แชร์

อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ
อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ
ผู้แต่ง: กวนเหอว่านหลี่

บทที่ 1

ผู้เขียน: กวนเหอว่านหลี่
ณ ราชวงศ์ต้าหมิง เมืองอิ้งเทียน ตำหนักเหวินหัว

เหล่าพระราชนัดดากำลังเปล่งเสียงอ่านตำราอย่างกึกก้องภายใต้การนำของฟางเสี้ยวหรู

จักรพรรดิหงอู่ จูหยวนจาง ยืนฟังอยู่นอกตำหนักครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างใน

เสียงอ่านตำราพลันเงียบลง

“เสด็จปู่!”

“เสด็จปู่!”

เหล่าพระราชนัดดาต่างประสานเสียงเอ่ยทักทาย ฟางเสี้ยวหรูรีบก้าวไปข้างหน้า สะบัดชายเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าลง

“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมา มิได้ออกไปต้อนรับแต่ไกล โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางโบกมือ “เราฟังอยู่ข้างนอกแล้ว เจ้าสอนได้ดีมาก!”

ฟางเสี้ยวหรู “มิใช่กระหม่อมสอนดี แต่เป็นเพราะเหล่าองค์ชายฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางหัวเราะอย่างสดใสพลางเอ่ยขึ้น “ในบรรดาหลานของเรา...”

ทันใดนั้น มีเสียงกรนดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ขัดจังหวะความสำราญของจูหยวนจางดังขึ้นมา

เมื่อมองตามเสียงไป ก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังพิงเสาอยู่ที่มุมห้อง เอนตัวอยู่บนเบาะรองนั่ง

น้ำลายไหลยืดจากมุมปาก

เป็นภาพลักษณ์ที่ดูไม่น่ามองอย่างยิ่ง

ใบหน้าของจูหยวนจางพลันมืดมน แต่เหล่าพระราชนัดดากลับตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ผู้ที่กำลังหลับสนิทอยู่นั้นคือหลานชายในชายาเอกของจูหยวนจาง และบุตรชายคนรองในชายาเอกขององค์รัชทายาทจูเปียว

แม้จะมีสายเลือดสูงส่ง แต่เขากลับเป็นคนที่ไร้ความสามารถ

สูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์วัย นิสัยอ่อนแอ ว่านอนสอนง่าย ไม่กล้าขัดขืน

เวลาตื่นเต้นก็จะพูดจาไม่รู้เรื่อง

แตกต่างจากจูอวิ่นเหวิน บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาของรัชทายาทจูเปียวราวฟ้ากับเหว

หนึ่งปีก่อน จูหยวนจางสังเกตเห็นแล้วว่าสุขภาพของจูเปียวทรุดโทรมลงทุกวัน ไม่แน่ว่าอาจจะอายุสั้นกว่าตนเอง

จึงจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้า กำหนดตัวรัชทายาทแห่งราชวงศ์ต้าหมิงไว้แต่เนิ่นๆ

วันนี้จึงถือโอกาสแวะมาที่นี่ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การเล่าเรียนของเหล่าพระราชนัดดา

แต่ใครจะไปรู้ จูอวิ่นเทิงจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ ถึงกับมานอนหลับในห้องเรียน!

อันที่จริงร่างของจูอวิ่นเทิงในยามนี้ถูกคนจากยุคปัจจุบันเข้ายึดครองมาตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้ว

นับตั้งแต่นั้นมา จูอวิ่นเทิงก็ได้รับระบบปลาเค็ม[1] ซึ่งสามารถใช้แต้มปลาเค็มแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของและทักษะต่างๆ ได้

ระบบได้เน้นย้ำเป็นพิเศษว่า หากเขาสามารถพัฒนาตนเองอย่างเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกตเป็นเวลาสิบปี หลังจากสิบปีก็จะได้รับทรัพยากรมหาศาลและจะช่วยให้เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดของราชวงศ์ต้าหมิง

ต่อให้ระบบไม่เน้นย้ำ จูอวิ่นเทิงก็ไม่กล้าทำตัวโดดเด่นอยู่แล้ว

ในรัชสมัยของจูหยวนจาง การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในราชวงศ์ต้าหมิง ไม่มีประโยชน์อันใดเลย!

