แม้เป็นพื้นที่ต่างจังหวัด แต่ที่ดินตรงนี้ใกล้มหาวิทยาลัยสองแห่ง และติดถนนเส้นหลักที่ใช้เดินทางไปยังสนามบิน ทั้งยังสามารถขับผ่านเข้าไปในตัวเมือง เชื่อมต่อไปอีกจังหวัดใหญ่ได้โดยตรง การสร้างศูนย์การค้าที่นี่จึงได้รับการอนุมัติ
“พี่พลับชอบกาแฟมากเลยใช่ไหมครับ ผมมีร้านกาแฟดีๆ หลายร้านจะแนะนำเลยนะ มีทั้งใช้เมล็ดกาแฟจากในพื้นที่ นำเข้าจากต่างประเทศ โอ๊ต เยอะแยะไปหมด…แต่เดี๋ยวเที่ยงนี้ผมพาพี่ไปลองที่หนึ่งก่อนเป็นที่แรก นอกจากกาแฟจะอร่อยมากกก เจ้าของร้านก็สวยหวานด้วย เจ้าถิ่นอย่างพี่พงศ์เป็นคนแนะนำผมเอง”
วันนี้ผู้บริหารใหญ่ลงมาสำรวจพื้นที่การก่อสร้าง ผู้รับผิดชอบโครงการ และผู้บริหารงานการพัฒนาอย่างอัจฉริยะ จึงรีบเข้ามาต้อนรับปพนธีร์
เขาเป็นรุ่นน้องที่เรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกันกับชายหนุ่ม ก่อนจะไปเรียนต่อและทำงานต่างประเทศหลายปี พอกลับมาก็ได้เข้ามาทำงานที่บริษัทรุ่นพี่อย่างปพนธีร์นี่แหละ
“กาแฟอร่อยหรือว่าเจ้าของร้านสวยกันแน่”
“แหะๆ ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ เจ้าของร้านเขาใช้เมล็ดพันธ์หายาก สั่งคั่วพิเศษจากบนดอยเลยน้า รอดูครับว่าพี่พลับจะชอบหรือเปล่า”
ปพนธีร์ฟังยิ้มๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร หากเป็นเรื่องกาแฟ พอจะดึงเขาให้อยากไปลองที่ร้านได้อยู่หรอก แต่เรื่องความสวย สำหรับเขาผู้หญิงทุกคนก็เหมือนกันหมด และต่อให้เปิดใจไปก็คงไม่มีใครสามารถเข้ามาแทนที่ ‘เธอ’ ได้
อัจฉริยะพาหนุ่มรุ่นพี่และผู้ช่วยของเขามายังคาเฟ่ในช่วงเที่ยง เชิญชวนให้หนุ่มๆ มารับประทานอาหารกลางวันที่นี่ไปด้วยเลย เพราะนอกจากกาแฟจะรสชาติดี เจ้าของร้านก็ยังทำอาหารฟิวชั่นได้อร่อยมาก
“นั่นไงละครับ คุณเจี๊ยบ เจ้าของร้านคนสวยที่ผมบอก”
เจี๊ยบ…
ปพนธีร์มองไปยังทิศทางที่รุ่นน้องพยักเพยิดก่อนอีกฝ่ายจะลงจากรถ นั่นจึงทำให้มือของเขาที่กำลังเปิดประตูรถชะงัก
ผู้หญิงในเดรสแขนกุดสีเหลืองอ่อน ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กำลังทำกาแฟอยู่
ผมสีน้ำตาลของเธอยาวสลวย เหยียดตรง ดูเป็นธรรมชาติ
หัวใจของปพนธีร์บีบรัด
เขาจำได้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เธออยู่ในห้วงคำนึงของเขามาตลอด
ติ๊ดๆ
ขณะที่ปพนธีร์กำลังจะลงจากรถ ก้าวขาตามรุ่นน้องหนุ่ม โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“คุณพลับครับ โรคหัวใจของคุณพบกำเริบ ตอนนี้ท่านอยู่ที่โรงพยาบาล…”
หลังวางสาย ปพนธีร์มองเข้าไปในร้าน เขาเห็นอัจฉริยะคุยกับเธอ และเธอ…ยิ้มให้รุ่นน้องเขา
ยิ้มเหมือนที่ไม่เคยยิ้มให้เขามานาน
ทั้งสองคล้ายคุยถูกคอกัน หัวเราะให้กัน
ถึงอย่างนั้นปพนธีร์ก็ต้องตัดใจ ปล่อยให้รุ่นน้องอยู่ในร้าน พูดคุยกับเธอไปก่อน ส่วนเขาต้องรีบบินกลับไปกรุงเทพฯ ทั้งที่เพิ่งจะเหยียบจังหวัดนี้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
