เข้าสู่ระบบ“ภรรยาตื่นแล้ว”
ชายหนุ่มวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหานาง หากตาไม่ฝาดเซี่ยชิงหลีราวกับมองเห็นหางน้อยๆ ที่ติดอยู่ด้านหลังของเขากำลังกระดิกไปมา ร่างบางยกยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเอ็นดู ในใจคิดว่าหากเขาหายดีกลับมาเป็นปกติจะมีนิสัยเช่นไรกันนะ นางนึกไม่ออกจริงๆ
“อื้ม...ข้าตื่นแล้ว อาเหิงหิวหรือไม่ วันนี้เราขึ้นเขาหาไก่ป่ากันดีไหม”
“ดี! อาเหิงเชื่อภรรยา กินไก่ป่าย่างหอมฉุย”
แม้จะมีท่าทางเหมือนเด็ก ทว่านางกลับรู้สึกว่าชายหนุ่มนั้นช่างบริสุทธิ์ประดุจน้ำใส ไม่อยากให้มีสิ่งใดมาทำให้แปดเปื้อน แม้แต่ตนเองก็ตามที
คนทั้งสองเดินออกจากเรือนตระกูลเซี่ยพร้อมกัน เซี่ยจิ่งเฉิงที่พึ่งทะเลาะกับมารดาเดินกระทืบเท้าออกมานอกเรือนทันได้เห็นด้านหลังของสองคนที่กำลังเดินขึ้นเขา
“เหอะ! ไอ้พวกสวะ”
ชายหนุ่มสบถออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ วันนี้เป็นวันที่เขาต้องกลับไปยังสำนักศึกษา ทว่าเมื่อขอเงินจากมารดาห้าตำลึงนางกลับมีให้เพียงสองตำลึงเท่านั้น แล้วอย่างนี้เขาที่นัดเหล่าสหาย ให้มารวมตัวกันที่หอกุ้ยเซียงจะไม่เสียหน้าแย่หรือ
“เฉิงเอ๋อ! ฟังแม่พูดก่อน! ถึงแม้แม่จะไม่มีเงินห้าตำลึงให้ลูกแต่ท่านย่ามีไม่ใช่หรือ ลูกไปพูดหวานๆ กับนางสักสองสามคำมีหรือสามตำลึงนั้นนางจะงัดออกมาไม่ได้”
จางซุนโหรวเมื่อเห็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตนแสดงท่าทางไม่พอใจ นางจึงรีบวิ่งตามมา
“แต่ตอนนี้ท่านย่ากำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะบ้านอารอง ท่านแม่คิดจะให้ข้าไปรองรับโทสะจากนางหรือ”
ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อแสดงท่าทางโมโหกว่าเดิม
“ได้!ได้! เช่นนั้นลูกก็ไปอ่านกลอนให้ท่านปู่ฟังสักสองสามบท ลูกก็รู้ท่านปู่ของลูกชมชอบคนมีความรู้ขนาดไหน เรื่องเงินสามตำลึงก็ฝากให้ท่านเป็นคนจัดการ เช่นนี้เป็นอย่างไร”
เมื่อได้รับคำแนะนำจากมารดา เซี่ยจิ่งเฉิงราวกับพบเส้นทางแห่งแสงสว่าง เงินห้าตำลึงนี้เขาจะต้องเอามาให้ได้ ในเมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องใช้กลวิธีที่จะได้มา
“เป็นท่านแม่ที่ฉลาดจริงๆ”
สองแม่ลูกพูดคุยด้วยสีหน้าเบิกบาน จากนั้นเซี่ยจิ่งเฉิงก็ทำตามที่มารดาแนะนำทันที ไม่นานเขาก็ได้เงินสามตำลึงจากมือของผู้เฒ่าเซี่ยมาอย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มเก็บของออกเดินทางกลับไปยังสำนักศึกษาเต๋อชุ่นที่ตั้งอยู่ในอำเภอหลิงหนาน ห่างจากหมู่บ้านสือซานกว่าห้าสิบลี้
เซี่ยชิงหลีไม่สนใจว่าคนบ้านเซี่ยจะทำอะไร ตอนนี้นางกำลังขะมักเขม้นทำกับดักวางเอาไว้หลายจุดในภูเขา กับดักเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในวิชาพื้นฐานที่ท่านอาจารย์ของนางเคยสอนในชาติก่อน
