“คือหม่อมฉันเพียงอยากให้ท่านอ๋องเห็นใจ-” เจียวซินพยายามเอ่ยโน้มน้าว แต่ยังไม่จบประโยคเฟยเทียนกลับพูดแทรกขึ้นมาทันที
“อย่าได้กล่าวอันใดให้มากความ ข้ายืนยันจะยื่นฎีกาขอหย่าขาดกับเจ้า”
“ไม่หย่า ยังไงก็ไม่หย่า” โมโหแล้วนะ!!! เจียวซินกล่าวขึ้นเสียงแข็ง
เหอะ! ขืนหย่าออกไปทั้งที่ทำอะไรไม่เป็นเช่นนี้ มีหวังนางและหนิงเออร์ได้อดตายเป็นแน่
“น่ารำคาญเสียจริง!” ร่างสูงสบถออกมาอย่างเหลืออด สายตายังดูมุ่งมั่นว่าจะหย่าขาดกับเจียวซินให้ได้
“ไม่หย่าได้ไหม...นะเพคะ ขอเพียงสองหนาว ข้าจะหย่าให้ท่าน ระหว่างนี้ ข้าจะมิทำให้ท่านต้องเคืองใจแม้แต่น้อย นะเพคะ” เมื่อดื้อดึงไม่ได้ผล จึงหันมาขอร้องด้วยท่าทีน่าสงสารแสร้งยกมือมาบังใบหน้า ดวงตากลมสั่นไหวเคล้าคลอ ไปด้วยน้ำตา ทำเอาใจคนมองรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาทันใด
“หึ เพียงเท่านั้นจะพอได้อย่างไร ข้าต้องการมากกว่านั้น” เฟยเทียนยังคงดึงดันเพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากข้อตกลงมากที่สุด
“แล้ว…ท่านต้องการสิ่งใด มิใช่ว่าเห็นหม่อมฉันงดงามขึ้นแล้วจะเอาหม่อมฉันไปเป็นนางบำเรอของท่านหรอกนะ” เจียวซินเริ่มหน้าซีด คนช่างจินตนาการเริ่มคิดออกนอกทะเลไปไกลโพ้น
“ห๊ะ?! ฮ่าๆ เจ้าอ่านนิยายประโลมโลกมากไปหรือไม่ ฮ่าๆ” เฟยเทียนหัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ทัน นางคิดว่าคนเองอยู่ในนิยายประโลมโลกหรืออย่างไร ช่างเพ้อช่างฝัน ทั้งยังบอกว่าตนเองงดงามอีก มิใช่คนปกติ คนผู้นี้ไม่ปกติเป็นแน่
“ท่านหยุดหัวเราะนะ ข้า- เอ่อ หม่อมฉันเพียงพูดเล่นเท่านั้น หยุดหัวเราะนะ” เจียวซินทำหน้ากระเง้ากระงอด ก็แน่สิ ท่านอ๋องมิมีทาทีจะหยุดหัวเราะแม้แต่น้อย นางอายจนแทบอยากแทรกแผนดินหนี
“ฮึ ฮึ ข้าหยุดแล้วๆ ข้าไม่ได้อยากได้เจ้ามาเป็นนางบำเรออย่างที่เจ้าคิด” เฟยเทียนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง แต่ไม่วายวกกลับมาแขวะเจียวซินเรื่องนางบำเรอ เจียวซินจึงได้แต่ทำหน้างอเพราะตนเองเป็นคนเผลอพูดไปเอง
“อย่างแรกข้าอยากให้เจ้าเล่าเรื่องราวของเจ้าให้ข้าฟัง สิ่งที่เจ้ารู้เล่ามาให้หมด”
“ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย สิ่งที่ข้ารู้ตอนนี้เป็นเพียงคำบอกเล่าจากหนิงเออร์ทั้งสิ้น ข้ารู้ว่าท่านพ่อสละชีวิตเพื่อช่วยท่าน ข้าเลยได้รับพระราชทานสมรสให้แต่งกับท่าน ข้าเคยรักท่าน พยายามทำให้ท่านสนใจ หนิงเออร์เล่าว่าบางวิธีก็เป็นวิธีที่ผิดแต่หนิงเออร์ก็ไม่ได้บอกว่าข้าใช้วิธีใด จนท่านทนไม่ไหวเลยจะยื่นฎีกาขอหย่าขาดกับข้า แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ข้าตกลงไปในสระบัว พอข้ารู้สึกตัวขึ้นมา ข้าก็นอนอยู่ในห้องแล้ว เอ่อ...ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันแทนตนเองว่า “ข้า” เพคะ”