เป็นขุนนางก็เหมือนทำงานโดยเอาหัวเป็นเดิมพัน!

ในฐานะหลานชายสายตรงของจูหยวนจาง คงไม่ถึงกับโดนตัดหัว แต่การต้องตื่นมาเข้าประชุมตอนตีสามกว่าทุกวัน มันทรมานแทบตาย!

สี่ปีผ่านไป จูอวิ่นเทิงเชี่ยวชาญทั้งประวัติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภูมิศาสตร์ กลยุทธ์ทางการทหารและอื่นๆ อีกมากมาย

อักษรโบราณที่เหล่าพระราชนัดดาต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะท่องจำได้ จูอวิ่นเทิงมองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว

จูอวิ่นเทิงที่กำลังหลับสนิทรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง พอเขาลืมตาขึ้น อ้อ ตาเฒ่าจูมาแล้ว

จูอวิ่นเทิงรีบคุกเข่าลงทันที พร้อมกับแสร้งทำท่าทีหวาดกลัว

“เสด็จปู่ หลานร่างกายอ่อนแอ พอฟังท่านอาจารย์สอนก็รู้สึกง่วงนอน ท่านอาจารย์สอนอะไร หลานไม่เข้าใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”

จูหยวนจางกำลังจะพิโรธ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขา

[เหอะๆ อันที่จริงแล้ว เรื่องที่ฟางเสี้ยวหรูสอน ข้ารู้หมดแล้ว ส่วนสิ่งที่ข้ารู้ ฟางเสี้ยวหรูไม่รู้แน่นอน]

ใครกัน?

จูหยวนจางสะดุ้งตกใจ กวาดสายตามองไปรอบๆ

ในตำหนักนี้ไม่มีคนอื่นอยู่!

บางทีอาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว หูก็เลยเริ่มมีปัญหา

จูหยวนจางส่ายหน้า ตัดสินใจว่าอีกสักครู่จะให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรเสียหน่อย

“วันนี้เรามาก็เพื่อจะทดสอบการเรียนของพวกหลานๆ เราจะลองแต่งกลอนคู่สักสองสามบทก็แล้วกัน”

ก่อนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ แม้จูหยวนจางจะไม่ได้มีการศึกษาสูงนัก แต่เขาก็รักการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องกลอนคู่

หลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็มักจะประลองแต่งกลอนคู่กับเหล่าขุนนางอยู่เสมอ จนถูกขนานนามว่าเป็นโอรสสวรรค์แห่งกลอนคู่

หลังจากออกกลอนคู่ไปหลายบท เหล่าองค์ชายก็แสดงความสามารถได้ไม่เลว โดยเฉพาะพระราชนัดดาองค์รองจูอวิ่นเหวินที่แสดงฝีมือได้อย่างโดดเด่น

พอหันกลับมามองจูอวิ่นเทิง ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ช่างไร้ความสามารถจริงๆ

จูหยวนจางเป็นคนตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง เขาเปิดตำราค้นหาจนเจออักษรตัวนี้

ตอนแรกนึกว่าตัวอักษร “เทิง” จะมีความหมายว่ารู้แจ้งฟ้าดิน แต่ใครจะไปรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของมันคือการอุ่นอาหารที่สุกแล้วให้ร้อน

แต่ในฐานะโอรสสวรรค์ มีหรือจะยอมรับว่าตนเองผิด?

อีกอย่าง ชะตากำหนดไว้แล้วว่าบุตรคนที่สามไม่อาจขึ้นครองบัลลังก์ได้ เช่นนั้นก็แค่กินอิ่มนอนหลับ เป็นท่านอ๋องที่สุขสบาย ไม่ต้องยุ่งเรื่องใดๆ ก็พอแล้ว

จูอวิ่นเหวินสามารถต่อกลอนได้ติดต่อกันหลายบท ทำให้เขาตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ

[เฮ้อ กลอนคู่มีประโยชน์อะไรกัน? ใช้ขับไล่ศัตรูได้ หรือว่าใช้ปกครองบ้านเมืองได้? นึกว่าจูหยวนจางจะเป็นคนที่เน้นการปฏิบัติจริงเสียอีก ไม่นึกเลยว่าจะเหมือนกับพวกบัณฑิตหัวโบราณคร่ำครึอย่างฟางเสี้ยวหรู ชอบเล่นอะไรที่ไร้สาระ!]

