แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: กวนเหอว่านหลี่
จูอวิ่นเทิงตกใจอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้กระมัง จูหยวนจางนี่เกิดนึกอะไรพิเรนทร์ขึ้นมา?

“เสด็จปู่ การเข้าร่วมประชุมราชสำนัก เรื่องใหญ่เช่นนี้จะให้หลานเข้าร่วมได้อย่างไรเล่า? ให้พี่รองไปจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ?”

[ตาเฒ่าเอ๊ย เรื่องเหนื่อยยากอย่างการเข้าประชุมเช้า ท่านจะให้ข้าทำได้อย่างไรกัน? กลางคืนข้ายังดื่มเหล้าเคล้านารีอยู่ข้างนอก แล้วตอนเช้าจะให้ตื่นขึ้นมาได้อย่างไรกัน? นี่มันช่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรมจริงๆ !]

จูหยวนจางทรงรู้สึกขุ่นเคืองในใจ การประชุมราชสำนัก นั่นไม่ว่าใครก็เข้าร่วมได้หรือ?

ให้เจ้าเข้าร่วมประชุม ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่เพียงใด? เจ้ากลับบอกว่าโหดร้ายไร้มนุษยธรรม?

อะไรนะ? เจ้าเด็กนี่อยู่ข้างนอก กลางคืนดื่มเหล้าเคล้านารีอย่างนั้นหรือ?

ช่างเหลวไหลสิ้นดี!

ต้องไปสืบสวนให้ดีๆ !

จูหยวนจางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เสียงในใจของจูอวิ่นเทิงก็ค่อยๆ เบาลง จนในที่สุดก็หายไป

ดูท่าแล้ว การที่จะได้ยินเสียงในใจของหลานคนนี้ คงต้องอยู่ใกล้ๆ เขาหน่อย!

จูอวิ่นเหวินมองน้องสามที่ไม่ได้เรื่องคนนี้แล้ว ก็นึกไม่ออกว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!

เมื่อครู่เสด็จปู่เสด็จมาทดสอบทุกคน เห็นได้ชัดว่าเป็นตนที่ทำได้ยอดเยี่ยมมิใช่หรือ?

แล้วเหตุใดเสด็จปู่ถึงได้พูดคุยแต่กับจูอวิ่นเทิง?

เสด็จปู่เอ่ยถาม แต่จูอวิ่นเทิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน

แถมยังเอาแต่บ่ายเบี่ยง ทั้งๆ ที่ให้เขาเข้าร่วมประชุมราชสำนัก!

ราวกับว่าวันนี้เสด็จปู่มองตนเป็นอากาศธาตุไปเสียแล้ว!

ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่จูอวิ่นเทิง!

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ชั่วขณะหนึ่ง ในใจของจูอวิ่นเหวินก็สับสนวุ่นวาย

ได้ยินมาว่าช่วงนี้ เสด็จปู่กำลังจะเลือกรัชทายาท

หากเลือกจากบรรดาท่านอา คนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือท่านอาสี่จูตี้

แต่ก็ได้ยินมาว่าเสด็จปู่เปลี่ยนใจแล้ว จะเลือกจากในหมู่พระราชนัดดาแทน

หากเลือกจากพระราชนัดดา ผู้ที่มีคุณสมบัติก็มีเพียงสองคน ตนเองกับน้องสามจูอวิ่นเทิง

หากว่ากันตามสายเลือด จูอวิ่นเทิงเป็นโอรสที่เกิดจากชายาเอก ส่วนตนเกิดจากอนุภรรยา

หากว่ากันตามเส้นสาย จูอวิ่นเทิงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มขุนศึกแห่งหวยซีเท่านั้น แต่ตนได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหมด

หากว่ากันตามความสามารถ จูอวิ่นเทิงเทียบกับตนไม่ได้เลย

และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งเสด็จปู่และเสด็จพ่อต่างก็โปรดปรานตน

เจ้าโง่จูอวิ่นเทิงนั่น วันๆ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเสด็จปู่และเสด็จพ่อ

นี่คือข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของเขา

ทว่า วันนี้ ดูเหมือนท่าทีของเสด็จปู่ที่มีต่อน้องสามปัญญาอ่อนคนนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

จูอวิ่นเหวินรีบไปยังวังหลังเพื่อไปหามารดาแม่นางหลี่ว์

หลังจากที่นางหลี่ว์ได้ฟัง ก็ครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่เข้าใจ ได้แต่ปลอบโยนว่า “ลูกแม่วางใจเถิด เจ้าโง่จูอวิ่นเทิงนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลูกหรอก!”

