Masukเมื่อถึงเวลานัดหมายทั้งสามคนจึงออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่น่าจะประมาณ 6 โมงเช้า ทางด้านของฟ่านเหมยเหมยและฟู่หลินฮุ่ยนั้น ยังคงนอนหลับไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวใด ๆ
หลังจากอาการหายป่วยของหลี่เล่อเยียนหายเป็นปกติ ฟ่านเหมยเหมยก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ว่าหลี่เล่อเยียนนั้นไม่ใช่คนที่จะข่มขู่ได้ง่ายอีกต่อไป แต่คนอย่างเธอไม่ยอมแพ้ยัยจิ้งจอกหน้าขาวนั่นหรอก เธอจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าแท้จริงแล้วหล่อนเปลี่ยนไปเพราะอะไรกันแน่
ส่วนอีกทางด้านของหลี่เล่อเยียนนั้น ไม่รู้เธอจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กับระยะทางที่เหอหมี่เมี่ยนบอก เพราะถึงแม้ว่ามันจะผ่านมา 5 หมู่บ้านแล้วนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่ก็น่าจะบอกเธอด้วยว่ามันไม่ได้แค่ไกลแต่มันโคตรไกล เดินทางร่วมสองชั่วโมงพึ่งจะถึงตัวเมือง
"นี่เธอตั้งใจไม่บอกฉันตั้งแต่แรกใช่หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วตัวเมืองมันช่างไกลขนาดนี้" หลี่เล่อเยียนพูดด้วยเสียงหอบเหนื่อย พวกเธอเดินทางกันแบบไม่หยุดพัก จะมีพักขาบ้างแต่เพียงไม่นานก็ไปต่อ
ระยะทางแต่ละหมู่บ้านมีความห่างกันอย่างชัดเจน กว่าจะผ่านแต่ละหมู่บ้านก็เล่นเอาลมแทบจับ แถมพวกเธอยังเป็นหญิงสาวที่หน้าตาผิวพรรณนั้นค่อนข้างจะโดดเด่น เวลาเดินผ่านจึงเป็นที่สนใจของคนแต่ละหมู่บ้าน ชวนให้หยุดดูและชี้ชวนให้มองตาม
" ฉันไม่ได้โกหกนะ ฉันจำได้ว่าบอกเธอไปแล้วว่าจะต้องผ่าน 5 หมู่บ้าน" เหอหมี่เมี่ยน บอกแบบตาใสแป๋วราวกับไม่ได้ทำอะไรผิด แถมไม่มีอาการหอบเหนื่อยเหมือนที่หลี่เล่อเยียนเป็นอีกด้วย เธอก็แค่พูดไม่หมดแค่นั้นเองว่าแต่ละหมู่บ้านนั้นยาวเกือบๆ สามกิโล
' ถ้าบอกหมดเธอก็ไม่ยอมมากับพวกฉันนะซิ ฮิๆ' เหอหมี่เมี่ยนได้แต่คิดในใจ
จริง ๆ แล้วหลี่เล่อเยียนไม่ได้จะคิดตำหนิอะไรมากมายหากเพียงถ้าเธอรู้มาก่อนว่าระยะทางจะกินเวลาเดินทางนานถึงขนาดนี้ เธอก็คงจะหาอะไรรองท้องก่อนออกเดินทาง ตอนนี้เล่อเยียนเริ่มรู้สึกหิวซะแล้วซิ
" พวกเราจะไปเดินดูของตรงโน้น เธอจะไปไหนก็ไปเลย แยกกันตรงนี้ เวลาบ่ายโมงตรงให้มาเจอกันที่ทางแยกนี้ ก่อนกลับที่พักค่อยเดินกลับพร้อมกัน " หม่ายวี่ไท่ตัดบท เธอรู้สึกหิวจึงจะชวนเหอหมี่เมี่ยนไปหาอะไรกินรองท้องก่อน
" ได้อย่างไรกันเล่าฉันไม่รู้ทาง พวกเธอห้ามทิ้งฉันเด็ดขาด อีกอย่างฉันอยากจะไปเดินตลาดมืดสักหน่อย เราไปด้วยกันเถอะ " เล่อเยียนโวยวายขึ้นทันใด หม่ายวี่ไท่นี่สงสัยจะไม่ชอบขี้หน้าเธอจริงๆ แฮะ เอะอะไล่อย่างเดียวเลย
