอ้อมแขน ร่างบอบบางผอมแห้งจนเกินไป รู้ว่าอ่อนแอแต่ก็ยังอวดดี อวดเก่ง ก่อนจะอุ้มร่างบางขึ้นบนหลังม้าโดยมีเขาคอยคุมบังเหียน ปลายทางคือเรือนใหญ่ของเขา...ที่ ๆ เขาไม่เคยนึกอยากให้คนตรงหน้าไปย่างกรายในรอบหลายปีที่ผ่านมา หากมนุษยธรรมที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่บอกกับเขาว่า...อย่างน้อยเธอก็ไม่ควรตายในไร่ของเขา ท้ายที่สุดคนอื่นอาจจะมองได้ว่าเขาเป็นฆาตกร...เพื่อเอาคืนในสิ่งที่แม่เธอเป็นคนทำ แม้ใจจะนึกเกลียดคนตรงหน้ายิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกทั้งหมด...แต่เหตุผลที่คัดค้านอยู่ภายในความคิดของตนตอนนี้... ล้วนสั่งให้ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์อย่างเธอเอาไว้เสียก่อน... อย่างน้อยก็จนกว่าจะจับฆาตกรเข้าคุกได้นั่นล่ะ...จึงจะยอมปล่อยเธอไป ธราดลช้อนร่างบางขึ้นแนบอกอย่างรวดเร็ว ฝ่าแขนแกร่งโอบกระชับแน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปจากอ้อมกอดได้ทุกเมื่อ ร่างของเธอเบาราวกับขนนก ใบหน้าซีดเซียวซบอยู่กับอกเขาโดยไร้สติ "องุ่น...รีบตามมาเช็ดตัวพี่สาวเธอที!" คนปากหนักสั่งเสียงเข้มเอ่ยบอกสาวน้อยวัยสิบสี่ที่มักจะมาทำความสะอาดเรือนใหญ่กับผู้เป็นแม่ที่กำลังทำอาหารเย็นให้นายนายหนุ่มที่ครัวเป็นประจำ เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นแต่เร่งรีบ ทันทีที่ถึงเรือนใหญ่ คนตัวโตหน้าดุจึงรีบอุ้มเธอลงจากอานม้าตรงขึ้นไปยังชั้นบนอย่างลืมตัว พาเข้าไปในห้องนอนของเขาเองโดยไม่ลังเล วางร่างเธอลงบนเตียงผ้าห่มสีเข้ม “อย่าอวดเก่งให้มันมากนัก…” เขาพึมพำเบาๆ ขณะย่อตัวลงนั่งข้างเตียง นิ้วมือสัมผัสใบหน้าเธอแผ่วเบา เธอยังไม่ฟื้น แต่หายใจสม่ำเสมอขึ้นนิดหน่อย ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! "ขออนุญาตเข้าไปค่ะนาย" สาวน้อยผมสั้นเต่อที่ฉลาดเป็นกรดไม่ลืมที่จะยกถังใบเล็กพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กติดมือมาด้วยตามคำสั่งของเจ้านายเมื่อครู่ "พี่มนเป็นอะไรเหรอคะ?" เอ่ยถามออกไปตามประสาซื่อ แม้จะนึกแปลกใจอยู่ครามครันว่าเพราะเหตุผลใดนายถึงพาพี่สาวคนสนิทของเธอกลับมาที่เรือนใหญ่ด้วย ปกติเห็นเกลียดกันยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน "เป็นลมที่คอกม้าน่ะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าฉันใช้งานลูกน้องจนเป็นลมตายไปเสียก่อน" สาวน้อยวัยสิบสี่พยักหน้าอย่างกำลังทำความเข้าใจ เดินกลับมานั่งลงข้าง ๆ แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าผากและซอกคอให้ร่างบางตรงหน้าด้วยความอ่อนโยน... "สงสารพี่มนชะมัด..." สาวน้อยอดพึมพำเบา ๆ ไม่ได้ ด้วยกลัวว่าเจ้านายจะได้ยินแล้วตัวเธอเองจะพลอดถูกเอ็ดไปด้วย “เอ่อ...นายคะ” "มีอะไร?" คนตัวโตนึกรำคายคนตรงหน้าที่เหมือนจะพูดอะไรกับเขา...แล้วก็ไม่พูด "คือ...ตัวพี่มนร้อนมากเลยค่ะ คือ...