แม้จะคิดว่าตนไม่มีโอกาสได้ใช้เพราะยุคปัจจุบันล้วนรณรงค์ให้อนุรักษ์สัตว์ป่าหายาก หากต้องการกินเนื้อก็แค่เดินเข้าตลาด ไม่เหมือนที่นี่ ไม่มีเงินก็เหมือนเส้นโลหิตถูกตัดขาด
“มาเถอะอาเหิง พวกเราไปดูทางนั้นกัน”
หญิงสาวกวักมือเรียกชายหนุ่มที่กำลังเก็บผักป่าตามคำสั่งของนาง ชายหนุ่มรีบวางมือวิ่งตรงมายังหญิงสาวอย่างกระตือรือร้น
แม้จะมิได้คาดหวังทว่าในตะกร้าไม้ไผ่ของชายหนุ่มก็มีผักป่ามากกว่าครึ่ง แต่จะให้มาหาของกินเช่นนี้ทุกวันก็คงไม่ไหวอาจต้องหาอาชีพที่มั่นคงเพื่อเลี้ยงครอบครัว
ถึงอย่างนั้นตนเองนอกจากรักษาคนได้บ้างก็ทำอย่างอื่นไม่ค่อยเป็น เรื่องสมุนไพรจีนก็รู้เพียงเล็กน้อย ไม่รู้ยุคโบราณจะมีสมุนไพรเหมือนในยุคปัจจุบันหรือไม่
“เก่งจริงอาเหิง”
หญิงสาวทำท่าจะลูบหัวเขา ทว่าครั้งนี้นางไม่จำเป็นต้องเขย่งเท้า เพราะชายหนุ่มคว้าร่างบางเข้าหาตัว จากนั้นอุ้มนางด้วยแขนข้างเดียวเพื่อให้ตัวของเซี่ยชิงหลีสามารถลูบหัวเขาได้อย่างถนัดมือ
“ภรรยาลูบหัวอาเหิงเร็วเข้า”
ร่างบางหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทางขบขัน เจ้าลูกหมาของนางช่างเป็นคนมักน้อยเสียจริง เพียงชมเขาสองสามประโยคเจ้าหมาน้อยก็ดีใจเสียยิ่งกว่าอะไร
หญิงสาวจูงมือชายหนุ่มเดินเลียบลำธารหวังว่าจะได้อะไรติดมือกลับไปบ้าง เมื่อเห็นผักกูดป่าที่ขึ้นริมน้ำนางก็คิดรายการอาหารเย็นได้ในทันที
“อาเหิง เจ้าช่วยข้าเก็บผักป่าเหล่านี้ได้หรือไม่ ยิ่งมากยิ่งดี”
ร่างบางชี้ไปยังกอผักกูดเหล่านั้นด้วยสีหน้าดีใจ หน้าฝนช่างเป็นช่วงเวลากอบโกยเสียจริง ในระหว่างที่ปล่อยให้ชายหนุ่มเก็บผักป่า สายตาคมกริบของนางก็มองเห็นบางอย่างกำลังดิ้นไหวๆ อยู่อีกฟากหนึ่ง
ลำธารที่ใสกระทั่งมองเห็นก้อนหินและปลาที่กำลังแหวกว่าย หญิงสาวคว้ามีดพร้าที่นำติดตัวมาด้วยเดินลุยน้ำข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม เมื่อไปถึงจุดที่มองเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นได้ถนัดตา นางก็ส่งแรงทั้งหมดฟันฉับลงไปทันใด
ร่างยาวเหยียดลายพร้อยขนาดเท่าแขนเด็กดิ้นพล่าน เลือดสดๆ ไหลไปตามแรงไหวของน้ำ เซี่ยชิงหลีใช้ปลายมีดช้อนร่างที่กำลังจะครึ่งของมันขึ้นมา ปรากฏว่าเจ้าอสรพิษยังคาบปลาตัวเขื่องเอาไว้ในปาก
“อาเหิงเจ้าดูนี้”
หญิงสาวชูร่างงูสิงขึ้นให้ชายหนุ่มดู อาเหิงเห็นงูตัวใหญ่ในมือของนางก็ทำท่าจะวิ่งหนี เซี่ยชิงหลีหัวเราะชอบใจไม่คิดว่าผู้ชายตัวโตจะกลัวงู
หลังจากลอกหนังทำความสะอาด หญิงสาวก็ใช้ใบกล้วยป่าห่อเก็บเอาไว้ในตะกร้า ทั้งสองเก็บผักริมน้ำจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลอยเหนือศีรษะ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าคะเนจากสายตาน่าจะใกล้เที่ยงจึงได้วางมือ