“บางที จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทให้เขาเข้าร่วมประชุมราชสำนัก อาจจะเป็นการทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล เพื่อให้พวกขุนศึกที่สนับสนุนเขาหมดคำจะกล่าว!”

เมื่อจูอวิ่นเหวินได้ฟัง ก็รู้สึกว่าท่านแม่เฉียบแหลมยิ่งนัก วิเคราะห์ได้ตรงประเด็นในทันที!

ที่พักของจูอวิ่นเทิงไม่ได้อยู่ในวังหลวง

แต่อยู่นอกวัง

นั่นคือเรือนที่ท่านลุงฉางเซิงหาไว้ให้เขา

มารดาของเขาเป็นบุตรสาวของฉางอวี้ชุน ส่วนลุงรองฉางเซิงคือไคกั๋วกง

หลังจากที่มารดาของเขาสิ้นไป นางหลี่ว์มารดาของจูอวิ่นเหวินก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายารัชทายาท

ทุกวันที่อยู่ในวัง จูอวิ่นเทิงจำต้องเรียกนางหลี่ว์ว่าท่านแม่

แต่เมื่อไม่มีใครอยู่ นางหลี่ว์ก็ไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ต่อจูอวิ่นเทิงเลย

ลุงรองฉางเซิงทนดูไม่ไหวจึงได้จัดหาบ้านพักหลังหนึ่งให้เขาอยู่นอกวัง

ด้วยเรื่องนี้ รัชทายาทจูเปียวผู้มีนิสัยอ่อนโยนถึงกับทะเลาะกับฉางเซิง

แต่สุดท้ายก็เป็นฉางเซิงผู้มีอารมณ์ร้อนเป็นฝ่ายเหนือกว่า

จูเปียวจึงได้เข้าใจถึงความลำบากของบุตรชายผู้ธรรมดาคนนี้ ยอมให้เขาไปอาศัยอยู่นอกวังโดยปริยาย แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อคือ ห้ามขาดเรียนที่ตำหนักเหวินหัว

สี่ปีก่อน ฉางเซิงไปทำศึกที่เหลียวตง และได้เก็บเด็กสาวชาวเกาลี่มาสองสามคน

เด็กสาวเหล่านั้นอายุน้อยเกินไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลานนอกจูอวิ่นเทิงไม่มีเพื่อนเล่น จึงยัดเด็กสาวเหล่านั้นไปเป็นสาวใช้ที่จวนของจูอวิ่นเทิงโดยตรง

จูอวิ่นเทิงเดินกลับมาที่เรือน เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว!”

เหมยเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์รีบวิ่งออกมา “คุณชายกลับมาแล้ว หม้อไฟเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”

จูอวิ่นเทิงหยิกแก้มของทั้งสองคนเบาๆ “เหมยเอ๋อร์กับหลานเอ๋อร์ยิ่งโตยิ่งสวย แถมยังทำงานเก่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย!”

ถ่านไฟถูกจุดขึ้น ขับไล่ความหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิออกไป

หม้อไฟสองน้ำซุปที่สวยงาม น้ำซุปหม้อไฟเนื้อวัวรสเผ็ด เนื้อแกะฝานบางๆ ผ้าขี้ริ้ว และผักต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีในยุคนี้

เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นเล็ดลอดออกไป จึงเลือกรับประทานอาหารในห้องที่ปิดมิดชิดที่สุด

อุปกรณ์และวัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จูอวิ่นเทิงใช้แต้มปลาเค็มแลกมา และเก็บไว้ในพื้นที่เก็บของระบบ