หนูต้อง..." "ต้องอะไรก็รีบพูดมาสิ...อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แล้วฉันจะรู้ไหม?" เสียงห้วนเอ่ยตอบกลับไปด้วยความร้อนรน...รู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ อย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยจะได้ สายตาก็คอยชำเลืองมองคนป่วยอยู่บนเตียงที่ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย "คือหนูต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพี่มนค่ะ ความหมายก็คือต้องถอดเสื้อผ้าพี่มนออกนั่นแหละค่ะ เสื้อผ้าพี่มนเปียกไปหมดเลย แล้วพอเปลี่ยนเสร็จแล้ว...นายจะให้พี่มนใส่อะไรคะ?" ทันทีที่เจ้านายสั่งให้พูดก็ดูเหมือนว่าสาวน้อยตรงหน้าจะพูดรัวและเร็วจนไม่มีช่องว่างในการเว้นจังหวะให้หายใจ ความหมายที่แท้จริงของเธอก็คือ...คนตรงหน้าควรออกไปสักที แต่ก่อนจะออกไปก็ควรบอกให้เธอรู้เสียหน่อยว่า... พี่สาวของเธอที่นอนแบ็บอยู่บนเตียงจะสามารถใส่สิ่งใดห่อหุ้มร่างกายได้ หรือให้นอนเปลือยล่อนจ้อน...อย่างนั้นหรือ? คงไม่เหมาะมั้ง "เสื้อฉันในตู้...เธอหยิบไปให้เขาใส่ได้เลย" "งั้นหนูรบกวนนาย..." "ฉันรู้แล้ว...พอเธอตื่นก็ไล่ให้กลับไปเลยนะ ฉันจะแวะไปที่รีสอร์ตก่อน" คนตัวโตทำทีเป็นไม่สนใจ ก่อนจะเดินปึงปังออกไปจากห้องนอนของตนเอง จนองุ่นอดยิ้มตามไม่ได้ "โธ่เอ้ย!...ทำเป็นไม่สนใจเขา เป็นห่วงล่ะสิ หนูมองออกหรอกน่า" ประทับจิตเอ่ยออกไปพร้อมกับหัวเราะอย่างเต็มเสียง มือบางก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่สาวคนสวยตรงหน้าไปด้วย แม้เธอจะเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่ก็อดเห็นใจในชะตาชีวิตของวิมลลักษณ์ไม่ได้ ทั้งคำครหาที่คนในไร่ต่างรุมประณามสาปแช่งแม่ของเธอ...จนลามปามมาถึงตัวของผู้เป็นลูกสาวตามความเกลียดชังที่เจ้านายหนุ่มมอบให้ หากคนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อฉันใด เชื่อได้ว่าแม่ของเธอก็คงจะอยู่ในกรณีฝั่งผืนหนังที่ว่า ด้วยความที่แม่ของเธอเป็นรุ่นน้องที่สนิทสนมกับแม่ของวิมลลักษณ์นับตั้งแต่ที่บุกเบิกในการทำงานที่ไร่แห่งนี้ใหม่ ๆ หลายปัจจัยที่ท่านเชื่อมั่นว่าวิมลรัตน์ไม่มีทางทำเช่นนั้น...แต่ก็อีกนั่นแหละ หลักฐานจะแก้ต่างก็ไม่มี แถมป้ารัตน์ของเธอก็ยังหนีหน้าหายตาไปหลายปีจนอดคิดไม่ได้ว่าคงจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ป้ารัตน์ของเธอรักพี่มนมาก...นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าทิ้งลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไว้ที่ไร่แห่งนี้เพียงคนเดียว พอคิดไปคิดมาสักพักก็ชักจะปวดหัว...ท้ายที่สุดจึงบอกตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที...ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อในตู้เสื้อผ้าของเจ้านายที่มองไปมุมไหนก็มีแต่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนทั้งนั้น กางเกงสักตัวก็หาไม่เห็น... สาวน้อยวัยสิบสี่จึงตัดสินใจหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมาหนึ่งตัวเพื่อสวมใส่ให้กับคนที่ยังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง จัดการหยิบเสื้อผ้าที่ชื้นแฉะลงไปซักด้านล่าง... แล้วค่อยแวะขึ้นมาดูอาการพี่สาวของเธอใหม่อีกรอบนั่นล่ะฟิ้ว!!!!เสียงปลิวพร้อมกับสิ่งของบางอย่างลอยละล่องตกลงมาที่ศีรษะของสารวัตรหนุ่มอย่างพอดิบพอดี ก่อนจะพบว่ามันคือผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่ลอยมาจากทางด้านหลัง"ไม่ไปทำงานทำการหรือไงมึงน่ะ"น้ำเสียงกวนประสาทจากเจ้าของผ้าขนหนูผืนเมื่อครู่เดินเข้ามาพร้อมกับร่างของคนท็อกซิกที่เขาเคยต่อว่าเอาไว้ก่อนหน้านี้ ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้...ก่อนจะเดินเข้ามาลูบคอลูกชายตัวโปรดด้วยความรักราวกับต้องการบอกเจ้าสีนิลเป็นนัย ๆ ว่า'ทำดีมากลูกชาย'"เอาเปรียบประชาชนด้วยการโกงเวลางาน...กูจะยัดข้อหาให้หนัก ๆ เลย"ฮี้!!!!เสียงเจ้าสีนิลร้องขึ้นมาเหมือนเป็นลูกคู่ขานรับทุกถ้อยคำที่นายของมันพูดเมื่อครู่ ราวกับลูกขุนพลอยพยัก...จนสารวัตรหนุ่มเข้าใจแจ่มแจ้งได้เป็นอย่างดี นิสัยไม่ต่างกับเจ้าของของมันสักนิดเดียวธราดลก้าวขึ้นเหยียบโกลนข้างตัวม้า ก่อนจะเหวี่ยงขาขึ้นพาดผ่านหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว แผ่นหลังกว้างตั้งตรงอย่างสง่าในชุดเสื้อโปโลสีเข้มพร้อมกับกางเกงยีนสีเข้าชุดกัน มือหนึ่งจับบังเหียนแน่น ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวที่ยืนลังเลอยู่ข้างม้าสีขาวอ่อนอีกตัว“เสร็จธุระแล้วก็ขี่เจ้าสีนวลตามฉันมาที่ท้ายไร่ ฉันมีเรื่องงานจะคุยกับเธอ”
เสียงน้ำที่ไหลผ่านทางสายยาง ท่ามกลางแดดยามสายที่ส่องลอดยอดไม้ ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีเข้มกางเกงยีนพับขา ก้าวเท้าไปยังลานล้างม้าด้านข้างของตัวคอก มือหนึ่งถือสายยาง อีกมือหิ้วถังแชมพูม้ากลิ่นหอมอ่อนๆ เดินตรงมาหาเจ้าสีนิลกับสีนวลที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าสีนิลเป็นม้าเพศผู้สายพันธุ์อาราเบียนสีดำเข้ม ถือได้ว่าเป็นนักวิ่งตัวฉกาจของฟาร์มม้าแห่งนี้จากม้าทั้งหมดเกือบร้อยตัวเห็นจะได้มีคนเคยบอกว่าม้ามักพยศก็เห็นจะจริง...ท่าทางจะนิสัยเหมือนกับเจ้านายของมัน สีนิลไม่ยอมให้ใครจับตัวได้ง่าย ๆ มันยอมฟังแต่เจ้านายของมันเท่านั้น และด้วยนิสัยแสนพยศของมันจึงทำให้ลำบากเวลาอาบน้ำหรือแปรงขน...หลัก ๆ ธราดลจะเป็นคนดูแลด้วยตัวเอง เพราะม้าตัวนี้เป็นม้าตัวโปรดที่เขารักมาก อันที่จริงเขาก็รักสัตว์ทุกชนิดที่เขาเลี้ยงทุกตัว แต่บางครั้งเจ้านายของมันก็ไม่ได้มีเวลาที่จะมาดูแลด้วยตัวเอง คำสั่งประกาศิตของเขาจึงตกมาอยู่ที่เธอในการดูแลเจ้าสีนิลในช่วงสองปีก่อน...แรก ๆ ต้องเรียกได้ว่าเธอถูกมันถีบไม่เว้นแต่ละวัน กว่าจะรู้จักนิสัยใจคอและทำความเคยชินกับมันล้วนใช้ระยะเวลาเกือบปี หน้าที่หลัก ๆ ของเธอนอกจากให้อาหาร ทำความสะ
ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! เสียงสั่นจากสายเรียกเข้าที่โทรมาในช่วงเช้าของวัน จนคนที่เพิ่งจะข่มตาหลับได้ในช่วงรุ่งสางถึงกับหัวเสีย ก็จะไม่ให้เขาหัวเสียได้อย่างไร...ในเมื่อใครบางคนมีอิทธิพลถึงกับทำให้เขาต้องรีบฉวยกล่องปฐมพยาบาลมาจากเธอด้วยความรีบร้อน เจ้าลูกชายภายใต้กางเกงนอนผ้าฝ้ายมันดันไม่รักดี...เผลอแข็งโด่ขึ้นมาจนแทบจะทนไม่ไหวทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้คนตัวเล็ก...ด้วยเห็นว่าอีกเพียงนิดเดียวกล่องปฐมพยาบาลที่ว่าจะหล่นใส่หัวเธอแล้วแท้ ๆเขาแค่ต้องการทดสอบจิตใจตัวเองด้วยเช่นกัน...ว่าจะสามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้หรือเปล่า ธราดลค้นพบทันทีเลยว่า...ยากเกินไป บางทีเขาอาจจะห่างเหินเรื่องอย่างว่าไปนาน ค่ำคืนนี้อาจจะต้องให้คนคุ้นเคยจัดหาสาวข้างกายที่สะอาดสะอ้านมาให้สักคน ไม่เช่นนั้นคนที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยอย่างเขาคงได้เผลอทำอะไรที่ไม่ควรทำ ลูกสาวฆาตกร!...ธราดลท่องไว้จนจำขึ้นใจ ที่แม่เขาตาย...ก็เพราะแม่ของเธอ กริ๊ง!!!!! กริ๊ง!!!!!เสียงโทรศัพท์เงียบไปสักพัก ก่อนจะกลายเป็นเสียงกดกริ่งจากหน้าบ้านแทน จะเป็นใครไปได้ที่หน้าด้านหน้าทนกล้าต่อกรเจ้าของบ้านได้ขนาดนี้ถ้าไม่ใช่...นิติกร ผู้บุกรุกในคร
เสียงฟ้าร้องคำรามยังดังก้องอยู่ในความทรงจำของเด็กสาววัยสิบสี่กับแม่ของเธอจนผวา แม้เหตุการณ์จะผ่านมาตั้งแต่เมื่อวานช่วงหัวค่ำ แต่ภาพทุกอย่างยังชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น รถจักรยานยนต์ที่เธอขี่ซ้อนผู้เป็นแม่เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านรีบไปเก็บผ้าที่ตากไว้ หากยังไม่ถึงกลางทางดี พายุฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ลืมหูลืมตาจึงทำให้ถนนลื่นยิ่งกว่าที่เคยผู้เป็นแม่ที่พยายามบังคับรถให้ตรงเส้นทาง แต่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเองจากการขับรถด้วยความเร่งรีบ ทำให้ล้อหน้ากลับไถลไปบนผิวน้ำที่ขังอยู่ เสียงเบรกที่เสียดสีกับพื้นและเสียงผู้เป็นแม่ร้องคร่ำครวญโอดโอยดังขึ้นพร้อมกับลูกสาว ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะล้มกระแทกพื้นอย่างแรงกว่าจะรู้สึกตัวอีกที ทั้งคู่ก็เปียกโชกและเจ็บระบมไปทั้งร่าง ประทับจิตที่เจ็บน้อยกว่าพยายามพยุงผู้เป็นแม่เข้าบ้านด้วยหัวใจที่เต้นแรงทั้งจากความตกใจและความเจ็บที่ร้าวระบมเดือดร้อนผู้เป็นพ่อที่เดินออกมารับสองแม่ลูกด้วยความตกใจ ดีที่ห้องพักอยู่ชั้นล่าง...จึงไม่ต้องลำบากตะเกียกตะกายเดินเหินขึ้นไปชั้นสอง จักรกฤษณ์มองเห็นความเจ็บปวดของทั้งภรรยาและลูกสาวคนโตถึงกับน้ำตาคลอ ดีที่คนเล็กไม่เจ็บไปอ