“อาเหิงหิวหรือยัง เราไปตรวจดูกับดักก่อนดีหรือไม่”
ชายหนุ่มทิ้งผักป่าในมือวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหาหญิงสาว
“ภรรยาอาเหิงไม่กินงู”
ท่าทางของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะเข้าใจว่าเที่ยงนี้เซี่ยชิงหลีจะย่างงูให้เขากิน หญิงสาวหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างขบขัน
“เด็กโง่ ใครเขาจะให้เจ้ากินงู ข้าหมายถึงเราไปตรวจดูกับดักกัน จะได้ทำไก่ป่าย่างให้เจ้ากิน ดีหรือไม่”
“ดี! อาเหิงจะกินไก่ป่าย่าง ภรรยาดีที่สุด”
ก่อนหน้านี้เซี่ยชิงหลีได้โรยรำข้าวเอาไว้ที่กับดักไม่คิดว่าจะสามารถจับไก่ป่าได้ทั้งหมด ไก่ป่าแปดตัวถูกหญิงสาวมัดรวมกันเพราะพวกมันยังไม่ตาย
สองตัวนางจัดการถอนขนลอกหนังย่างให้อาเหิงกิน น่าเสียดายที่ไม่มีเกลือทำให้เนื้อไก่ป่าจืดชืดไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยวันนี้คนทั้งสองก็อิ่มท้องก่อนลงจากเขา
เซี่ยชิงหลีจูงมืออาเหิงเดินผ่านใจกลางหมู่บ้าน ตอนนี้ชาวบ้านยังไม่มีใครรู้ว่านางสามารถพูดได้แล้ว หญิงสาวพาอาเหิงแวะที่เรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน
บนภูเขาก่อนหน้านี้นางได้สอนให้อาเหิงพูดเรื่องแลกเปลี่ยนเกลือกับหัวหน้าหมู่บ้าน หญิงสาวใช้ไก่ป่าสามตัวและเนื้องูสิงแลกเกลือครึ่งจินและข้าวสารสามจินเอากลับเรือน
“อาเหิงกลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มถือตะกร้าวิ่งตรงไปยังกระท่อมหลังเรือนพบว่าภายในยังคงเงียบเชียบ มารดาพี่ชายและน้องสาวยังไม่กลับมา เซี่ยชิงหลีสังหรณ์ใจบางอย่างจึงคิดออกตามหาพวกเขา
“อาเหิงเฝ้าของเอาไว้ให้ดี ถ้ามีใครคิดแย่งไปภรรยาขอสั่งให้เจ้าทุบตีพวกเขาได้เลย”
หญิงสาวสั่งความเพียงเท่านั้นก็รีบพุ่งออกจากเรือนตระกูลเซี่ยไปอีกครั้ง
เซี่ยชิงหลีกำลังกลับขึ้นเขาพบว่ามีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังหามร่างของใครบางคนกลับลงเขามา ร่างบางวิ่งตรงไปยังคนกลุ่มนั้น ทันทีที่ได้เห็นร่างที่ถูกหามชัดเจนกายของหญิงสาวชาดิกไร้ความรู้สึกไปทันที
หัวใจของนางเต้นกระหน่ำรัว ไม่คิดว่าผ่านสมรภูมิมากมายพบเห็นคนถูกฆ่าก็ไม่น้อย ไม่เคยมีความรู้สึกหนักหน่วงและหวาดกลัวมากมายขนาดนี้ ดวงตากลมโตทอดมองร่างของมารดาที่บัดนี้มีเลือดอาบไปทั่วทั้งกาย บริเวณช่องท้องและขาของนางดูเหมือนจะมีบาดแผลฉกรรจ์