ทุกวันเวลาจะกิน ก็จะนำออกมาจากพื้นที่เก็บในระบบเล็กน้อยไปวางไว้ที่หลังเรือน

เหมยเอ๋อร์และหลันเอ๋อร์ก็จะไปนำออกมาจากด้านหลังได้เลย

เด็กสาวทั้งสองเป็นชาวเกาลี่ จึงคิดว่านี่เป็นวิถีชีวิตปกติของชาวต้าหมิง

ต่อมาเมื่อทั้งสองได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกจึงได้รู้ว่า จวนของคุณชายนั้นร่ำรวยที่สุด แม้แต่ภัตตาคารที่หรูหราที่สุดบนท้องถนน ก็ยังเทียบอาหารที่คุณชายทำไม่ติด

คุณชายบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นความลับของเขา

การเก็บความลับให้คุณชาย คือหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกนาง

“กินหม้อไฟ แล้วก็ดื่มเหล้าสักหน่อย ไล่ความหนาว” จูอวิ่นเทิงหยิบเหล้าเหมาไถชั้นเลิศออกมาจากพื้นที่เก็บในระบบอย่างสบายๆ

หลังจากดื่มลงท้องไปหลายจอก เหมยเอ๋อร์และหลานเอ๋อร์ก็เมามาย จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าด้วยตนเอง เพื่ออุ่นเตียงให้จูอวิ่นเทิง

การได้ดื่มเหล้าเหมาไถชั้นยอดในยุคนี้ ช่างเป็นความสุขท่วมท้นเสียจริง

แต่พอคิดถึงจูหยวนจางในวันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา

ดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นราวกับสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่ง หยั่งรู้ถึงจิตใจของผู้คนในโลกหล้า

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงพระสงฆ์รูปหนึ่ง สู่การครอบครองใต้หล้า จูหยวนจางช่างเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

ต่อไปนี้คงต้องซ่อนตัวเองให้ดี ระวังอย่าได้เปิดเผยความสามารถของตนเองเป็นอันขาด!

การที่จะให้จูหยวนจางแต่งตั้งตนเป็นพระนัดดารัชทายาทนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

อย่าได้คิดฝันเลย!

หากพยายามแสดงความสามารถของตนออกมา ก็จะยิ่งทำให้จูหยวนจางรังเกียจมากขึ้น

ยังมีเหตุผลที่ลึกซึ้งที่สุดอีกข้อหนึ่ง เบื้องหลังของตนเองมีกลุ่มขุนศึกแห่งหวยซีสนับสนุน!

หากตนได้เป็นพระนัดดารัชทายาท และสืบทอดราชบัลลังก์ในท้ายที่สุด จูหยวนจางย่อมกังวลว่าขุนศึกเหล่านั้นจะยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น

บทเรียนเรื่องญาติฝ่ายนอกกุมอำนาจและชิงอำนาจนั้นฝังรากลึกเกินไป!

ดังนั้น จูหยวนจางจึงยอมเลือกจูอวิ่นเหวินที่เกิดจากอนุภรรยา!

เช่นนี้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องญาติฝ่ายนอกกุมอำนาจและชิงอำนาจ

ดังนั้นไม่ว่าตนจะแสดงความสามารถอย่างไร ก็ไม่มีทางได้เป็นพระนัดดารัชทายาท

แน่นอนว่าจุดจบของจูอวิ่นเทิงในประวัติศาสตร์นั้นน่าเวทนา

หากต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมนี้ ก็ทำได้เพียงแค่เป็นปลาเค็มที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างสงบเสงี่ยม สะสมแต้มปลาเค็มไปเรื่อยๆ

เมื่อครบกำหนดสิบปี ทรัพยากรลึกลับนั้นปรากฏขึ้น เขาก็จะสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งต้าหมิงได้!

ชะตากรรมก็จะเปลี่ยนไปโดยปริยาย

ท่านสามารถเชื่อมั่นในระบบได้เสมอ!

เมื่อมีระบบแล้ว ทุกสิ่งล้วนถูกจัดสรรมาอย่างดีที่สุด

เขาดื่มเหล้าเหมาไถอีกจอกเล็กๆ พลางขยับปากลิ้มรส แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องในวันพรุ่งนี้

ตาเฒ่าให้ตนเข้าร่วมประชุมราชสำนัก สรุปต้องการจะทำอะไรกันแน่?

