หลังจากออกว่าราชกิจที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้และราชครูหม่าก็ไปยังห้องทรงงาน ณ ตำหนักหย่งฟู่
“เรื่องที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมสืบได้ความว่าท่านมหาเสนาบดีเหยาอยากอุ้มหลาน เลยสั่งให้เหยาเฟยใกล้ชิดกับฝ่าบาทเพิ่มขึ้นพะย่ะค่ะ ”
“เจ้าคิดว่าสาเหตุมีเพียงเท่านี้หรือ” ฮ่องเต้ถามกลับด้วยความคลางแคลงใจ
“แค่นี้จริงๆพะย่ะค่ะ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย มิต้องทรงวิตกกังวล เรื่องสำคัญสำหรับฝ่าบาทในตอนนี้คือให้กำเนิดองค์รัชทายาทได้แล้วพะย่ะค่ะ”
ราชครูหม่าทำมือประสานกันค้อมตัว หลบสายตาขณะกล่าวตอบฮ่องเต้ เขาก้มหน้าแล้วกล่าวต่อ
“กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรต้องใช้เวลาในยามค่ำคืนกับพระสนมได้แล้วพะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อความมั่นคงของพระราชบัลลังก์และความสงบของรัฐต้าเซี่ยได้”
“เจ้าอย่ารวบรัดเจิ้น เจิ้นยังไม่อยากใกล้ชิดสตรี” ริมฝีปากบางของฮ่องเต้เริ่มเปล่งน้ำเสียงไม่พอใจออกมา
“หามิได้พะย่ะค่ะ แต่ฝ่าบาทควรเริ่มได้แล้ว ยิ่งเร็วยิ่งดี แม้กระหม่อมจะไม่พูดวันนี้ แต่อีกไม่กี่วันไทเฮาคงมีรับสั่งออกมาอยู่ดีพะย่ะค่ะ” คู่สนทนายังคงก้มหน้าและตอบออกไปอย่างไม่เกรงกลัว
ดวงตาหงส์ของฮ่องเต้หรี่ลง หัวคิ้วเริ่มขมวดและเม้มริมฝีปาก แขนกำยำทั้งสองข้างกอดอก เขาใช้ความคิด พลันก็หันไปสั่งเฉิงกงกงว่า
“เฉิงกงกง เจ้าจงนำป้ายชื่อพระสนมมาให้เจิ้นด้วย”
เฉิงกงกงน้อมรับพระบัญชาด้วยความตกใจ ‘สวรรค์ ฝ่าบาทจะทรงยอมใกล้ชิดกับสตรีเสียที’เขารีบตอบรับ
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท” จากนั้นก็เดินร่างปลิวออกไปจากห้องทรงงาน
เมื่อทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ตรัสกับราชครูหม่า
“ท่านไปได้แล้ว เจิ้นก็จะกลับตำหนักล่ะ” พูดจบก็เสด็จออกจากตำหนักหย่งฟู่ตามเฉิงกงกงไป
ฮ่องเต้เสด็จถึงตำหนักเหอเซิ่งก็เริ่มเข้าสู่ยามโหย่ว (17.00 – 18.59 น.) เหล่าขันทีเริ่มนำพระกระยาหารขึ้นโต๊ะ ขันทีอันก็นำอาหารของเสี่ยวหู่มาวางเช่นกัน
‘กินดีอยู่ดีกว่าฉันตอนนี้อีกนะเจ้าการ์ฟีลด์’ เถียนจิ้งหลานในร่างขันทีอันพยายามเลียนแบบท่าทางของเจ้าของร่างตัวจริงด้วยความตั้งอกตั้งใจ จนไม่ได้สังเกตกับสถานการณ์รอบข้าง
“ฝ่าบาท ป้ายชื่อมาแล้วพะย่ะค่ะ ทรงเลือกตามที่พอพระทัยได้เลยพะย่ะค่ะ” เฉิงกงกงน้อมตัวยื่นแขนที่ถือถาดใส่ป้ายชื่อพระสนมทั้งสามให้ฮ่องเต้ได้ทรงทอดพระเนตร
“ไม่ครบทุกคนนี่” ฮ่องเต้เพียงกวาดสายตามองก็เอ่ยออกมา