" นี่ .... เธอพูดอะไรออกมา สถานที่นั้นไม่ใช่ว่าใครจะไปก็ไปได้นะ อันตรายจะตายไป ถ้าโดนจับขึ้นมาทหารแดงได้มาลากตัวเธอไปขังแน่" หม่ายวี่ไท่เอ็ดขึ้นตาเขียว ด้วยความที่จู่ ๆ หล่อนคิดจะพูดชื่อนั้นออกมาก็พูด ไม่ดูบ้างว่าใครจะผ่านมาได้ยินหรือไม่
" ฉันพูดกับเราแค่สามคน อีกอย่างถ้าใครจะได้ยินก็คงได้ยินเพราะเสียงที่เธอตะโกนเมื่อครู่นี่แหละนะ " หลี่เล่อเยียนมองหม่ายวี่ไท่ตาแป๋ว ก็มันจริงนี่นา หล่อนน่ะเสียงดังกว่าเธออีก ไม่รู้ว่าจะตกใจอะไรนักหนา
หม่ายวี่ไท่เริ่มรู้สึกตัวว่าจริง ๆ แล้ว เธอมีพิรุธมากที่สุด เดิมทีเธอคิดว่าการมาเดินเที่ยวในเมือง จะทำให้เธอผ่อนคลายหายคิดถึงบ้านได้บ้าง แต่จริง ๆ แล้วเธอคงคิดผิด เพราะเธอรู้สึกถึงความวุ่นวายที่กำลังจะตามเธอมาด้วยอย่างบอกไม่ถูก
"อะแฮ่ม เราไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม แล้วค่อยเดินดูของกัน" เหอหมี่เมี่ยนรีบตัดบท ก่อนที่ทั้งสองคนจะเป็นจุดเด่นไปมากกว่านี้
" ก็ดีเหมือนกันฉันหิวจนไส้กิ่วแล้ว " หม่ายวี่ไท่พูดเสริมขึ้นแก้เก้อ
ทั้งสามสาวเดินตามแนวทางมุ่งหน้าสู่ตลาด ตลอดสองข้างทางมีคนเมืองเดินขวักไขว่ไปมา ในเมืองนี่ช่างครึกครื้นดีซะจริง ๆ เชียว ไม่เหมือนหมู่บ้านชนบท ที่วันๆ เอาแต่ก้มหน้าทำนาจนดวงตะวันลับขอบฟ้าถึงเข้าบ้านนอน ชีวิตวนลูปอยู่แค่นี้ไม่ไปไหน มองหาความเจริญไม่ได้จริง ๆ หลี่เล่อเยียนไม่แปลกใจที่สังคมแต่ละยุคสมัยมีความเหลื่อมล้ำชัดเจนไม่ว่าจะเป็นฐานะความเป็นอยู่หรือหน้าตาทางสังคม
" แม่หนู ซาลาเปาไหมจ๊ะร้อนๆ เลย " แม่ค้าตะโกนเรียกสาวๆ เนื่องจากวันนี้หล่อนยังขายไม่ออกเลยสักลูก
" ขายอย่างไรหรือคะ " หลี่เล่อเยียนรีบเดินไปถามด้วยความที่เธอมีซาลาเปาในมิติเช่นกัน เพียงแต่ว่ายังไม่มีโอกาสเอาออกมากินได้อย่างเปิดเผย ถ้าหากยังไม่มีคนเห็นที่มาที่ไปของมัน
" ลูกละ 2 เหมา 3 ลูกคิดเพียง 5 เหมาเท่านั้นจ้าแม่หนู" แม่ค้าดีใจเป็นอย่างมากที่เธอจะขายออกสักที
" ถ้าอย่างนั้นเอา 6 ลูกค่ะ นี่ค่ะเงิน " หลี่เล่อเยียนหยิบซาลาเปามาพร้อมกับจ่ายเงินแม่ค้าอย่างไม่คิดอะไรมาก ต่างจากหม่ายวี่ไท่และเหอหมี่เมี่ยนที่รู้สึกเสียดายเงินแทน
ซาลาเปาตั้ง 6 ลูกหล่อนซื้อไปทำไมเยอะแยะกัน หม่ายวี่ไท่เห็นการใช้เงินของหลี่เล่อเยียนแบบไม่คิดก็รู้สึกปวดใจแทน
" แม่ค้าจ้ะ พวกเรามาจากหมูบ้านชนบทอยากจะหาซื้อเนื้อไม่ทราบว่าเราต้องไปซื้อที่ไหนหรือจ๊ะ " หลี่เล่อเยียนทำทีไปตีสนิทสอบถามคนท้องถิ่น
" ซื้อเนื้อหรือ...แม่หนู เธอต้องไปร้านข้างๆ สหกรณ์นะเดินตรงไปเจอสามแยกเลี้ยวซ้ายไปก็คงถึงแล้วล่ะ ว่าแต่เธอได้จองไว้หรือเปล่าล่ะ " แม่ค้าซาลาเปาเมื่อเห็นหลี่เล่อเยียเหมาซาลาเปาเธอหลายลูก จึงพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเป็นมิตรสุดๆ