การแสดงออกของตนในวันนี้ จะถือว่ายอดเยี่ยมได้อย่างไร?

หรืออาจเป็นเพราะจูอวิ่นเหวินทำอะไรผิดพลาด ตาเฒ่าจึงใช้ตนมาตบหน้าสั่งสอนจูอวิ่นเหวิน

วันรุ่งขึ้น ขณะที่จูอวิ่นเทิงกำลังหลับสบาย ประตูเรือนก็ถูกทุบเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

พอได้ยินเสียงห้าวๆ ก็รู้ทันทีว่าเป็นลุงรองฉางเซิง

เกือบลืมไปเลยว่า ยังมีเรื่องเข้าประชุมเช้าอีก

ฉางเซิงเตรียมม้าไว้พร้อมแล้ว หลังจากขึ้นม้า ทั้งสองก็ขี่ม้าเคียงข้างกันไป

“หลานผู้แสนดีของลุงเอ๋ย ครั้งนี้เจ้าสร้างชื่อเสียงให้แก่ตระกูลฉางของเราแล้ว! จุ๊ ๆ ถึงกับได้เข้าประชุมเช้าแล้ว! เจ้าเด็กอวิ่นเหวินนั่นยังไม่เคยเข้าร่วมเลย!”

ฉางเซิงพูดเสียงดังเป็นพิเศษ ตั้งใจจะให้เหล่าขุนนางที่กำลังเดินทางไปประชุมเช้าทั้งข้างหน้าและข้างหลังได้ยิน

ในบรรดาขุนนาง มีทั้งขี่ม้า นั่งเกี้ยว และเดินเท้าวิ่งเหยาะๆ ก็มีไม่น้อย

ผู้ที่ขี่ม้าส่วนใหญ่เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ พวกเขารีบเข้ามาหาจูอวิ่นเทิง แล้วกล่าวชื่นชมกันยกใหญ่

จนจูอวิ่นเทิงเองยังสงสัยขึ้นมา ข้าดีขนาดนั้นเชียวหรือ?

พวกที่นั่งเกี้ยวและเดินเท้า ส่วนใหญ่แสดงท่าทีดูแคลน เรื่องนี้จะดีหรือร้ายนั้น ยังบอกได้ยาก

พวกนักรบเหล่านี้ ช่างไร้มารยาท มองสถานการณ์ไม่ออก!

ขณะที่พูดคุยกัน ก็มาถึงประตูวัง

คนที่นั่งเกี้ยวก็ลงจากเกี้ยว คนที่ขี่ม้าก็ลงจากม้า

เมื่อเดินตามฉางเซิงเข้าไป สายตาหลายคู่ก็กวาดมองมา

ตอนแรกจูอวิ่นเทิงยังจิตใจสงบนิ่ง ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ฉางเซิงยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีหน้ามีตา

ทันใดนั้น สีหน้าของจูอวิ่นเทิงก็เริ่มกระสับกระส่าย การพูดจาก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมคือ ติดอ่าง

เมื่อเข้าไปในท้องพระโรง จูอวิ่นเทิงก็หาที่ยืนตรงมุมสุดของแถวสุดท้าย ยืนก้มหน้าก้มตาหดคอ

ที่ตรงนี้ ทั้งไม่เป็นที่สังเกต และไม่มีลมหนาวพัดมา เช่นนี้ช่างดีเสียนี่กระไร

หลังจากฟังหัวข้อประชุมเรื่องการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ เมล็ดพันธุ์ วัวไถนา และอื่นๆ ซึ่งไม่น่าตื่นเต้นเลยสักนิด จูอวิ่นเทิงก็พิงกำแพงแล้วง่วงเหงาหาวนอน

ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ อยู่นั้น ก็มีมือใหญ่คู่หนึ่งมาผลักจูอวิ่นเทิงให้ตื่น

“ตื่นๆ ฝ่าบาทเรียกเจ้าอยู่”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 100