เสียงน้ำไหลกระทบจานชามดังเป็นจังหวะเบา ๆ เธอพยายามระมัดระวังมากที่สุดเพื่อไม่ให้น้ำกระเซ็นมาใส่เสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขา ในขณะที่คนตัวโตที่กำลังนั่งเอนตัวพิงพนักเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในสายตานอกจากภาพยนตร์บนหน้าจอแอลอีดีที่กำลังฉายอยู่ แต่ในความเป็นจริง นัยน์ตาสีนิลกำลังเลื่อนไปทางห้องครัวบ่อยครั้งมากกว่าที่จะมองหน้าจอเสียอีก ดวงตาคมคู่นั้นแอบชำเลืองไปทางเธอเป็นระยะ ๆ ทุกครั้งที่เธอเอื้อมมือไปหยิบจานที่เพิ่งล้าง หรือสะบัดน้ำออกจากมือ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผลอมองอากัปกิริยาของคนร่างบางโดยไม่ให้เธอรู้ตัว ก่อนที่จานใบสุดท้ายจะถูกล้างจนเสร็จสิ้น มือบางคู่นั้นเช็ดมือจนแห้งก่อนจะหันตัวกลับมาทางเขา ธราดลนั่งหลังตรงก่อนจะเบนสายตาไปทางหน้าจอแอลอีดีขนาดใหญ่ พร้อมกับเร่งเสียงภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่เบื้องหน้าให้ดังขึ้น วิมลลักษณ์ไม่แน่ใจมากนักว่าชุดปฐมพยาบาลยังเก็บไว้อยู่ที่เดิมหรือเปล่า ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเหลือบไปเห็นว่ามันวางอยู่สูงกว่าที่ควร มือบางเอื้อมไปหยิบกล่องยาที่อยู่ด้านบนจนปลายเท้าเขย่ง "อ๊ะ...อีกนิดเดียว" ใบหน้าเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะใช้แขนเรียวยืดขึ้นจนสุดความสามารถ อีกเพียง
วิมลลักษณ์ไม่ได้ปรายตามองเขา หญิงสาวยังคงก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างทุกครั้งที่มักจะทำเป็นประจำยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายที่แสนใจร้าย เพียงแค่วันนี้เธอออกจะบ้าดีเดือดกับเขาไปสักหน่อย อดรู้สึกผิดไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองทำกับเขาก่อนหน้านี้ เธอตั้งใจจะหันหลังกลับไปเงียบ ๆ ทว่า"จะไปไหน?"คนตัวโตที่สวมใส่เพียงกางเกงผ้าฝ้ายขายาวเปลือยเปล่าท่อนบนทำเป็นถามเสียงเข้มออกไป มองคนตัวเล็กที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตาไปทางครัวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามองเขาสักนิด "จะไปเก็บถาดค่ะ"ยืนหันหลังตอบ...เธอรู้ว่าตัวเองไม่ควรทำกิริยาแบบนี้กับเขา แต่จะให้ทำยังไงได้ ตอนนี้เธอทั้งหิว ทั้งอาย ทั้งรู้สึกแย่กับตัวเองจนไม่อาจทนมองเขาต่อไปได้ไหว"นั่งกินข้าวกับฉันก่อน""ไม่เป็นไรค่ะ"จ๊อก!!!!บางทีเธอก็นึกเกลียดเสียงท้องตัวเองที่ปล่อยคิวผิดให้เจ้าตัวได้อายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หิวน่ะมันก็หิวอยู่หรอก...แต่ศักดิ์ศรีมันค้ำคอมากกว่าน่ะสิ หรือบางทีศักดิ์ศรีอาจประทังชีวิตต่อไปไม่ได้...กองทัพยังต้องเดินด้วยท้องสินะ"จะเย่อหยิ่งให้ได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้เต็มใจจะชวนหรอกนะ แค่ไม่อยากเป็นขี้ปากคนอื่นว่าใช้งานลูกน้องเยี่ยงทาส กักขังหน