“เถียนเฟยยังไม่ได้สติ กระหม่อมเลยเอาป้ายชื่อออกพะย่ะค่ะ” มือที่ถือถาดป้ายชื่อก็เริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แม้อยู่รับใช้ฮ่องเต้ตั้งแต่ยังทรงเป็นองค์ชายน้อย แต่เรื่องเกี่ยวกับสตรีก็ไม่สามารถเดาพระทัยของฮ่องเต้ได้
“เจิ้นจะเลือกเถียนเฟย เจ้าไม่ต้องโต้แย้งไปเอาป้ายชื่อนางมา เจิ้นจะเสวยอาหารแล้ว”
ฮ่องเต้พูดตัดบทจบก็นั่งลงบนโต๊ะ ยกมือลูบหัวเสี่ยวหู่ที่กำลังจะเริ่มกินอาหาร
“กินปลาเยอะๆจะได้เฉลียวฉลาดมีสติปัญญา ขันทีอัน เจ้าก็ด้วย ช่วงนี้เจ้าควรกินปลาเยอะๆ”
ตาหงส์ของฮ่องเต้ละจากเสี่ยวหู่เงยขึ้นมองขันทีอัน สายตาแสดงออกถึงความสงสารไม่ก็สมเพช
เถียนจิ้งหลานในร่างขันทีอัน ได้ยินดังนั้นจากที่เหม่อลอยก็พลันได้สติ “พะย่ะค่ะ” ‘ฮ่องเต้มีไหมจะไม่แขวะฉัน’
“พอเจิ้นเสวยเสร็จ จะอาบน้ำก่อนไปตำหนักซินหยวน ขันทีอัน เจ้าไปดูแลเจิ้นในห้องสรงน้ำจากนั้นตามเจิ้นไปตำหนักซิน หยวนด้วย”
ขันทีอันฟังเพลินๆก็สะดุ้งตกใจ รับคำ “เพ...”เมื่อได้สติก็รีบเอามือปิดปากตนเอง ดีที่ยังไม่หลุด “คะ”ออกจากปาก
‘ปกติฮ่องเต้จะอยู่ในห้องอาบน้ำคนเดียว แล้วทำไมรอบนี้ต้องมีขันทีคอยรับใช้ อีกทั้งขันทีหนุ่มน้อยมีตั้งหลายคน ทำไมต้องเป็นขันทีอัน โอ้ย ต้องอยู่ในห้องอาบน้ำกับฮ่องเต้อีกครั้ง ความซวยมาเยือนฉันแล้ว ล่ะ...แล้ว อะไรนะ ตำหนักซินหยวน ฝ่าบาทจะเสด็จไปทำไมกัน’ ในใจเริ่มคิดฟุ้งซ่าน แต่ต้องตอบรับ “พะย่ะค่ะ”
ภายในห้องสรงน้ำที่มีแสงสลัว ขันทีอันนำอุปกรณ์อาบน้ำและผ้าคลุมมาแขวนไว้ แล้วยืนรอฮ่องเต้อยู่ด้านข้างสระอย่างเงียบเชียบ
ครั้นฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ปลดฉลองพระองค์ของเจิ้นออก”
“พะ พะ พะย่ะค่ะ” ขันทีร่างน้อยเดินมาอยู่ข้างๆพระวรกายฮ่องเต้ มือบางสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ค่อยๆยื่นไปปลดฉลองพระองค์อย่างงกๆเงิ่นๆ
‘ทำไมใส่หลายชั้นอย่างนี้นะ ถอดยากชะมัด’
คิดไปพลางเอาแขนทั้งสองข้างโอบกายฮ่องเต้ขณะถอดฉลองพระองค์ ด้วยความที่ตั้งใจมากไปจึงไม่ได้ระวังตนเอง ‘โป๊ก’ เสียงหน้าผากของขันทีอันกระแทกเข้าไปที่คางของฮ่องเต้อย่างจัง
“โอ๊ย” ขันทีน้อยร้องออกมา พร้อมเอามือลูบศีรษะตนเองให้คลายความเจ็บ ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบกระจายอยู่ทั่วร่างกาย พลันได้สติก็รีบคุกเข่าด้วยตัวสั่นเทา ‘ข้าคงไม่ทำให้ตัวเองและขันทีอันตายไปพร้อมกันหรอกนะ’
“กระหม่อมขอประทานอภัย ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บไหมพะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้น แล้วมาใกล้ๆเจิ้น” เสียงรับสั่งดังขึ้นอย่างขุ่นเคือง