มีประโยคหนึ่งดังเข้ามาในหัวของจูหยวนจางอีกแล้ว

มาอีกแล้ว หูมีปัญหาอีกแล้วหรือ?

[ดูพี่รองตื่นเต้นขนาดนั้น ตาเฒ่าจูยังจะกล้ามอบแผ่นดินให้เขาอีก? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าจูอวิ่นเหวินได้เป็นฮ่องเต้แค่สี่ปีก็ถูกจูตี้ไล่ลงจากบัลลังก์แล้ว]

หา?!

ในที่สุดจูหยวนจางก็หาที่มาของเสียงเจอจนได้... พระราชนัดดาองค์ที่สาม จูอวิ่นเทิง

แต่ เห็นได้ชัดว่าจูอวิ่นเทิงไม่ได้อ้าปาก ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลย!

หรือว่า ตนจะสามารถได้ยินความคิดในใจของจูอวิ่นเทิง?

หืม?

เจ้าเด็กนี่ถึงกับเรียกชื่อเราตรงๆ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย!

แต่ช่างเรื่องนั้นไปก่อน

จูหยวนจางตัดสินใจทดสอบอีกครั้ง “อวิ่นเทิง กลอนคู่แม้จะใช้ปกครองบ้านเมืองไม่ได้ แต่ก็ช่วยขัดเกลาจิตใจได้ จะดูแคลนได้อย่างไร?”

จูอวิ่นเทิงรีบพยักหน้า “เสด็จปู่ตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก! ต่อไปหลานจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พัฒนาตนเองทุกวันพ่ะย่ะค่ะ!”

[แปลกจริง ตาเฒ่านี่รู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดอะไรอยู่? หรือว่าเมื่อครู่ข้าแสดงได้ไม่ดีพอ? เผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจออกไปอย่างนั้นหรือ? ดูท่าแล้ว คงไม่มีอะไรปิดบังตาเฒ่าคนนี้ได้เลย!]

[สายตาของตาเฒ่าคงจะฝึกฝนมาจากในสนามรบเป็นแน่! ไม่น่าแปลกใจเลยที่องครักษ์เสื้อแพรที่เขาก่อตั้งขึ้น จะไร้เทียมทานทั้งในอดีตและอนาคต ถือเป็นจุดสูงสุดแห่งวงการสายลับโดยแท้!]

จูหยวนจางตกตะลึงในใจ ไม่คาดคิดว่าตนเองจะสามารถได้ยินเสียงในใจของหลานคนนี้ได้จริงๆ!

เจ้าเด็กนี่ถึงกับแสดงละครตบตาต่อหน้าเราอย่างนั้นหรือ?

นับตั้งแต่จูหยวนจางขึ้นเป็นฮ่องเต้ อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง ได้ยินแต่คำประจบสอพลอมาโดยตลอด

ครั้งนี้พอได้ยินความคิดที่แท้จริงของหลานชาย ก็รู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างยิ่ง

ช่างน่าสนใจจริงๆ!

ไม่สิ เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้บอกว่าเรามอบแผ่นดินให้อวิ่นเหวิน?

อืม การที่เขามองเรื่องนี้ออกก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะอวิ่นเหวินฉลาดและเชื่อฟังมาโดยตลอด ตัวเราเองก็ให้ความสนใจเขามากที่สุด

แต่เขาบอกว่า จูอวิ่นเหวินเป็นฮ่องเต้ได้แค่สี่ปีก็ถูกเจ้าสี่จูตี้ไล่ลงจากบัลลังก์?

เป็นไปได้อย่างไร? ไร้สาระสิ้นดี!

แต่จูหยวนจางก็ไม่สามารถถามออกไปตรงๆ เขาจะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาสามารถได้ยินเสียงในใจของพระราชนัดดาคนหนึ่งได้

[ผมของตาเฒ่าขาวขึ้นอีกแล้ว งานฮ่องเต้นี่มันไม่ใช่งานที่คนจะทำได้จริงๆ ทางเหนือก็ยังรบกันอยู่ ทางใต้ก็ไม่สงบสุข รบกันสองด้าน งบการทหารไม่พอ ตาเฒ่าคงปวดเศียรเวียนเกล้าจริงๆ!]