“ผ่านไปนานขนาดนี้ เจ้ายังทำให้ข้าชอบหน้าไม่ได้”องค์ชายใหญ่หัวเราะเบาๆ“ผ่านไปนานขนาดนี้ เจ้าก็ยังปากไม่ดีเช่นเดิม” แม้คำพูดจะฟังดูคล้ายสงครามน้ำลายกำลังจะก่อตัวขึ้น แต่แววตาของทั้งคู่กลับแสดงออกว่ามิได้ถือสาต่ออีกฝ่ายเซี่ยชิงหลีมองภาพเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า นางรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก แต่ก็ยังไม่อาจทำให้พวกเขาหยุดตีกันได้ไม่นานนัก หลี่หลันฮวาและเซี่ยฉางเยี่ยนลงจากรถม้าและเดินเข้ามาพร้อมเซี่ยชิงเป่าที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้า และบุตรชายวัยห้าขวบอย่างเซี่ยชิงหลงที่วิ่งเล่นไปรอบๆ อย่างสนุกสนานถัดมาคือรถม้าจากตำหนักองค์ชายใหญ่ที่มี ชินอ๋องและพระชายากำลังอุ้มบุตรสาวของโอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาพร้อมถานจิ่งอี้ ที่อยู่ด้านหลังส่วนโอวหยางโม่เหิง บุตรชายตัวน้อยของเซี่ยชิงหลี บัดนี้กำลังดึงชายเสื้อของบิดาอย่างออดอ้อน“ดูสิ เด็กๆ โตขึ้นทุกปี อีกไม่นานคงวิ่งทั่วเรือนจนไม่มีใครตามทันแล้วกระมัง” เมื่อนางเอ่ยจบ ทุกคนพลันหัวเราะออกมาพร้อมกันในระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยอย่างออกรส รถม้าของตำหนักองค์หญิงพลันแล่นเข้ามา หลี่เยว่หยาง องค์หญิงตงหยาง และบุตรชาย
เขาเคยละเลยบุตรชาย เคยปล่อยให้ความลำเอียงและความหลงใหลบดบังสายตา จนมองไม่เห็นความทุกข์ของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ซึ่งเติบโตขึ้นท่ามกลางความเย็นชาของตน“พ่อผิดเอง...หนานเฟิง” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด พร้อมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ข้าไม่คู่ควรเป็นบิดาของเจ้า”เขาก้มศีรษะลงต่ำ ราวกับยอมรับโทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่ตนหลีกเลี่ยงมานาน ความเสียใจและความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก แต่เขาก็รู้ดีว่า...ทุกความเสียใจไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกเมื่อข่าวเรื่องที่มู่หรงฮ่าวหลุนถูกตัดสินโทษ แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง เซี่ยจื่ออี้ได้รอมู่หรงหนานเฟิงกลับมาเพื่อที่จะพูดคุยกับเขาภายในห้องหนังสือ แสงแดดยามเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เข้ามาเป็นลำ มู่หรงหนานเฟิงนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ สีหน้าของชายหนุ่มแลดูสงบนิ่งราวกับผืนน้ำในฤดูหนาว เมื่อเซี่ยจื่ออี้เอ่ยเล่าเรื่องราวการไต่สวนจบลง พร้อมทั้งสีหน้าของเสนาบดีมู่หรงในตอนนั้น“ข้า...เข้าใจแล้ว” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้น แววตาของชายหนุ่มยังคงดูปกติดั่งเดิม ไม่มีท่าทีพอใจหรือดีใจ ที่คนที่เคยรังแกตนเองในวัยเด็กมีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนั้นเซี่ยจื่ออี้มองอยู่ครู่