“อืม ส่วนวิธีที่คนสนิทของเจ้าพูดถึง คือเจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า” เฟยเทียนฟังเจียวซินเล่าด้วยสีหน้าและแววตาที่ซื้อตรง ก็รู้ทันทีว่าเจียวซินมิได้แกล้งหลงลืม นางไม่รู้เหตุการณ์ก่อนหน้าจริงๆ รวมกับอาการของเจียวซินที่ท่านหมอได้กล่าวกับเขาไว้
“พระชายาคล้ายกลับเป็นอีกคนพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ว่าจำชื่อแซ่ตนเองไม่ได้ แต่พระชายาพูดชื่อคนผู้หนึ่งออกมา คล้ายกับคิดว่าตนเองเป็นคนผู้นั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
คล้ายกับคนละคนจริงๆ ไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย เฟยเทียนได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ
“ห๊ะ?! หม่อมฉันถึงกับวางยาท่านอ๋องเลยหรือเพคะ แล้วเช่นนั้น…เช่นนั้นท่านได้…ได้ทำ-”
“หึ หากเจ้าอยากรู้ว่าข้าได้ร่วมเตียงกับเจ้าหรือไม่ เสียใจด้วย...เจ้ายังไม่ได้ร่วมเตียงกับข้าเพราะข้าไหวตัวทันมิได้ดื่มชาที่เจ้านำมาให้” คำตอบของเฟยเทียนทำให้เจียวซินถึงกับคว่ำปาก
“ใครอยากร่วมเตียงกับท่านกัน ตอนนั้นหม่อมฉันคงแค่หลงผิดเท่านั้น”
“หึ แล้วอย่าได้มาอ้อนวอนร้องขอให้ข้าจุดโคมที่ตำหนักเจ้าแล้วกัน” เฟยเทียนหงุดหงิดขึ้นมาทันใดเพราะคำพูดและท่าทีของเจียวซิน แม้จะมีชายาและอนุมากมายแต่เฟยเทียนก็มิเคยจุดโคมตำหนักใดเลยสักครั้ง ในคืนเข้าหอ ก็เพียงอยู่ข้ามคืนเพื่อเป็นพิธีเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าแต่ละคนที่แต่งเข้ามานั้น มีจุดประสงค์อย่างไร
“เหอะ มีเท่านี้ใช่หรือไม่ที่ท่านต้องการ”
“ยังมีอีก จากนี้เจ้าจะต้องเล่าให้ข้าฟังทุกเรื่อง และข้าจะให้องค์รักษ์เงาของข้าติดตามเจ้า เพื่อป้องกันมิให้เจ้าแพร่งพรายเรื่องภายในจวนอ๋องให้ผู้ใดรู้” เหตุผล ที่พูดไปเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเหตุผลที่แท้จริง แท้จริงแล้วเฟยเทียนต้องการรู้ทุกการกระทำของเจียวซินและต้องการปกป้องเจียวซิน ขึ้นชื่อว่าเป็นพระชายาพระราชทานย่อมมีผู้หมายปอง ฉกฉวยเอาผลประโยชน์จากนางเป็นแน่ เลวร้ายที่สุดคนเหล่านั้นอาจจ้องการฉกฉวยเอาลมหายใจนางไปก็เป็นได้
“คนติดตามหรือ…” ในหัวของเจียวซินกำลังคิดอย่างหนัก เรื่องที่นางต้องบอกท่านอ๋องทุกเรื่อง ก็อาจจะเป็นเรื่องดี เพราะนางเองมิค่อยรู้เรื่องราวในโลกนี้มากนัก หากได้คำปรึกษาจากท่านอ๋องคงดีไม่น้อย อีกอย่างความรู้สึกลึกๆ ของนางบอกว่านางไว้ใจท่านอ๋องได้ อีกทั้งการที่ท่านพ่อและพี่ชายที่รักนางมากฝากฝังท่านอ๋องให้ดูแลนาง แสดงว่าท่านอ๋องผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากท่านพ่อและพี่ชายของนางไม่น้อย ส่วนในเรื่องให้คนติดตาม…ก็มิได้มีอันใดเสียหายเช่นกัน ยามเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นคนพวกนั่นอาจช่วยเหลือนางได้ คิดอยู่สักพักเจียวซิน ก็ตัดสินใจได้