    ฉางเซิงได้ฟังก็รู้ว่า ที่แท้เป็นขันทีน้อยที่ฝ่าบาทส่งมาให้จูอวิ่นเทิงเแก้ปัญหาให้เรื่องนี้ ควรบอกให้ฝ่าบาททราบดีหรือไม่?เมื่อตัดสินใจได้ ฉางเซิงก็กราบทูลให้จูหยวนจางทราบก่อนจูหยวนจางคิดดูแล้ว ปัญหาก็ถูกแก้ไขแล้ว และคนที่จัดการก็คือมู่เหยาต้องเป็นหลานสามที่บอกวิธีแก่มู่เหยาแน่ ๆแล้ววิธีนั้นคืออะไรกันแน่ จูหยวนจางสนใจเป็นอย่างมากเสียงในใจของจูอวิ่นเทิงที่สำนักโหราศาสตร์หลวงวันนั้น จูหยวนจางกลับไปแล้วก็คิดทบทวนอยู่นานหากวิชาคณิตศาสตร์แพร่หลาย งานฝีมือ อาวุธ และอื่น ๆ ของต้าหมิงก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว!โดยเฉพาะอาวุธ ในฐานะฮ่องเต้ผู้มาจากสนามรบ ย่อมรู้ดีถึงความสำคัญของมันแต่ภายใต้การกดดันของพระองค์เอง ฐานะของขุนนางฝ่ายบู๊ก็ลดลง ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีฐานะสูงขึ้นก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า “ทุกสิ่งล้วนต่ำต้อย มีเพียงการศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง”ในฐานะฮ่องเต้ที่ไต่เต้ามาจากชนชั้นล่าง ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อพวกฝ่ายบุ๋นที่ทำงานไม่เป็น ได้แต่อวดเก่งในชนบท แม้แต่การปรับปรุงเครื่องมือทางการเกษตรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ได้ในทันทีดังนั้น จูหยวนจาง

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 99

    “มู่เหยา ที่จริงข้ากำลังปิดบังความสามารถบางอย่างอยู่” จูอวิ่นเทิงย้ำอีกครั้งเพราะเขาไม่เห็นความตกใจในแววตาของมู่เหยาเลยมู่เหยาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ว่าท่านมีความสามารถ”หืม มู่เหยารู้แล้วหรือ?“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”มู่เหยากล่าวว่า “เพราะหม่อมฉันเชื่อในความ...ความรู้สึกของหม่อมฉัน ท่านต้องมีความสามารถแน่นอน อาจมีเหตุผลเฉพาะบางอย่างที่ไม่บอกคนภายนอกเท่านั้นเอง”จูอวิ่นเทิงจิตใจเบิกบานในทันที ไม่คิดเลยว่ามู่เหยาจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ตน!อาศัยเพียงความรู้สึก ไม่มีเหตุผลใด ๆ ก็เชื่อว่าตนมีความสามารถแล้วลุงรองก็เป็นแบบนี้ มู่เหยาก็เช่นกันได้ผู้คลั่งไคล้ไม่ลืมหูลืมตาเพิ่มอีกคนแล้วการมีคนอื่นเลื่อมใสศรัทธาโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้จิตใจอันทระนงของตนได้รับความพึงพอใจอย่างมาก“ถึงแม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องบุ๋นและไม่เก่งเรื่องบู๊ แต่ข้าก็มีความรู้จิปาถะอยู่บ้าง อย่างเช่นคณิตศาสตร์และเรขาคณิตเป็นต้น”มู่เหยาแอบหัวเราะในใจ สามีในอนาคตของนางยังคงเสแสร้งอยู่ไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ? ท่านบดขยี้ฟางเสี้ยวหรูในทุกด้าน ท่านบอกว่าไม่ถนัดเรื่องบุ๋นหรือ?ไม่เก่งเรื่องบู๊? ข้าที่ฝึ