ชายหนุ่มดึงลู่เหยาเหยาให้หลบไปด้านหลัง ดวงตาเย็นชามองคนเหล่านั้นนิ่ง ร่างกายชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ราวกับนักรบที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีทั้งหมดคือผลจากการที่เซี่ยชิงหลีเคยบังคับให้เขาออกกำลังกาย และฝึกท่าต่อสู้ทุกเช้า วันนี้ทุกอย่างล้วนไม่สูญเปล่าเสียงหมัดกระทบเนื้อดัง “ปัง!” “ผลัวะ!” นักเลงคนแล้วคนเล่าล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว บางคนหมดสติทันทีโดยไม่ทันได้ร้องขอชีวิตมู่หรงฮ่าวหลุนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าซีด เขาไม่คิดว่าหลี่หมิงเจ๋อจะต่อสู้ได้เก่งถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มพยายามหลบหนีแต่ไม่ทันแล้ว เพราะหลี่หมิงเจ๋อทะยานเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น“เจ้าคิดว่าความอับอายของตนเอง จะสามารถลบล้างได้ด้วยการทำร้ายข้างั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นแผ่วเบาข้างใบหู“วันนี้ข้าจะให้เจ้ารู้ ว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในแผ่นดินนี้”หลี่หมิงเจ๋อลากตัวมู่หรงฮ่าวหลุนที่ดิ้นรนสุดแรงไปยังศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเซี่ยจื่ออี้เมื่อถึงหน้าศาล เจ้าหน้าที่ต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง หลี่หมิงเจ๋อในชุดเรียบง่ายทว่าเปื้อนฝุ่นและยับย่นเล็กน้อย ลากชายหนุ่มผู้แต่งกายหรูหรามีรอยช้ำเต็ม
“มีใครอยู่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นจากหน้าประตูไม้ของเรือนตระกูลหลี่ หลี่หมิงเจ๋อที่กำลังจัดเอกสารอยู่ภายในห้องทำงานเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูด้วยความสงสัยเมื่อบานประตูเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง ใบหน้างดงามอ่อนหวานราวภาพวาด ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใส จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแสงนั้นช่างแสบตานัก“ท่านคือคุณชายหลี่ หลี่หมิงเจ๋อใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพหลี่หมิงเจ๋อขยับกายเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า“ชะ...ใช่ ข้าเอง ไม่ทราบว่าคุณหนูมีธุระอันใดกับข้าหรือ”หญิงสาวยิ้มบาง พลางยอบกายให้ชายหนุ่ม“บิดาของข้าคือลู่หมิงเช่อ พ่อค้าจากเมืองหนานหยางเจ้าค่ะ ส่วนข้าคือลู่เหยาเหยา ท่านพ่อส่งข้ามาพบเพื่อเจรจาเรื่องการค้าผ้าไหมและชา ข้าได้ยินว่าท่านเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลหลี่ในส่วนนี้ จึงมาขอเข้าพบ”หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าช้าๆ“เช่นนั้นเชิญคุณหนูลู่เข้ามาข้างในก่อนเถิด”เมื่อก้าวเข้ามาในเรือน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกเหมยที่ปลูกไว้ข้างกำแพงลอยมาตามลม หญิงสาวหันมองรอบกายด้วยความสนใจ“เรือนของท่