จูหยวนจางตกตะลึง เด็กคนนี้ถึงกับพูดว่า “รบกันสองด้าน”!

จูหยวนจางเพิ่งได้รับรายงานลับมาว่า ซือหลุนฟาแห่งลู่ชวนได้นำทัพมารุกราน อ้างว่ามีกำลังพลสามแสน ตั้งค่ายอยู่ที่ค่ายหมัวซาเลย ทำให้ซีผิงโหวมู่อิงที่ประจำการอยู่อวิ๋นหนานต้องเตรียมรับมืออย่างเข้มงวด

ข่าวนี้นับเป็นความลับสุดยอด ยังไม่ได้ประกาศให้ใครทราบ แล้วเด็กคนนี้รู้ได้อย่างไร?

จูอวิ่นเทิงนั้นไม่เอาไหนมาโดยตลอด ไม่น่าจะมีใครทั้งในและนอกวังมาเข้าหาเขา ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับข่าวลับสุดยอดเช่นนี้

หรือว่าเด็กคนนี้จะล่วงรู้อดีต หยั่งรู้อนาคตได้?

ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

แต่ความจริงก็ทำให้เขาจำต้องเชื่อ

[ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ไม่ต้องรวบรวมงบการทหารเพิ่มแล้วด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าข้าไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด]

หืม? เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องกังวล?

ตอนนี้หลานอวี้กำลังไล่ล่ากองกำลังหยวนที่เหลืออยู่ หากไม่มีงบการทหารและเสบียงอาหารจะสู้ต่อไปได้อย่างไร?

หรือว่าเขารู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้?

จูหยวนจางไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึงสงครามทางตะวันตกเฉียงใต้ จึงใช้เรื่องสงครามทางเหนือมาหยั่งเชิงเขา

“อวิ่นเทิง เจ้ามีความเห็นอย่างไรต่อสงครามทางเหนือ?”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทำเอาเหล่าพระราชนัดดาต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง

เรื่องสงครามทางเหนือเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่ทุกคนให้ความสนใจ เสด็จปู่ไม่ถามขุนนางใหญ่ ไม่ถามฟ้า กลับมาถามพระราชนัดดาปัญญาอ่อนคนหนึ่ง!

จูอวิ่นเทิงไม่คิดว่าจูหยวนจางจะเรียกชื่อเขาตรงๆ

แม้จะรู้เรื่องราวและผลลัพธ์ของสงครามทางเหนือ แต่ถ้าพูดออกไป ใครจะเชื่อ?

ยิ่งไปกว่านั้น กฎการเอาชีวิตรอดในสิบปีนี้คือ อยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าให้เป็นจุดสนใจ

“สะ เสด็จปู่ เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ หลานจะไปรู้ได้อย่างไร? พี่รองเก่ง เก่งกาจฉลาดเฉลียว เขาต้องรู้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” จูอวิ่นเทิงเริ่มพูดติดๆ ขัดๆ

แต่ในหัวของจูหยวนจางกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทันที

[อืม ข้ารู้ผลของสงครามทางเหนือ แต่ข้าไม่บอกท่านหรอก! ตาเฒ่าถามแบบนี้ หรือว่าการควบคุมสีหน้าของข้ามีปัญหา? อืม สายตาของตาเฒ่าไหนเลยจะหลอกได้ง่ายๆ ? เช่นนั้นก็ทำใจให้สงบดุจน้ำนิ่ง ไม่หวั่นไหว ดุจพระเข้าฌาน!]

หัวใจของจูหยวนจางในตอนนี้ราวกับถูกแมวข่วน

หลานคนนี้ มันหลานตัวแสบจริงๆ !

ในช่วงเวลาสำคัญ เขากลับหยุดไปดื้อๆ ไม่มีแม้แต่จะบอกว่าโปรดติดตามตอนต่อไป!

เขาลองฟังอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงในใจของหลานคนนี้อีกเลย!

ดูท่า เจ้าเด็กนี่คงจะระวังตัวแล้ว!

เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อยๆ หลอกถามเขาไปเรื่อยๆ ก็ได้

อีกอย่าง เรื่องในวันนี้มันเกินกว่าความเข้าใจของเข้าไปมาก

น่าตกตะลึงเกินไป! ต้องกลับไปที่ตำหนักหย่างซินเพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน

จูหยวนจางเดินไปถึงประตู แล้วก็หันกลับมาอีกครั้ง “การประชุมเช้าพรุ่งนี้ ให้อวิ่นเทิงเข้าร่วมประชุมด้วย”

______________________________

[1] ปลาเค็ม เป็นศัพท์สแลงในภาษาจีน หมายถึง คนที่ไม่มีความทะเยอทะยาน ใช้ชีวิตไปวันๆ ดังนั้นในเรื่องนี้ ระบบปลาเค็ม เป็นระบบที่ให้รางวัลตัวเอกเมื่อทำตัวสบายๆ ใช้ชีวิตไปวันๆ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 100

    ฉางเซิงได้ฟังก็รู้ว่า ที่แท้เป็นขันทีน้อยที่ฝ่าบาทส่งมาให้จูอวิ่นเทิงเแก้ปัญหาให้เรื่องนี้ ควรบอกให้ฝ่าบาททราบดีหรือไม่?เมื่อตัดสินใจได้ ฉางเซิงก็กราบทูลให้จูหยวนจางทราบก่อนจูหยวนจางคิดดูแล้ว ปัญหาก็ถูกแก้ไขแล้ว และคนที่จัดการก็คือมู่เหยาต้องเป็นหลานสามที่บอกวิธีแก่มู่เหยาแน่ ๆแล้ววิธีนั้นคืออะไรกันแน่ จูหยวนจางสนใจเป็นอย่างมากเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงที่สำนักโหราศาสตร์หลวงวันนั้น จูหยวนจางกลับไปแล้วก็คิดทบทวนอยู่นานหากวิชาคณิตศาสตร์แพร่หลาย งานฝีมือ อาวุธ และอื่น ๆ ของต้าหมิงก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว!โดยเฉพาะอาวุธ ในฐานะฮ่องเต้ผู้มาจากสนามรบ ย่อมรู้ดีถึงความสำคัญของมันแต่ภายใต้การกดดันของพระองค์เอง ฐานะของขุนนางฝ่ายบู๊ก็ลดลง ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีฐานะสูงขึ้นก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ทุกสิ่งล้วนต่ำต้อย มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง”ในฐานะฮ่องเต้ที่ไต่เต้ามาจากชนชั้นล่าง ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อพวกฝ่ายบุ๋นที่ทำงานไม่เป็น ได้แต่อวดเก่งในชนบท แม้แต่การปรับปรุงเครื่องมือทางการเกษตรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ได้ในทันทีดังนั้น จูหยวนจาง

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 99

    “มู่เหยา ที่จริงข้ากำลังปิดบังความสามารถบางอย่างอยู่” จูอวิ่นเทิงย้ำอีกครั้งเพราะเขาไม่เห็นความตกใจในแววตาของมู่เหยาเลยมู่เหยาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ว่าท่านมีความสามารถ”หืม มู่เหยารู้แล้วหรือ?“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”มู่เหยากล่าวว่า “เพราะหม่อมฉันเชื่อในความ...ความรู้สึกของหม่อมฉัน ท่านต้องมีความสามารถแน่นอน อาจมีเหตุผลเฉพาะบางอย่างที่ไม่บอกคนภายนอกเท่านั้นเอง”จูอวิ่นเทิงจิตใจเบิกบานในทันที ไม่คิดเลยว่ามู่เหยาจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ตน!อาศัยเพียงความรู้สึก ไม่มีเหตุผลใด ๆ ก็เชื่อว่าตนมีความสามารถแล้วลุงรองก็เป็นแบบนี้ มู่เหยาก็เช่นกันได้ผู้คลั่งไคล้ไม่ลืมหูลืมตาเพิ่มอีกคนแล้วการมีคนอื่นเลื่อมใสศรัทธาโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้จิตใจอันทระนงของตนได้รับความพึงพอใจอย่างมาก“ถึงแม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องบุ๋นและไม่เก่งเรื่องบู๊ แต่ข้าก็มีความรู้จิปาถะอยู่บ้าง อย่างเช่นคณิตศาสตร์และเรขาคณิตเป็นต้น”มู่เหยาแอบหัวเราะในใจ สามีในอนาคตของนางยังคงเสแสร้งอยู่ไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ? ท่านบดขยี้ฟางเสี้ยวหรูในทุกด้าน ท่านบอกว่าไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ?ไม่เก่งเรื่องบู๊? ข้าที่ฝึ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 98