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 98

    สามารถพูดได้ว่า ความปราดเปรื่องของจูอวิ่นเทิงนั้น ไร้ผู้เทียมทานในยุคนี้!หลายปีมานี้ จูอวิ่นเทิงได้ปกปิดพรสวรรค์ของเขามาโดยตลอด!บัดนี้นางเข้าใจในเจตนาของฝ่าบาทแล้วฝ่าบาทตรัสว่าวิธีเอาชนะกองทัพช้างศึกนั้นได้ยินมาจากคำละเมอของจูอวิ่นเทิงตอนนี้มาคิดดูแล้ว สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสนั้นเป็นความจริง ไม่ได้โป้ปดเลยแม้แต่น้อย!จะว่าไปแล้วฝ่าบาทก็ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกบิดาของตนจูอวิ่นเทิงมีความสามารถ แล้วเหตุใดถึงต้องปกปิดไว้ตลอด?หรือว่าจูอวิ่นเทิงจะมีความลำบากใจอะไรบางอย่าง?จะทูลให้ฝ่าบาททราบดีเรื่องนี้หรือไม่?ฝ่าบาททรงรับปากให้ตนแต่งงานกับจูอวิ่นเทิงจูอวิ่นเทิงคือสามีในอนาคตของนาง จะทำเช่นไรดี?จะให้จูอวิ่นเทิงรู้ไม่ได้ และยิ่งไม่อาจให้ฝ่าบาทรู้ด้วย ตนเองรู้ก็พอแล้วอันที่จริง ภารกิจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้คือการฟังเสียงในใจของจูอวิ่นเทิง และสังเกตว่ามีสิ่งแปลกใหม่ใดภายในเรือนหรือไม่การไม่ทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบ ก็ไม่ถือว่าเป็นการขัดพระบัญชาเมื่อมู่เหยามองไปยังจูอวิ่นเทิงอีกครั้ง ภาพลักษณ์ก็พลันสูงส่งขึ้นมาทันทีเดิมทีคิดว่าสามีในอนาคตจะเป็นคนปัญญาอ่อนทำอะไรไม่เป็น แต่ใครจะไปร

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 97

    “ฟางฮั่นหลิน ท่านหมายความว่าจะยังคงสอนหนังสือข้าหรือ?”จูอวิ่นเทิงอยากจะลองตรวจดูว่าหนังหน้าของฟางเสี้ยวหรูทำมาจากวัสดุใด ถึงได้หนาเพียงนี้!ไม่ว่าจะเป็นภาษาโบราณหรือบทกวี ฟางเสี้ยวหรูก็ถูกลูกศิษย์บดขยี้ทุกด้าน เขายังมีหน้ามาเป็นอาจารย์ต่ออีกหรือ?ฟางเสี้ยวหรูพยายามควบคุมความอับอายที่แผ่ซ่านอย่างหนักไม่มีทางเลือก การเป็นอาจารย์ส่วนตัวของจูอวิ่นเทิงคือคำสั่งของฝ่าบาท!เดิมทีเขาไม่ได้อยากมาสอนหนังสือ เพียงอยากมาฟังคำละเมอของจูอวิ่นเทิงเท่านั้นหากไม่ได้เป็นอาจารย์ของจูอวิ่นเทิงแล้ว จะชี้แจงให้คนภายนอกฟังอย่างไรดี?หากออกไปบอกว่าความสามารถของจูอวิ่นเทิงเหนือกว่าตนเอง แล้วต่อไปจะอยู่ในแวดวงบัณฑิตและนักกวีได้อย่างไร?และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ทุกคนอาจจะคิดว่าตนเองกำลังพูดจาเหลวไหลกระทั่งอาจมองว่าเขากำลังย่ำยีเกียรติตัวเอง เอาใจราชสำนัก!ดังนั้น ตอนนี้ยังไปไม่ได้!“อู๋อ๋อง กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาสอนหนังสือ หากอู๋อ๋องไม่ให้กระหม่อมสอนแล้ว ก็ต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อน กระหม่อมจะกราบทูลสาเหตุให้ฝ่าบาททราบด้วยตนเอง”“หากฝ่าบาททรงยินยอม กระหม่อมก็จะไป”“แม