ขันทีอันได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปยังฮ่องเต้ ท่อนล่างของฮ่องเต้ยังสวมกางเกงอยู่ แต่ท่อนบนเปลือยเปล่าเห็นมัดกล้ามเนื้ออันสมบูรณ์
‘อูย ลีนสวยมากเลย หนึ่ง สอง สาม...แปดแพค สุดยอด’ ถึงจะอยู่ในร่างชายหนุ่ม แต่จิตวิญญาณยังเป็นสาวน้อยอยู่จึงอดมองไม่ได้
“เจิ้นบอกให้เจ้าลุกขึ้นมาหาเจิ้น”
เสียงกดต่ำของฮ่องเต้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหวาดกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขันทีอันรีบลุกขึ้นจึงเซถลาล้มลงไปกองข้างพระบาทฮ่องเต้
‘แง แง ตายแน่ๆ’ “หม่อมฉันขออภัย ขอประทานอภัยเพคะ”
เขาหลุดพูดหม่อมฉันและเพคะออกไปแต่เสียงยังคงเป็นชาย
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาก้มตัวแล้วก็คว้าแขนของขันทีอันกระชากขึ้นให้ลุกขึ้นยืน แล้วดึงเข้ามาใกล้กับร่างกายกำยำของเขา ก้มพระพักตร์จ้องมองหน้าขันทีอัน นิ้วมืออีกข้างค่อยๆลูบบริเวณกรามไล่ลงมาตามคางแล้ววนไปทางหลังคอ
ช่างเป็นภาพให้ผู้คนที่เห็นเคอะเขินยิ่งนัก!
สาวน้อยที่อยู่ในกายชายหนุ่ม มีหรือที่จะไม่ใจสั่น ความรู้สึกนึกคิดส่งผลต่อร่างกายขันทีอัน ใบหน้าขันทีอันค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อลามไปยังใบหูและลำคอ
มือของฮ่องเต้ที่กำลังลูบคล้ายกับกำลังค้นหาบางสิ่งก็หยุดลง
‘ไม่ได้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ แล้วทำไมถึงเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนกัน’ ฮ่องเต้ขมวดคิ้วสงสัย
“ออกไปรอข้างนอก เจิ้นจะอาบน้ำ”
ขันทีหนุ่มเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์รีบกระวีกระวาดออกจากห้องอาบน้ำ มายืนรอหน้าห้อง ถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวพึมพำกับตนเอง
“ดีนะรอดมาได้ ถ้าต้องอยู่กับฮ่องเต้ตอนเปลือย ฉันคงเป็นลมแน่ๆ”
คิดภาพตอนถูกลูบแถวแก้มอีกรอบก็บิดตัวเขิน กรี๊ดในใจเงียบๆ
‘ทำไมยุคนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือกับอินเตอร์เน็ตเนี่ย ฉันอยากจะกรี๊ดผ่านวีแชทกับเวยป๋อให้บรรดาเพื่อนสาวอิจฉาเล่น’
ยังไม่ทันหายตื่นเต้น ฮ่องเต้ก็เสด็จออกมา ปรายตาหงส์มองไปยังขันทีหนุ่มที่ยังยืนบิดตัวอยู่ ริมฝีปากบางเปล่งเสียง
“เจ้าตามเจิ้นไปตำหนักซินหยวน” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงเบาจนผู้อื่นแทบไม่ได้ยิน “เจ้าเสี่ยวหู่สอง”