บรรยากาศภายในรถม้า บัดนี้มีแต่ความกดดันและความอึดอัด เซี่ยชิงหลีมองคนทั้งสองที่เอาแต่นั่งเงียบสลับไปมา ก่อนร่างบางจะเปรยเบาๆ ราวกับพูดคนเดียว“เฮ่อ! รถม้าคันนี้ช่างเล็กจริงๆ ข้าและลูกน้อยอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกแล้ว”หญิงสาวยิ้มบาง พร้อมกับมองหน้าชายหนุ่ม โอวหยางชิงเฟิงเหมือนจะรู้ถึงแผนการของหญิงสาว ร่างสูงพลันรวบร่างบางของถานจิ่งอี้เข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวลงจากรถม้าไปทันที“ปล่อยข้านะ! พี่ชิงหลี! ช่วยข้าด้วย!” ถานจิ่งอี้ร้องเสียงสั่น แต่เฉียวฟงกลับกอดนางเอาไว้แน่น“ขอโทษทีนะจิ่งอี้ เขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ข้าสตรีตัวเล็กๆ จะช่วยเจ้าได้อย่างไร” หญิงสาวโบกมือลาคนทั้งสอง พร้อมกับออกคำสั่งให้รถม้าออกวิ่งอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบาน“ช่างเป็นคู่รักที่ดื้อรั้นทั้งคู่จริงๆ” นางเอ่ยพลางยกมือแตะหน้าท้องตนเองเบาๆเมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือ ถานจิ่งอี้จึงจำต้องช่วยตนเอง“ข้าบอกให้ปล่อยไม่ได้ยินหรือ!” นำเสียงของหญิงสาวที่ตวาดชายหนุ่ม เต็มไปด้วยความสั่นเครือ“จิ่งอี้! เป็นข้าที่ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรพูดเช่นนั้นกับเจ้า ข้ารู้แล้วว่าคำพูดของข้าทำร้ายความรู้สึกของเจ้าเพียงใด” ถานจิ่งอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ด
“ข้าจะไปเรือนหลัง!” น้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มดังขึ้น จนข้ารับใช้ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าตอบรับไม่นานนัก องค์ชายใหญ่และองครักษ์ผู้ติดตามก็ได้ก้าวเข้าไปภายในเรือนที่ถูกสร้างเอาไว้สำหรับเหล่าสตรี ซึ่งไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ อาศัยอยู่“ไปลากพวกนางออกมาให้หมด!!”บัดนั้น...แสงตะเกียงพลันถูกจุดขึ้นทั่วลานหน้า สตรีทั้งสี่พร้อมข้ารับใช้ทั้งหมด ถูกลากออกมาคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่ม“ข้าจะถามเพียงครั้งเดียว ใครเป็นคนเริ่มหาเรื่องพระชายาของข้า” น้ำเสียงเย็นเยียบถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นของชายหนุ่มทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะเกรงกลัวพระราชอาญา ถ้าหากเอ่ยปากบอกความจริง“ดี! ข้าเองก็ไม่ต้องการเก็บคนที่สร้างความวุ่นวายในตำหนักของข้าเอาไว้เช่นกัน” ร่างสูงชี้ไปยังคนทั้งหมดก่อนตวาดเสียงก้อง“พรุ่งนี้เรียกพ่อค้าทาสมา แล้วขายพวกมันออกไปให้หมด!”สิ้นเสียงของโอวหยางชิงเฟิง เสียงร้องไห้และร้องขอความเมตตาพลันดังระงมไปทั่วลานเรือน“ไม่ได้นะเพคะ! พระองค์จะทำเช่นนั้นกับเราไม่ได้” หลิวหยิ่ง สตรีคนแรกที่โอวหยางชิงเฟิงรับเข้ามาอยู่ข้างกาย เอ่ยคัดค้านขึ้น“ทำไมข้าจะทำเช่นนั้นมิได้เล่า”“นั่นก็เพราะกฎหมายของแคว้นฉินว