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 96

    “อาจารย์ฟาง การคำนวณ เป็นหนึ่งในหกศิลป์ของสุภาพชน แต่ท่านกลับบอกว่ามันเป็นทักษะพิสดารไร้ประโยชน์! ไร้สาระ เหลวไหลสิ้นดี!”“เหมือนพวกพิธีการ ดนตรี หรืออักษร มันเข้าใจง่าย พวกท่านจึงขวนขวายกันนัก! ส่วนวิชาที่ลึกซึ้งอย่างคำนวณ ท่านไม่เข้าใจ ก็เลยหลบเลี่ยง”“หากท่านไม่อยากเรียนวิชาคำนวณก็แล้วไป แต่ท่านไม่ควรดูถูกมัน!”เวลานี้ใบหน้าของฟางเสี้ยวหรูแดงก่ำ ไม่นึกเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะปากคอเราะรายถึงเพียงนี้อีกฝ่ายมีเหตุมีผล หากจะโต้แย้ง ก็ไม่รู้จะเริ่มแย้งจากตรงไหน!“ข้าจะถามท่านอีกครั้ง เหตุใดน้ำถึงไหลลงสู่ที่ต่ำ? เหตุใดผิงกั่วถึงตกลงสู่ด้านล่าง?”ฟางเสี้ยวหรูตอบว่า “นี่คือหลักการธรรมชาติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”“รู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น! พวกท่านไม่ได้ชอบพูดถึงการไขสิ่งของเพื่อรู้แจ้งอยู่ตลอดหรือ? แล้วท่านไขสิ่งใดได้บ้าง? คนอย่างพวกท่านยิ่งศึกษามากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของราชวงศ์ต้าหมิงมากเท่านั้น!”“รู้ว่าท่านไม่ยอมจำนน สิ่งที่ข้าทำได้ท่านทำไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำได้ข้าทำได้ทั้งหมด ถึงตาของท่านแล้ว!”น้ำเสียงช่างโอหังนัก!ฟางเสี้ยวหรูก

  • อยากเนียนเป็นปลาเค็ม แต่ฮ่องเต้ดันจับโป๊ะจากในใจ   บทที่ 95

    ฟางเสี้ยวหรูไม่คาดคิดเลยว่าจูอวิ่นเทิงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้!ถึงกับพูดว่าจะตั้งใจเรียน ก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน!เจิ้งเหอและมู่เหยาจึงถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะไม่นานนัก มู่เหยาก็แอบย่องกลับมา ยืนอยู่ริมหน้าต่างเงียบ ๆภายในห้องหนังสือ จูอวิ่นเทิงกล่าวว่า “อาจารย์ฟาง ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่า สิ่งที่ท่านสอนเหล่านั้น ช่างน่าเบื่อจริง ๆ”ฟางเสี้ยวหรูเกิดความขุ่นเคืองเมื่อก่อน จูอวิ่นเทิงเคยหลับในห้องเรียนของเขา ก็ยังพอทนได้!บัดนี้ ฝ่าบาทให้เขามาเป็นอาจารย์ส่วนตัวที่นี่ ก็ยังพอทนได้!ทว่า ตอนนี้จูอวิ่นเทิงกลับกล้าพูดต่อหน้าว่า สิ่งที่เขาสอนนั้นน่าเบื่อ!นี่มันคือการตบหน้ากันซึ่งหน้า ดูหมิ่นกันตรงนั้น!“อู๋อ๋อง ท่านจะดูหมิ่นกระหม่อมก็ไม่เป็นไร แต่จะมาดูหมิ่นปราชญ์ในอดีตไม่ได้ ยิ่งไม่สามารถดูหมิ่นคำสอนของปราชญ์ได้”จูอวิ่นเทิงยิ้ม “คำสอนของปราชญ์ ไหนลองยกตัวอย่างหน่อยสิ?”ฟางเสี้ยวหรูกล่าวว่า “ขงจื๊อกล่าว ในการปกครองประเทศใหญ่ ต้องเคารพหน้าที่และรักษาความสัตย์ มัธยัสถ์และรักผู้คน ให้ประชาชนได้ทำงานตามฤดูกาล”“ขงจื๊อกล่าว คนสามคนเดินด้วยกัน ย่อมมีอาจารย์ของเราสักคน”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status