เมื่อเข้ามาในตำหนักก็พบเข้ากับฮองเฮา รัชทายาท และองค์หญิงเฟยเฟิ่งรออยู่แล้ว เห็นดังนั้นเจียวซินจึงวางองค์ชายลงเพื่อที่จะกล่าวถวายพระพรต่อฮองเฮา รัชทายาทและองค์หญิงองค์ชาย“มิต้องมากพิธี ขึ้นมานั่งเถิด”“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อเจียวซินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ก็มีร่างเล็กพยายามปีนขึ้นมานั่งบนตัก เจียวซินจึงอุ้มองค์ชายน้อยขึ้นมาบนตัก“หนิงหลงเจ้าจะรบกวนพระชายาเกินไปแล้ว” องค์หญิงเฟยเฟิ่งที่ยังมิพ้นวัยปักปิ่นกล่าวเตือนน้องชาย“เจียวซินอุ้มน้องท้างวัน ท้างวันเลย”“ได้ยินว่าตกน้ำตกท่าจนวิปลาส หายดีแล้วหรือ” ฮองเฮาหลี่กล่าวถามเจียวซินป๊าป! เข้าให้ หน้าชาไปครึ่งหน้าแล้วกระมัง“หายดีแล้วเพคะ มีเพียงความจำที่หดหายไปเพคะ”“หากความจำเจ้าหดหายไปแล้วเป็นผู้เป็นคนส่งเสริมสวามีเช่นนี้ ก็ภาวนะ อย่าให้ความจำมันกลับมาเลย”ป๊าป! ชาทั้งหน้าแล้วหล่ะตอนนี้“แหะๆ เพคะ หม่อมฉันก็คิดเห็นดังนั้นเพคะ” เจียวซินยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้“จริงสิ รู้ตัวผู้บงการเหตุลอบทำร้ายพวกเจ้าหรือยังน้องสาม” องค์รัชทายาทเฟยฉีกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันทีมิให้บรรยากาศอึมครึมไปมากกว่านี้“หากจะคุยเรื่องนี้ก็เข้าไปคุยในที่ห้องทำงาน กำแพงกั้นยังมีหู* อ
“ขอคำนับราชทูตทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่แคว้นเฉินของเรา ตัวข้ามีนามว่า จางเจียวซิน จะเป็นผู้แปลสารของท่านให้องค์ฮ่องเต้ได้รับรู้เจ้าค่ะ”“ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางเจียวซิน” หนึ่งในราชทูตกล่าวขึ้นพร้อมกับยื่นมือมาให้เจียวซินจับเป็นการทักทาย“ขออภัยท่านราชทูต ตัวข้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว ตามธรรมเนียมของแคว้นเฉินตัวข้าจึงมิอาจจับมือทักทายกับท่านได้ หากท่านมิรังเกียจจับมือทักทายกับสามีของข้าแทนได้หรือไม่เจ้าคะ” เจียวซินพูดด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะเกรงจะทำให้ราชทูตมิพอใจ แต่ทว่าราชทูตหนุ่มผู้นั้นกับหัวเราะเบาๆ“ข้ามิรังเกียจ อยากรู้จักชายโชคดีผู้นั้นเช่นกัน”“ท่านอ๋องสามเพคะ” เจียวซินเอ่ยเรียกเฟยเทียน“ท่านราชทูต นี่เป็นท่านอ๋องสามเฉินเฟยเทียนโอรสขององค์ฮ่องเต้ของแคว้นเฉินเจ้าค่ะ” ราชทูตจับมือทักทายเฟยเทียน ซึ่งเฟยเทียนมิได้ตื่นตระหนกกับธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะเคยอ่านผ่านตำรามาบ้าง ทั้งเจียวซินยังสอนวิธีการทักทายเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อสักครู่เป็นธรรมเนียมการทักทายโดยการสัมผัสที่มือ เพคะ”“เช่นนั้นหรือ ชายจับชาย หญิงจับหญิงหรือ”“แท้จริงแล้วชายจับมือทักทายกับหญิงได้ถือเป็นปกติเพ