ขณะกำลังเดินทางไปยังสนามบิน พรพงศ์ได้โทรบอกอัจฉริยะว่าเขากับปพนธีร์ต้องขอตัว เพราะมีธุระด่วนที่กรุงเทพฯ ก่อนเขาจะสังเกตเห็นสีหน้าเครียดขรึมของเจ้านายผ่านกระจกมองหลัง ดูปกติผิดไปจากทุกวัน
“ผมเชื่อว่าคุณท่านต้องไม่เป็นอะไรครับ” พรพงศ์ให้กำลังใจเจ้านายขณะขับรถไปยังสนามบิน
“ขอบคุณครับ” ปพนธีร์ยิ้มจางๆ ก่อนเบือนหน้าไปยังด้านข้างกระจก จิตใจเขากำลังพะวงถึงบางสิ่ง…ไม่ใช่เรื่องของพ่อ
เขานี่มันลูกทรพีจริงๆ
ทั้งที่คิดมาตลอดว่าเขาจะปล่อยไป ไม่ยุ่งเกี่ยว…แต่พอได้เห็นอัจริยะสนใจเธอ จีบเธอเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ ทั้งเธอยัง…ตอบรับไมตรีด้วยการพูดคุยอย่างเป็นกันเองด้วย
เขาไม่อยากให้เธอเป็นอย่างนี้กับผู้ชายคนอื่นเลย เขาจะทำยังไงกับตัวเองดี
อยากครอบครอง เป็นเจ้าของเธอ ทั้งที่รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์
ถึงจะเสียใจแค่ไหน แต่ชีวิตไม่อาจหยุดเดิน หลังเกิดเหตุถูกฉีกหน้ากลางงานแต่งงานไปไม่กี่วัน ก่อนต่อมาอดีตเจ้าบ่าวของเธอจะไปแต่งงานกับเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันเป็นการซ้ำเติม ชญานิศก็ยังเลือกจะยืนหยัดด้วยการก้าวข้ามความอับอายและความเจ็บปวด เธอกลับไปทำงานตามเดิมแต่กระนั้นเธอก็ไม่รับสายและติดต่อใครเลย ไม่อนุญาตให้ใครเจอหน้าด้วย แม้แต่เพื่อนสนิทก็ตามแม้จะปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้เพื่อนร่วมงานรู้ แต่สุดท้ายทุกคนก็รู้จากโซเชียลที่มีแขกในงานแอบถ่ายแล้วเผยแพร่ เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามของเพื่อนร่วมงาน บ้างก็มองมาอย่างสมเพช ไม่ก็พูดแดกดันและซ้ำเติม ชญานิศพยายามไม่สนใจ เธอใช้ชีวิตให้เป็นปกติ หากแต่หลังเลิกงานใครจะรู้ว่าหญิงสาวกลับมาร้องไห้ นอนกอดตัวเองในห้องแคบๆ เธอทิ้งชุดเจ้าสาวและของทุกชิ้นที่ปพนธีร์ให้ รวมถึงแหวนเพชรนั้นด้วย ใครจะเก็บไปทำอะไรก็ช่าง แต่เธอไม่ขอเก็บไว้เป็นเสนียดปพนธีร์เคยบอกว่าพอสวมแหวนแล้วนิ้วเธอดูสวยขึ้นมาก ชุดเจ้าสาวที่เธอใส่ในวันนั้นก็สวย หากแต่ในงานวันนั้น เขากลับฉีกหน้าเธอ เหยียบย่ำหัวใจเธอผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรักของเขา เป็นเจ้าสาวตัวจริง“แกบ้ารึเปล่า แก
“น้องเคนเห็นลูกกอล์ฟเตะบอลกับพ่อ น้องเคนก็เลยอยากเตะด้วย”“…”“เคนอยากให้พ่ออยู่ด้วย”“น้องเคน…” เธอสวมกอดลูกชายที่มองเธอตาแป๋ว ดวงตาของเขาช่างไร้เดียงสา “อยู่กับแม่ แม่เป็นให้ทั้งพ่อทั้งแม่ได้นะ น้องเคนอยากเตะบอลใช่ไหม เดี๋ยวแม่เตะด้วย”“แม่เตะบอลไม่ได้”“เตะได้ ทำไมจะเตะไม่ได้ล่ะ แม่เตะเก่งด้วยนะ”“ผู้หญิงเขาไม่เตะบอลกันหรอก” เด็กชายยืนกรานสิ่งที่ตัวเองรู้มาจากที่โรงเรียน“ใครบอก ฟุตบอลหญิงยังมีเลย ผู้หญิงนี่แหละเล่นกันเก่งมาก” เธอหอมหน้าผากลูกชายอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วลงมานอนข้างๆ กัน“แม่” “คร้าบ” เธอสวมกอดลูกน้อยที่ตอนนี้แขนขาเริ่มยาวและตัวเริ่มโตเกินเด็กวัยเดียวกันแล้ว “เมื่อไรพ่อจะกลับมาจากสวรรค์” เด็กน้อยสวมกอดเธอตอบ ซุกหน้าลงกับอกนุ่มๆ ของเธอ“ก็…พ่อเขาติดภารกิจพิทักษ์สวรรค์ที่แม่เคยบอกน้องเคนไง เขาเลยลงมาไม่ได้ พ่อเขาคอยถือดาบ ถือธนู คอยไม่ให้ผู้ร้ายเข้ามาทำลายสวรรค์ไงครับ”ถึงเธอจะไม่ชอบพ่อของลูก แต่เธอก็ไม่อยากสอนให้ลูกเกลียดพ่อ เธออยากให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขกับสิ่งที่พ่อของเขาควรเป็น“พ่อก็สู้กับผู้ร้ายตุ๊บตั๊บๆ เลยน่ะสิ”“แล้วพ่อชนะไหมครับ”
เพราะวันนี้เจอบุคคลไม่คาดคิด ชญานิศจึงไม่ได้ไปรับลูกจากโรงเรียนและพามาอยู่ร้านเช่นทุกวัน แต่พากลับบ้านทันที และไม่ลืมจะสรรหาขนมให้เด็กน้อยรองท้องระหว่างรอเธอทำอาหารเย็นด้วยลูกของเธอเป็นเด็กกินง่าย ไม่เรื่องมาก กินได้แทบทุกอย่าง แม้แต่ผักใบเขียวที่เด็กหลายคนเบะปากใส่หลังรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน หญิงสาวก็สอนการบ้านลูกอย่างใจเย็น เมื่อเสร็จเรียบร้อยเธอเล่นกับลูกบนเตียง ไม่ถือว่าตัวเองเป็นแม่แล้วลูกจะขึ้นมาขี่หลังไม่ได้“โอ๊ย ลูกหมู หลังแม่จะหักแล้ว” ชญานิศหัวเราะเมื่อเจ้าตัวเล็ก แต่น้ำหนักไม่น้อยบอกให้เธอคลานต่อไม่หยุด “แม่คร้าบ แม่ เคนอยากได้ไดโนเสาร์ตัวหย่ายๆ” แขนเล็กวาดแขนออกกว้างๆ เพื่อให้แม่เห็นภาพขนาดไดโนเสาร์ของเขาชัดเจน“ตัวนี้ยังใหญ่ไม่พออีกเหรอครับ” เธอยกเจ้าทีเร็กตัวโปรดของลูกชายมาชูให้เด็กชายชนิภัทรดู แต่คนที่นั่งอยู่บนหลังเธอกลับส่ายหน้า“ไม่พอ อยากได้หย่ายๆ”“ใหญ่ขนาดไหนครับ”“หย่ายเท่าของลูกกอล์ฟ” เด็กชายวาดมือให้แม่ และดูกว้างกว่าเดิมอีก เขานึกถึงของเล่นที่เพื่อนนำมาอวด “ของลูกกอล์ฟหย่ายมากกก”เธอหัวเราะ ก่อนจะขยับเจ้าไดโนเสาร์ตัวโปรดเข้าไปใกล้ลูกชาย “แล้วน้องเคนไม่รั
ปพนธีร์ฝัน…เขาฝันถึงตอนที่ชนัญญาเข้ามาในบ้าน มาดูแลพ่อในฐานะพยาบาล หากแต่นานวันเข้าหลายคนในบ้านก็ผิดสังเกตและเห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเกินเลยกว่าปกติไปมากพอแม่เขาเข้าไปถาม พ่อก็รับสารภาพว่าชนัญญาเป็นรักแรกของท่าน และตอนนี้ทั้งสองคนก็กำลังสานสัมพันธ์กันอยู่ แน่นอนว่าแม่ไม่ยอมรับ กรีดร้อง เสียใจจนเหมือนคนเป็นบ้า หากแต่นั่นยังไม่เจ็บเท่ากับตอนพ่อเปิดตัวผู้หญิงอีกคนของเขาในงานวันเกิดแม่ ทำให้แม่ขายขี้หน้า คนในสังคมต่างซุบซิบนินทาซ้ำพอพ่อหายเป็นปกติ ท่านยังควงชนัญญาออกงานไม่ต่างจากภรรยาหลวง ทั้งที่พ่อยังไม่ได้หย่ากับแม่ ไม่สนเลยว่าใครจะมองว่าตัวเองและเมียยังไง ท่านเพียงแต่ต้องการสร้างคอนเนคชั่นให้ชู้เป็นที่นับหน้าถือตา สร้างธุรกิจให้เติบโต เป็นสาวสังคมที่เพียบพร้อมเท่านั้นส่วนแม่ของเขาก็หมกตัวอยู่ในห้องแคบๆ เพราะอับอาย ไม่อาจสู้หน้าใครได้ ญาติมิตรที่เคยสนิทกันห่างหายไป แม่ทุกข์ตรม ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อจริงอยู่ว่าความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่อาจจะไม่ได้เริ่มต้นสวยงามเหมือนคู่อื่นๆ เพราะโดนผู้ใหญ่คลุมถุงชน และนั่นทำให้พ่อตั้งแง่ มองแม่ไม่ดีมาตลอด มีลูกเพื่อสร้างทายาทตามหน้าที่เท่านั้น