วันที่ 18 ธันวาคม หิมะแรกของปีก็มาถึง และตกหนักมากจนหลี่หานไม่สามารถไปโรงเรียนได้ หลี่เล่อเยียนให้น้องชายหยุด เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง ทางเขตของชนบทเริ่มมีข่าวการเกิดภัยพิบัติกันหนาหูมากขึ้น เธออดเป็นห่วงสามีและพี่ชายไม่ได้เลยป่านนี้ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นยังไงบ้าง"พี่ หลานของผมเป็นไงบ้างครับ" หลี่หานจะคอยถามไถ่และพาพี่สาวไปโรงพยาบาลตามนัดของหมอทุกครั้ง พี่สาวของเขาเป็นคนเข้มแข็งมาก ไม่รู้ว่าพี่เขยเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาไม่ได้ข่าวอะไรจากทางเหนือเลย"ดิ้นเก่งมากเลยล่ะ เพิ่งจะหยุดไปสักพักนี้เองตอนที่พี่นั่งพักน่ะ" หลี่เล่อเยียนตอบยิ้มๆ เธอมีความสุขทุกครั้งที่ลูกขยับตัวในท้อง เธอคุยพร้อมกับเล่านิทานให้ลูกในท้องฟังทุกวัน กินแต่ของที่มีประโยชน์ น้ำเต้าหู้เธอกินทุกวัน ผลไม้ไม่เคยขาดตามด้วยนมผงรสมอลต์ก่อนนอนวันที่ 1 มกราคม 1957 หลี่เล่อเยียนและน้องชายฉลองปีใหม่กันเพียงสองคนเพราะหิมะตกหนักมาก หลี่หานที่ตอนนี้อายุ 15 ปีบริบูรณ์เขาสูงถึง 170 เซนติเมตร ขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคา แม้ว่าบ้านจะเพิ่งสร้างเสร็จแต่ปริมาณหิมะที่ตกลงมาก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะไม่มีแดดเลยข่าวการขาดแคลนอาหารเริ่มม
นับจากวันที่บ้านของหลี่เล่อเยียนเริ่มทำกำแพง นี่ก็เป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ที่หยางหมิงเฉิงออกไปปฏิบัติภารกิจ เขาให้ลูกน้องมาแจ้งข่าวว่าต้องลงไปทางเหนือ เพราะที่นั่นมีภัยพิบัติทางธรรมชาติค่อนข้างรุนแรง จึงไม่สามารถกลับบ้านได้ให้เธอดูแลตัวเองให้ดี รอเขากลับมาบ้านของพวกเขาเสร็จทันก่อนหิมะแรกจะมาถึง อีกทั้งยังเป็นไปด้วยดีสำหรับแบบบ้าน นับว่าแข็งแรงถูกใจเธอเป็นอย่างมาก เวลาที่หิมะตกลงมาคงไม่ต้องกังวลว่าหลังคาจะถล่มลงมาวันไหนท้องของหลี่เล่อเยียนใหญ่ขึ้นมาก ตอนนี้เธอรับรู้ได้ว่าลูกอยู่กับเธอแล้วจริง ๆ เพราะเขาจะดิ้นประท้วงทุกครั้งที่เริ่มหิว เธอเริ่มเดินเหินลำบากโชคดีที่มีน้องชายหลี่มาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้คลายเหงาลงบ้าง อีกทั้งเขายังดูแลเธอเป็นอย่างดียามที่น้องชายไปเรียนหลี่เล่อเยียนแอบหยิบของในมิติมาเติมจนแน่นห้องเก็บอาหาร ทุกครั้งที่เธอนอนเตียงอุ่นๆ เธออดเป็นห่วงสามีไม่ได้ จากนั้นดึงเอาที่นอนแสนนุ่มออกมาจากในมิติ ผ้าห่มหนัก 7 ชั่ง 2 ผืนมาเผื่อน้องชายเธอด้วย หน้าหนาวปีนี้ถือว่ารุนแรงเหลือเกิน และข่าวที่ว่าคนไม่มีบ้าน ล้มตายเพราะความหนาวก็มีมาทุกวันวันนี้เป็นวันที่ 15 ธันวาคม จะเป็นวันทำงานวั