    สามารถพูดได้ว่า ความปราดเปรื่องของจูอวิ่นเทิงนั้น ไร้ผู้เทียมทานในยุคนี้!หลายปีมานี้ จูอวิ่นเทิงได้ปกปิดพรสวรรค์ของเขามาโดยตลอด!บัดนี้นางเข้าใจในเจตนาของฝ่าบาทแล้วฝ่าบาทตรัสว่าวิธีเอาชนะกองทัพช้างศึกนั้นได้ยินมาจากคำละเมอของจูอวิ่นเทิงตอนนี้มาคิดดูแล้ว สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง ไม่ได้โป้ปดเลยแม้แต่น้อย!จะว่าไปแล้วฝ่าบาทก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกบิดาของตนจูอวิ่นเทิงมีความสามารถ แล้วเหตุใดถึงต้องปกปิดไว้ตลอด?หรือว่าจูอวิ่นเทิงจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง?จะทูลให้ฝ่าบาททราบดีเรื่องนี้หรือไม่?ฝ่าบาททรงรับปากให้ตนแต่งงานกับจูอวิ่นเทิงจูอวิ่นเทิงคือสามีในอนาคตของนาง จะทำเช่นไรดี?จะให้จูอวิ่นเทิงรู้ไม่ได้ และยิ่งไม่อาจให้ฝ่าบาทรู้ด้วย ตนเองรู้ก็พอแล้วอันที่จริง ภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้คือการฟังเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง และสังเกตว่ามีสิ่งแปลกใหม่ใดภายในเรือนหรือไม่การไม่ทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบ ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดพระบัญชาเมื่อมู่เหยามองไปยังจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง ภาพลักษณ์ก็พลันสูงส่งขึ้นมาทันทีเดิมทีคิดว่าสามีในอนาคตจะเป็นคนปัญญาอ่อนทำอะไรไม่เป็น แต่ใครจะไปร

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 97

    “ฟางฮั่นหลิน ท่านหมายความว่าจะยังคงสอนหนังสือข้าหรือ?”จูอวิ่นเทิงอยากจะลองตรวจดูว่าหนังหน้าของฟางเสี้ยวหรูทำมาจากวัสดุใด ถึงได้หนาเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็นภาษาโบราณหรือบทกวี ฟางเสี้ยวหรูก็ถูกลูกศิษย์บดขยี้ทุกด้าน เขายังมีหน้ามาเป็นอาจารย์ต่ออีกหรือ?ฟางเสี้ยวหรูพยายามควบคุมความอับอายที่แผ่ซ่านอย่างหนักไม่มีทางเลือก การเป็นอาจารย์ส่วนตัวของจูอวิ่นเทิงคือคำสั่งของฝ่าบาท!เดิมทีเขาไม่ได้อยากมาสอนหนังสือ เพียงอยากมาฟังคำละเมอของจูอวิ่นเทิงเท่านั้นหากไม่ได้เป็นอาจารย์ของจูอวิ่นเทิงแล้ว จะชี้แจงให้คนภายนอกฟังอย่างไรดี?หากออกไปบอกว่าความสามารถของจูอวิ่นเทิงเหนือกว่าตนเอง แล้วต่อไปจะอยู่ในแวดวงบัณฑิตและนักกวีได้อย่างไร?และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ทุกคนอาจจะคิดว่าตนเองกำลังพูดจาเหลวไหลกระทั่งอาจมองว่าเขากำลังย่ำยีเกียรติตัวเอง เอาใจราชสำนัก!ดังนั้น ตอนนี้ยังไปไม่ได้!“อู๋อ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาสอนหนังสือ หากอู๋อ๋องไม่ให้กระหม่อมสอนแล้ว ก็ต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อน กระหม่อมจะกราบทูลสาเหตุให้ฝ่าบาททราบด้วยตนเอง”“หากฝ่าบาททรงยินยอม กระหม่อมก็จะไป”“แม