มาถึงตำหนักซินหยวนก็เข้าช่วงปลายของยามซวี (19.00 – 20.59 น.) เหล่าขันทีและนางกำนัลในตำหนักล้วนทราบว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาตั้งแต่เย็น ถึงอย่างนั้นก็ยังงุนงงกันอยู่“ถวายพระพรฝ่าบาท” เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างกล่าวรับเสด็จพร้อมกัน“เถียนเฟยอยู่ห้องไหน คืนนี้เจิ้นจะค้างที่นี่” ฮ่องเต้กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา“หม่อมฉันจะนำเสด็จเองเพคะ” เสียงหวานของโหรวม่านดังขึ้น พร้อมกับส่งสายตาให้กับซิ่วฟางและเซียงหรูให้ตามไปด้วยกันเมื่อถึงห้องบรรทมของเถียนเฟย โหรวม่านกับซิ่วฟางก็ยืนหลบมุมภายในห้องรอรับสั่งของฮ่องเต้ ส่วนเซียงหรูกับเนี่ยนเหวินก็ยกถาดของว่างและน้ำชาเข้ามาถวายแก่ฮ่องเต้ฮ่องเต้กวาดสายตามองไปทั่วห้องเห็นพระสนมร่างเล็กนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงก็เอ่ยขึ้นว่า “นำเสื้อคลุมขนสัตว์ของเถียนเฟยมาให้เจิ้น แล้วพวกเจ้าก็ออกไปได้” พลัน
หลังจากออกว่าราชกิจที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้และราชครูหม่าก็ไปยังห้องทรงงาน ณ ตำหนักหย่งฟู่“เรื่องที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมสืบได้ความว่าท่านมหาเสนาบดีเหยาอยากอุ้มหลาน เลยสั่งให้เหยาเฟยใกล้ชิดกับฝ่าบาทเพิ่มขึ้นพะย่ะค่ะ ”“เจ้าคิดว่าสาเหตุมีเพียงเท่านี้หรือ” ฮ่องเต้ถามกลับด้วยความคลางแคลงใจ“แค่นี้จริงๆพะย่ะค่ะ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย มิต้องทรงวิตกกังวล เรื่องสำคัญสำหรับฝ่าบาทในตอนนี้คือให้กำเนิดองค์รัชทายาทได้แล้วพะย่ะค่ะ”ราชครูหม่าทำมือประสานกันค้อมตัว หลบสายตาขณะกล่าวตอบฮ่องเต้ เขาก้มหน้าแล้วกล่าวต่อ“กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรต้องใช้เวลาในยามค่ำคืนกับพระสนมได้แล้วพะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อความมั่นคงของพระราชบัลลังก์และความสงบของรัฐต้าเซี่ยได้”“เจ้าอย่ารวบรัดเจิ้น เจิ้นยังไม่อ
“เสี่ยวหู่ เจ้านี่เก่งนะ ทำให้เหยาเฟยอุ้มมาส่งด้วยพระองค์เองได้”ฝ่ามือเรียวของขันทีอันกึ่งขยี้กึ่งนวดคลึงบนลำตัวและขนของเสี่ยวหู่‘สบายสุดๆ มันแปลกตรงไหนกัน’ “เหมียวๆๆ”ขันทีอันเห็นการตอบกลับของเสี่ยวหู่ก็พูดต่อ“ปกติเหยาเฟยแทบไม่ออกนอกเขตตำหนัก ถ้าไม่มีรับสั่งจากไทเฮาหรือฮ่องเต้ ขนาดสวนดอกไม้ยังไม่ค่อยไปเลย”“เหยาเฟยเป็นพวกอินโทรเวิร์ตหรือนี่ ” “เหมียวๆๆๆ”ขันทีอันมือหนึ่งตักน้ำอุ่นมาค่อยๆรดบนตัวของเสี่ยวหู่ มืออีกข้างค่อยๆลูบน้ำบนขนออก พลางกระซิบเบาๆ “ข้าพูดกับเจ้า เจ้าก็อย่าไปบอกใครนะ”‘เรื่องนี้ขันทีกับนางกำนัลในวังก็น่าจะรู้มั้ย ความลับตรงไหนกัน’“ได้ๆ ข้าจะ