"พี่ครับรั้วเสร็จแล้วพี่จะทำบ้านต่อเลยหรือเปล่าครับ" หลี่หานมาอยู่บ้านพี่สาวเป็นเวลา 5 วันแล้ว อีก 3 เดือนจะเข้าหน้าหนาว เขาคิดว่าพี่สาวควรจะมีบ้านที่แข็งแรงเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เพราะหิมะตกหนักทุกปี"พี่ว่าจะไปหาพ่ออยู่พอดี วันนี้เดี๋ยวพี่ไปส่งนายที่โรงเรียน แล้วจะไปหาพ่อที่ที่ทำงานเลยแล้วกัน" หลี่เล่อเยียนเดิมทีกะว่าจะรอ หยางหมิงเฉิงกลับจากปฏิบัติภารกิจซะก่อน แต่ดูท่าทางแล้วถ้ามัวแต่รอไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาวันไหน เธอจึงตัดสินใจไปขอให้พ่อช่วยดีกว่า พ่อเธอน่าจะรู้จักคนมากไม่น้อยทางด้านบ้านใหญ่หยางหลังจากที่หยางซีฮันพูดออกไปวันนั้น วันถัดมาก็มีเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขตชัดเจน สร้างความไม่พอใจให้กับน้าสะใภ้อย่างมาก หล่อนได้แต่สาปแช่งหลี่เล่อเยียนอยู่ในใจ เพราะไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ส่วนเจินเจินน้อยได้แต่คอยแอบมองอาสะใภ้อยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้าไปทักทาย เพราะพ่อของเธอสั่งห้าม เจินเจินรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้รู้ว่าน้องชายของอาสะใภ้มาอยู่เป็นเพื่อน"ดูเอาเถอะค่ะหลานรักของคุณ พอคุณบอกว่าจะแบ่งที่ให้รีบเอาเจ้าหน้าที่มาวัดแบ่งเขต ช่างละโมบโลภมากเสียจริง ชิ" หยางซิงเยียนเบะปากทำท่าทางรังเกียจ" เขาทำถู
ภายในห้องปีกซ้ายของหยางเหยาอิน เขาเดินอุ้มลูกสาวเข้าห้อง วันนี้ผู้เป็นแม่ประกาศชัดเจนว่างดข้าวเย็น ใครอยากจะกินก็ให้ไปหากินเองห้ามมายุ่งกับส่วนกลางเด็ดขาด"คุณไม่คิดจะเรียกร้องสิทธิ์เพื่อฉันกับลูกบ้างเลยหรือคะ" จู้หลี่นาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ หยางเหยาอินถอนหายใจไปครั้งหนึ่งพร้อมกับบอกเธอว่า" ผมเป็นลูกชายคนโตคนเดียวของบ้าน สมบัติทุกอย่างสุดท้ายก็ต้องตกเป็นของผมอยู่แล้ว ยังจะต้องเรียกร้องอะไรอีก อีกอย่างน้องเล็กหล่อนไม่มีทางอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไปแน่ ถ้าหล่อนมีที่ไป" เขาจะต้องกลัวอะไรกัน มีบ้านซุกหัวนอนก็ดีแค่ไหนแล้ว ตามท้องถนนมีขอทานนอนตายข้างทางทุกวันเขานั้นโชคดีเพียงไหนกัน"ฉันหมายถึงสิ่งที่น้องกับแม่คุณดูถูกฉันน่ะค่ะ ทำไมคุณถึงไม่ปกป้องฉันบ้าง"" แม่ผมก็เหมือนแม่คุณเหมือนกัน คุณแต่งเข้าบ้านหยางเป็นคนตระกูลหยางแล้วระวังคำพูดด้วย" หยางเหยาอินทำงานมาเหนื่อยๆ แถมมาเจอภรรยางี่เง่า เขาเริ่มจะอารมณ์เสียบ้างแล้ว"คนตระกูลหยางอย่างนั้นหรือคะ แล้วพวกเขาเห็นฉันเป็นคนในครอบครัวหรือไม่ละคะ คุณรู้หรือไม่คะว่าแต่ละวันฉันใช้ชีวิตกันเช่นไรลูกต้องคอยหลบอาแท้ๆ ของพวกเขา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะระเบิดอารมณ์ใ