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 96

    “อาจารย์ฟาง การคำนวณ เป็นหนึ่งในหกศิลป์ของสุภาพชน แต่ท่านกลับบอกว่ามันเป็นทักษะพิสดารไร้ประโยชน์! ไร้สาระ เหลวไหลสิ้นดี!”“เหมือนพวกพิธีการ ดนตรี หรืออักษร มันเข้าใจง่าย พวกท่านจึงขวนขวายกันนัก! ส่วนวิชาที่ลึกซึ้งอย่างคำนวณ ท่านไม่เข้าใจ ก็เลยหลบเลี่ยง”“หากท่านไม่อยากเรียนวิชาคำนวณก็แล้วไป แต่ท่านไม่ควรดูถูกมัน!”เวลานี้ใบหน้าของฟางเสี้ยวหรูแดงก่ำ ไม่นึกเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะปากคอเราะรายถึงเพียงนี้อีกฝ่ายมีเหตุมีผล หากจะโต้แย้ง ก็ไม่รู้จะเริ่มแย้งจากตรงไหน!“ข้าจะถามท่านอีกครั้ง เหตุใดน้ำถึงไหลลงสู่ที่ต่ำ? เหตุใดผิงกั่วถึงตกลงสู่ด้านล่าง?”ฟางเสี้ยวหรูตอบว่า “นี่คือหลักการธรรมชาติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”“รู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น! พวกท่านไม่ได้ชอบพูดถึงการไขสิ่งของเพื่อรู้แจ้งอยู่ตลอดหรือ? แล้วท่านไขสิ่งใดได้บ้าง? คนอย่างพวกท่านยิ่งศึกษามากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของราชวงศ์ต้าหมิงมากเท่านั้น!”“รู้ว่าท่านไม่ยอมจำนน สิ่งที่ข้าทำได้ท่านทำไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำได้ข้าทำได้ทั้งหมด ถึงตาของท่านแล้ว!”น้ำเสียงช่างโอหังนัก!ฟางเสี้ยวหรูก

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 95

    ฟางเสี้ยวหรูไม่คาดคิดเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้!ถึงกับพูดว่าจะตั้งใจเรียน ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน!เจิ้งเหอและมู่เหยาจึงถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะไม่นานนัก มู่เหยาก็แอบย่องกลับมา ยืนอยู่ริมหน้าต่างเงียบ ๆภายในห้องหนังสือ จูอวิ่นเทิงกล่าวว่า “อาจารย์ฟาง ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ท่านสอนเหล่านั้น ช่างน่าเบื่อจริง ๆ”ฟางเสี้ยวหรูเกิดความขุ่นเคืองเมื่อก่อน จูอวิ่นเทิงเคยหลับในห้องเรียนของเขา ก็ยังพอทนได้!บัดนี้ ฝ่าบาทให้เขามาเป็นอาจารย์ส่วนตัวที่นี่ ก็ยังพอทนได้!ทว่า ตอนนี้จูอวิ่นเทิงกลับกล้าพูดต่อหน้าว่า สิ่งที่เขาสอนนั้นน่าเบื่อ!นี่มันคือการตบหน้ากันซึ่งหน้า ดูหมิ่นกันตรงนั้น!“อู๋อ๋อง ท่านจะดูหมิ่นกระหม่อมก็ไม่เป็นไร แต่จะมาดูหมิ่นปราชญ์ในอดีตไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดูหมิ่นคำสอนของปราชญ์ได้”จูอวิ่นเทิงยิ้ม “คำสอนของปราชญ์ ไหนลองยกตัวอย่างหน่อยสิ?”ฟางเสี้ยวหรูกล่าวว่า “ขงจื๊อกล่าว ในการปกครองประเทศใหญ่ ต้องเคารพหน้าที่และรักษาความสัตย์ มัธยัสถ์และรักผู้คน ให้ประชาชนได้ทำงานตามฤดูกาล”“ขงจื๊อกล่าว คนสามคนเดินด้วยกัน ย่อมมีอาจารย์ของเราสักคน”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status