และแล้วช่วงเวลาที่คณะราชทูตจะมาเยือนก็มาถึง ในวันรุ่งขึ้นเฟยเทียนและเจียวซินจะต้องออกไปต้อนรับคณะราชทูตในท้องพระโรง เจียวซินตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางจะเล่าเรียนการปฏิบัติตน อ่านตำราการค้าต่างๆ มากมาย แต่นางก็กดดันไม่น้อย เพราะหากมีสิ่งใดผิดพลาด นางอาจถูกใช้เป็นหอกทิ่มแทงท่านอ๋องได้ นางมิอยากให้ท่านอ๋องต้องเดือดร้อน ความสัมพันธ์ของนางและท่านอ๋องในตอนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นางรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกัน แม้จะเถียงกันตลอดเวลาก็เถอะ คิดเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักเจียวซินก็เข้าสู่ห้วงนิทรา รุ่งขึ้นเจียวซินตื่นขึ้นมาแต่เช้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวปักลายหลี่อวี๋ (ปลาคาร์ฟ) สีเงินแซมทองที่ท่านอ๋องเป็นผู้มอบให้ เพื่อแสดงถึงโชคลาภ ผลกำไรและผลประโยชน์ เจียวซินผัดหน้าทาปากด้วยตนเองแล้วให้หนิงเออร์ทำหน้าที่รวบผม“ข้าเข้าไปได้หรือไม่” เจียวซินได้ยินเสียงท่านอ๋องดังอยู่ด้านนอกจึงเร่งให้คนสนิทเร่งมือ“เจ้าไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องที” นางกำนัลเดินไปเปิดประตูให้ท่านอ๋องตามคำสั่งของผู้เป็นนายเฟยเทียนเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่มองเงาสะท้อนขอผู้เป็นชายา“ใกล้เสร็จแล้วเพค
“อะ โอ๊ย…อื้อ~ แน่นเกินไปแล้วเพคะ”“ยังไม่พอ เจ้ารัดข้าแน่นกว่านี้เสียอีก ฮึบ”“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วเพคะ พอแล้วๆ ฮื่อออออ”“รอก่อน อดทนไว้ก่อน”เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในห้องบรรทมของท่านอ๋องทำเอาเหล่าขันทีและนางกำนัลใบหน้าแดงก่ำ มิต้องบอกก็คาดเดาได้ว่าภายในห้องเกิดสิ่งใดขึ้น คงไม่ผิดจากที่พวกนางคิดไว้เป็นแน่แต่…ผิดจ้ะ! ผิดทั้งหมด! เพราะตอนนี้เจียวซินกำลังนอนเป็นหมอนให้ท่านอ๋องกอดรัดคืน ด้วยท่านอ๋องอ้างว่าเจียวซินใช้แขนและขากอดก่ายจน ท่านอ๋องนอนไม่สบาย นางจึงถูกลงโทษอยู่เช่นนี้ หากมิยอม ท่านอ๋องก็หาว่านางเป็นเด็ก ทำผิดมิรู้จักไถ่โทษ หึ!!! ใครกันแน่ที่เด็ก คิดแต่จะเอาคืนผู้อื่น“พอแล้วเพคะ โอ๊ย~ หม่อมฉันเจ็บไปทั้งตัวแล้ว”“ได้ๆ แต่ครั้งหน้าข้าจะทำหลายๆ รอบ” เฟยเทียนคาดโทษเจียวซินไว้ จากนั้นจึงลุกออกมาเรียกหาขันทีจิ้นหนาน“พวกเจ้าเข้าไปปรนนิบัติพระชายา หากช้ากว่านี้จะรับสำรับสายเอาได้”“พะ เพคะ” หนิงเออร์ นางกำนัลชีชีและซวนซวนเข้าไปหาพระชายาด้วย สีหน้าแดงก่ำ อาบน้ำ แต่งกายเสร็จจึงพาพระชายาไปรับสำรับที่ห้องโถงของตำหนักใหญ่ เจียวซินถูกหนิงเออร์พยุงให้นั่งลงที่ว่างอย่างระมัดระวัง ซึ่งนางเองก็มิเ