" หลี่เล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าทำกับลูกสาวของฉันเช่นนี้" ซิงเยียนไม่คิดไว้หน้าใครอีก ในเมื่อไม่เห็นหัวกันเพียงนี้ ก็อย่าได้มานับญาติกันอีกเลย" มีธุระอะไรกับภรรยาผมหรือครับ " หยางหมิงเฉิงลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที หลังจากที่ได้ยินเสียงของน้าสะใภ้ ส่วนเจินเจินนั้นได้ยินเสียงย่าก็สะดุ้งตกใจกลัว รีบไปอยู่ในอ้อมกอดของแม่ในทันที" อ้อ...มาแล้วหรือ นายปล่อยให้นางจิ้งจอกนั่นรังแกน้องสาวตัวเองได้อย่างไรกัน ตั้งแต่แต่งแม่นั่นเข้ามา บ้านนี้หาความสุขไม่ได้เลย ชีวิตมีแต่ความฉิบหาย เฮงซวย เฮงซวยจริงๆฉันเลี้ยงลูกของฉันมาอย่างดี เฝ้าทะนุถนอมไม่เคยลงไม้ลงมือสักครั้ง ลูกสาวฉันเป็นนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หล่อนกล้าดีเช่นไร นังเล่อเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้นะหมาป่าตาขาวหลบอยู่ในบ้านทำไม ออกมาซิ วันนี้ถ้าเลือดหัวหล่อนไม่ออก อย่ามาเรียกฉันว่าซิงเยียนอีกเลย หึ" น้าสะใถ้โมโหเลือดขึ้นหน้า ถ้าไม่มีคนแต่งลูกสาวเธอเข้าบ้าน งานนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ"ก็ลองดูครับ ถ้าคิดว่าจะทำร้ายภรรยาของผมได้ ผมก็จะไม่เกรงใจใครเหมือนกัน ถ้าใจเย็นลง คิดได้แล้วค่อยมาคุยกันครับ เพราะผมก็มีเรื่องจะคุยกับน้า
" ไม่จริงค่ะ อาเจินบอกแล้วว่าน้องสะใภ้ซื้อให้ แต่น้องเล็กไม่เชื่อกล่าวหาว่าลูกของพี่พูดโกหก ดีที่น้องสะใภ้มาทัน ไม่อย่างนั้นเจินเจินคง....ฮึก " สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นบ้าง เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ทำไม่ดีกับเธอ เธอทนได้ แต่จะมาทำกับลูกของเธอแบบนี้ เธอไม่ยอมแน่ ๆ เป็นไงเป็นกัน หากวันนี้สามียังไม่ยอมเข้าข้างเธออีก เธอจะพาลูกกลับไปยังบ้านเดิมที่จากมา" พี่สะใภ้คอยให้ท้ายลูกจนเสียคน แบบนี้นี่เองเจินเจินถึงไม่เกรงกลัวใคร หล่อนคงกลัวว่าฉันจะไปแย่งหล่อนกินน่ะค่ะ แหม...ฉันโตขนาดนี้แล้วจะไปกินนมแบบนั้นได้อย่างไรกันไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ พี่กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ เรื่องวันนี้ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดกันก็แล้วกัน อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรเจินเจินเลยสักนิดถือว่าแล้วกันไปละกันค่ะส่วนเรื่องที่ภรรยาของพี่ทำหัวฉันแตก ฉันยอมไม่ได้จริง ๆ ค่ะ หล่อนตั้งใจโยนมาใส่หัวฉันเต็มๆ แรง แบบนี้เจตนาฆ่ากันชัดๆ เลยค่ะ " หยางเซินซินหน้าซีดขึ้นมาทันทีที่เห็นสีหน้าของพี่ชาย เธอยอมจบเรื่องสองแม่ลูกนั่นก็ได้ เพราะเธอผิดเต็มๆ ที่ไม่ยอมฟังเหตุผลของเจินเจิน แต่เรื่องที่หัวเธอแตกวันนี้ยอมไม่ได้แน่นอน ถึงบอย่างไรก็ต