‘รัก’ อย่างนั้นเหรอ เธอไม่เคยรู้จักคำนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอรู้จักแต่คำว่า ‘หลอกลวง’“ไอ้คนเฮงซวย ใครมันจะไปรักคนอย่างแกลง” “พี่รู้ว่าพี่มันเฮงซวย และที่ผ่านมาพี่ก็รู้ซึ้งถึงความหมายนั้นแล้ว พี่ทรมาน พี่รู้สึกผิด…ไม่ต่างอะไรจากการตกนรกเลยเจี๊ยบ”“จะมาพูดอะไร ไม่รีบกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับลูกเมียคุณละ!”“พี่เลิกกับจีนแล้วครับ เลิกตั้งแต่วันที่เจี๊ยบเดินออกไปจากชีวิตพี่”“คุณจะเลิกอะไรกับใครก็ช่างเถอะ ออกจากร้านฉันไปได้ซะ” เขาจะอยู่ด้วยกันกับหล่อน หรือเลิกกันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ“เจี๊ยบ…” ปพนธีร์ทาบมือบนบานประตู อิงหน้าผากตาม “พี่จะไม่ยอมแพ้แล้วนะ พี่ไม่อยากหันหลังแบบนี้อีกแล้ว”เขาขอผิดสัญญาได้ไหม“ต่อไปนี้…พี่จะพยายามแก้ไข จะพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง”เมื่อด้านในไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ปพนธีร์ก็หลับตาลง ก่อนจะตัดใจด้วยการเดินออกมาจากประตูนั้น โดยมีอริยาเฝ้าสังเกตและตามเขาอยู่เงียบๆ“คุณทำงานที่นี่มานานรึยัง”สาวน้อยตกใจเมื่อจู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็มองตรงมาที่เธอ “กะ ก็ตั้งแต่ที่นี่เปิดค่ะ ราวๆ ปีกว่าแล้ว”“แล้วคุณเจี๊ยบ…ทำงานหนักมากรึเปล่า”“เอ่อ คุณเป็นอะไรกับเขาคะ” อริยาไม่กล้าตอบคนท
ถึงพยายามวิ่งสุดแรง แต่ขาของชญานิศคล้ายไม่มีแรง มือไม้ที่จับโทรศัพท์และถือดอกไม้นั้นก็คล้ายอ่อนแรงไปด้วยผู้ชายคนนั้นถึงได้วิ่งตามเธอมาทัน เขาตามมาดักข้างหน้า คนที่ทำให้เธอเจ็บปางตายจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ นั่นจึงทำให้ชญานิศสบตากับผู้ชายตรงหน้า เขายังคงหล่อเหมือนเมื่อก่อน ไม่สิ หล่อกว่าเดิมอีกมั้ง…ชายหนุ่มอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าลายทางสีเข้ม แขนเสื้อพับขึ้นเหนือข้อศอก เผยให้เห็นแขนที่มีมัดกล้ามและเส้นเลือดที่เธอเคยสัมผัสและชอบลูบไล้อยู่เสมอ บนข้อมือมีนาฬิการาคาแพงเรือนเก่าที่เธอเคยเห็นว่าเขาใส่สิ่งเหล่านี้เคยดึงดูดเธอให้หลงใหลชญานิศหลบสายตาของคนที่มองมา ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงไปอีกทางให้เป็นปกติ คราวนี้ไม่คิดวิ่งอีก “เจี๊ยบ พี่…ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” แต่คนร้ายยังไงก็ยังร้าย เขาเดินตามเธอมา ทั้งเขายังจะมาคว้าดอกไม้กำใหญ่ในอ้อมแขนเธอไป คล้ายจะช่วยถือ แต่ชญานิศเบี่ยงตัวหลบ ไม่ยอมเด็ดขาด “ระหว่างเราไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกัน” ชญานิศพยายามซ่อนความตระหนกเอาไว้และเดินต่อไปอีกหมับทว่าเขากลับอุกอาจ ฝ่ามือใหญ่คว้าแขนเธอเอาไว้ ทำให้คนที่น้ำตาจะไหลอยู่มรอมมร่อไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป“ถ้าคุณไม่ปล่