ภายใต้ร่มเงาไม้แสงแดดรำไร สายลมเย็นๆพัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวตามแรงลม เหยาเฟยสตรีหน้าตางดงามรูปร่างบอบบาง สวมอาภรณ์สีเขียวสดใสกำลังนั่งท่ามกลางมวลดอกไม้พูดคุยหยอกเย้าอยู่กับนางกำนัลของตนหลิงฮุ่ยจ้องมองใบหน้าของเหยาเฟยด้วยความชื่นชม ปากน้อยๆส่งเสียงเจื้อยแจ้วได้ยินชัดเจนว่า“เหยาเฟยเพคะ พระองค์ทรงงดงามขนาดนี้ ขนาดหม่อมฉันที่เป็นสตรีด้วยกันยังหลงใหล ทำไมพระองค์ไม่เสด็จไปหาฮ่องเต้ล่ะเพคะ ฮ่องเต้น่าจะโปรดปรานพระองค์ไม่มากก็น้อย”เหยาเฟยเอื้อมมือเรียวไปบีบแก้มหลิงฮุ่ย กล่าวอย่างเอ็นดู“เจ้าก็พูดไป เจ้าก็รู้ว่าฝ่าบาทไม่ทรงโปรดสตรี ต้องให้ข้าทำอย่างไรให้ฝ่าบาทมาสนใจข้าดีล่ะ”“ชายหนุ่มอย่างไรก็ต้องแพ้สัญชาตญาณของบุรุษเพศอยู่ดีเพคะ อาจจะต้องพยายามปลุกมันบ่อยๆเท่านั้นเอง”หลิงฮุ่ยโน้มตัวไปแนบกาย พูดกึ่งกระซิบข้างหูของเหยาเฟย มือน้อยพลางเล่นม้วนปอยผมขอ
ณ หน้าตำหนักเหอเซิ่งเสี่ยวหู่รับรู้ได้ถึงไอของความเย็นยะเยือกและหมอกดำแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ เงาดำที่เห็นเมื่อสักครู่แวบหายไปก่อนที่จะมาถึง‘ทำไมคืนนี้ถึงปรากฏความผิดปกติเกิดขึ้นนะ กำลังจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นหรือเปล่าเนี่ย’เมื่อเธอเดินสำรวจไปรอบๆหน้าตำหนักยังไม่พบเจอสิ่งใดผิดสังเกต‘รอดูพรุ่งนี้อีกวันละกัน อาจจะเป็นแค่วันปล่อยผีก็ได้มั้ง’ จากนั้นเถียนจิ้งหลานในร่างเสี่ยวหู่ก็กลับเข้าตำหนักไปนอนบนเตียงนุ่มๆของตนเองยามแสงสว่างสาดส่องมาทางหน้าต่าง ยังไม่ทันที่จะรู้สึกตัวตื่นจากความอบอุ่นในตอนเช้า กลับต้องสะดุ้งตกใจตื่นเพราะเสียงของเฉิงกงกง“ฝ่าบาทๆ พะย่ะค่ะ”“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น” เสียงเนือยๆของฮ่องเต้ดังขึ้น&ldquo
ขณะที่ขันทีอันยื่นแขนออกมารับเสี่ยวหู่นั้น ฮ่องเต้ก็ชักมือของตนที่อุ้มเสี่ยวหู่กลับเข้าหาตัว“ไม่ต้องล่ะ เดี๋ยวอาบพร้อมกับเจิ้นเลย”เถียนจิ้งหลานได้ยินดังนั้นก็พลันตื่นตระหนก ‘อะ อะ อาบน้ำกับฝ่าบาท ไม่นะ สตรีใสซื่อไร้เดียงสาบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างฉันเกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรอย่างนั้นเลยนะ’ปฏิกิริยาของร่างกายตอบสนองทั้งดิ้น ตะกุยตะกายในอ้อมแขนของฮ่องเต้ เล็บข่วนแขนเสื้อของฮ่องเต้จนผ้าเป็นรอยยาวฮ่องเต้ขมวดคิ้ว มองการกระทำของแมวน้อยในอ้อมแขน“เจ้าเป็นอะไร วันนี้กลัวน้ำหรืออย่างไร ไม่ต้องกลัว เจิ้นไม่ให้เจ้าจมน้ำหรอก” ว่าแล้วเขาก็อุ้มเสี่ยวหู่ไปยังห้องสรงน้ำส่วนพระองค์เสี่ยวหู่ชอกช้ำใจอยู่ในอ้อมกอดฮ่องเต้ พลางบ่นในใจ‘ไอ้ฮ่องเต้โรคจิต มีมนุษย์กี่คนกันที่อาบน้ำกับแ