“หยุดความคิดของเจ้าเสีย ข้าเพียงจะให้เจ้าไปประคบเย็นให้ข้าเท่านั้น”“หม่อมฉันมิได้คิดอันใดเพคะ” เจียวซินเบือนหน้าหนีสายตาคมเพราะอับอายที่ถูกจับได้“หึ อย่างเจ้าคงคิดไปถึงว่าข้าจะบังคับให้เจ้าเสพสังวาสด้วยแล้วกระมัง” เฟยเทียนกล่าวคาดเดาออกไป“นี่ นี่ท่านมีวิชาอ่านใจคนหรืออย่างไร” เจียวซินอึ้งกับคำพูดของเฟยเทียน ไม่น้อย“หึ หากเจ้าคิดได้ว่าข้าจะนำเจ้ามาเป็นนางบำเรอ เรื่องนี้เจ้าก็คงคิดได้ไม่ยาก” เฟยเทียนยิ้มขำกับท่าทางกระเง้ากระงอดของเจียวซิน“ชิ ข้าเพียงผิดพลาดเล็กน้อย ท่านถึงกับเก็บคำพูดข้ามาใส่ใจถึงเพียงนี้เลยหรือ” ไม่ทันได้ตอบกลับ เฟยเทียนกับเจียวซินก็มาถึงตำหนักของเฟยเทียน ขันทีจิ้นหนานเห็นผู้เป็นนายมากับพระชายา จำรีบเข้าไปต้อนรับ“ยังมิเข้านอนหรือจิ้นหนาน” เฟยเทียนเอ่ยถามขันทีคนสนิท“นายมินอน ข้ารับใช้จะนอนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”“หนิงเออร์ของข้าหลับเป็นตาย มิรู้ด้วยซ้ำว่าข้าแอบออกมา คิกๆ” เจียวซินพูดถึงคนสนิทที่บัดนี้คงนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ที่ตำหนัก ขันทีจิ้นหนานยิ้มขำกับคำพูดของเจียวซินพระชายาช่างซุกซนเสียจริง“หึ เจ้ามันดื้อ แอบย่องมากลางดึกเช่นนี้มันอันตราย” เจียวซินเงียบปากลงเ
..“รอดไปได้อีกแล้วหรือ พวกเจ้าทำงานกันอย่างไร เพียงแค่สตรีผู้หนึ่งยังจัดการมิได้”“ขออภัยขอรับนายท่าน ท่านอ๋องวางคนคุ้มกันพระชายาแน่นหนา คนของเราที่แฝงตัวไปกับนักฆ่าล้วนตายตกไปตามกันขอรับ”“อย่างไรเสียก็ต้องทำให้เหล่าทหารแครงใจกับเฟยเทียนให้ได้ และวิธีเดียวคือฆ่าจางเจียวซิน อย่างน้อยก็ทำให้จางซีห่าวแตกคอกับเฟยเทียน”“ใช้คนของเราที่อยู่ในจวนอ๋องดีหรือไม่ขอรับ”“อืม หากจนหนทางจริงค่อยใช้วิธีนั้น ข้ายังมิอยากเสียคนในนั้นไป” มือหนาหมุนแหวนหยกบนนิ้วอย่างใช้ความคิด..เจียวซินเมื่อกลับถึงตำหนักก็โล่งใจที่ไม่ถูกทำโทษ หนิงเออร์และ นางกำนัลช่วยกันชำระกายให้ผู้เป็นนายจนแล้วเสร็จ เจียวซินจึงได้เข้านอน แต่นอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ข่มตานอนก็แล้ว นับแกะก็แล้ว เจียนซินจึงตัดสินใจลุกออกไปเดินเล่น“เห้อ~ กว่าจะออกมาได้” เจียวซินถอนหายใจ เพราะกว่าจะผ่านหนิงเออร์และนางกำนัลที่นอนเฝ้าออกมาได้ก็แทบแย่ นางเดินเตร็ดเตร่ไปจนถึงศาลาริมน้ำหลังเดิม แต่ทว่า“โอ๊ะ…!!!” เจียวซินชะงักงันเมื่อเห็นว่าในศาลามีคนอยู่ และไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นท่านอ๋องของจวนแห่งนี้กับอนุถัง อนุคนโปรดของเขา“ขอประทานอภัยเพคะ” เจียวซินรีบเอ