ชาวบ้านที่เร่งหามร่างของหลี่หลันฮวาลงมาจากเขาคือนายพรานในหมู่บ้านที่ขึ้นเขาล่าสัตว์ ระหว่างทางพวกเขาพบกันและทักทายเล็กน้อย ไม่คิดว่าในตอนนั้นจะมีหมูป่าตัวใหญ่พุ่งเข้าหาพวกเขา
หลี่หลันฮวาที่ร่างกายอ่อนแอหลบไม่ทันทำให้ถูกทำร้ายจนแทบปางตาย โชคยังดีที่เซี่ยจื่ออี้และเซี่ยชิงเป่าอยู่ห่างจากจุดนั้นไม่น้อย ถ้าเป็นน้องสาวของนางถูกทำร้ายไม่รู้ว่าจะยังสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่
“น้องรอง...หลีเอ๋อ!!ท่านแม่นาง…”
ชายหนุ่มเอ่ยกับน้องสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาพูดตะกุกตะกักเหมือนไม่รู้ว่าควรเอ่ยกับนางอย่างไร เซี่ยชิงหลีกลับมามีสติอีกครั้ง หลังได้ยินเสียงอันสั่นเทาของพี่ชายและเสียงร้องไห้ของน้องสาว
“ท่านแม่จะไม่เป็นอะไร ข้าจะหาทางช่วยชีวิตนางเอง”
หญิงสาวใช้ภาษามือคุยกับพี่ชายก่อนพยักหน้าให้เขาวางใจ
ภายหลังจากชาวบ้านพาร่างโชกเลือดของหลี่หลันฮวากลับมายังตระกูลเซี่ย สะใภ้ใหญ่เห็นคนมากมายมายังเรือนของตนนางจึงรีบพุ่งออกมาดู เมื่อเห็นหลี่หลันฮวาในสภาพใกล้ตายนางก็ไม่สามารถปกปิดความยินดีได้
คนที่อยากให้ตายมาตลอดกำลังจะตายแล้ว สวรรค์ช่างเข้าข้างนางจริงๆ จากนี้ทุกอย่างของตระกูลเซี่ยรวมถึงเซี่ยจื่อยวนก็จะกลายเป็นของนางเพียงคนเดียว
เซี่ยจื่ออี้สั่งให้น้องสาวไปตามท่านหมอหลิวหมอประจำหมู่บ้านมา ส่วนตนเองทำความสะอาดร่างกายของมารดาเพื่อดูบาดแผล เหล้าฤทธิ์แรงหลายไหถูกชาวบ้านยกมาส่งให้นาง ผ้าสะอาดภายในเรือนถูกใช้ห้ามเลือดไปจดหมด
ทุกคนต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อรอดูว่าวันนี้หลี่หลันฮวาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ หลายคนเป็นกังวลแทนลูกๆ ทั้งสามของนางเพราะบ้านรองไร้พึ่งอื่นใดอีกแล้วแม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดก็ตามที อีกทั้งร่างกายของพวกเขาต่างก็มีใครสมประกอบเลยสักคน หากขาดเสาหลักอย่างหลี่หลันฮวาไปเด็กทั้งสามอาจเอาชีวิตรอดต่อไปได้ยาก
ทว่าแม้ชาวบ้านจะแสดงความใส่ใจ แต่คนตระกูลเซี่ยหรือแม้แต่สามีของนางกลับไม่มีใครไยดีสอบถามหรือแสดงความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของนางแม้สักนิด การกระทำของพวกเขาช่างทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก
เมื่อเซี่ยชิงหลีเปิดดูบาดแผลของมารดา พบว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เห็นภายนอกจึงได้เบาใจลง
“พี่ใหญ่ท่านหมอมาแล้ว!!”
เซี่ยชิงเป่าลากหมอชราให้รีบวิ่งตามตนเองมา เมื่อทั้งสองหยุดลงที่หน้าเรือนตระกูลเซี่ยเด็กน้อยก็รีบอ้าปากสูดลมหายใจเข้าปอด เสียงหอบแฮกของนางไม่ต่างจากท่านหมอหลิว
“เจ้าหนูคิดจะฆ่าข้าเรอะ! เจ้าไม่ดูบ้างว่าชายแก่อย่างข้าอายุเท่าใดแล้ว”
หมอชราดุเด็กน้อยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก เขาเห็นเด็กคนนี้เติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้จะปากกล้าไปสักหน่อยทว่ากลับมีความกตัญญูต่อมารดายิ่งกว่าผู้ใด
“เป่าเอ๋อขออภัยเจ้าค่ะ ข้าแค่กังวลว่าท่านแม่จะรอไม่ไหว”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว นำทางข้าไปดูอาการแม่ของเจ้า”
สองคนต่างวัยเดินตามกันเข้าไปภายในเรือน จางซุนโหรวเมื่อเห็นเซี่ยชิงเป่าพาหมอหลิวมานางก็รีบกระโดดเข้าขวางทางทันที จะปล่อยเข้าไปได้อย่างไร จุดประสงค์ของนางคือต้องการให้หลี่หลันฮวาตาย
“หยุดก่อน! หมอหลิว! ท่านรู้หรือไม่ต่อให้ท่านรักษาอาการบาดเจ็บให้กับสะใภ้รอง พวกเขาก็ไม่เงินจ่ายค่ารักษาหรอกนะ บ้านเซี่ยของข้าก็ไม่ยินดีจ่ายเงินเพื่อรักษานางเช่นกัน”
หมอชราขมวดคิ้วให้กับความคิดอันน่ารังเกียจของนาง และยังคิดจะรักษาให้กับมารดาของเด็กน้อยตรงหน้าตามเดิม
เมื่อเห็นว่าการพูดคุยล้มเหลวจางซุนโหรวจึงใช้แผนใหม่ นางรีบวิ่งไปคว้าไม้ที่วางอยู่ไม่ไกลมาเป็นอาวุธเพื่อขวางทางหมอหลิวไม่ให้เข้าไปได้
“หลีกไปซะ!สะใภ้ใหญ่บ้านเซี่ย เจ้ากำลังขัดขวางการรักษาของข้า”
หมอชราแซ่หลิวแสดงสีหน้าเอือมระอาออกมา แม้ผู้เฒ่าจะอยู่มานานหลายทศวรรษแต่ไม่เคยเห็นสตรีใดชั่วร้ายเช่นหญิงผู้นี้
“ข้าบอกแล้วว่าห้ามรักษานาง ที่นี่คือตระกูลเซี่ยจะเข้าออกตามอำเภอใจได้อย่างไร หมอหลิวท่านกลับไปซะ!”
ในระหว่างที่สองฝ่ายกำลังถกเถียงกัน ใครคนหนึ่งก็เดินมาจากด้านหลัง ชักเท้าถีบจางซุนโหรวเข้าเต็มแรง
“โอ๊ย!! ใครบังอาจลอบทำร้ายข้า”
เป็นอาเหิงที่ถูกสั่งให้มาดูว่าเหตุใดท่านหมอหลิวยังไม่มาเสียที เมื่อพบว่าจางซุนโหรวกำลังขวางทางตน จึงได้ถีบนางออกไป
“พี่ภรรยาสั่งให้อาเหิงมาตามท่านหมอ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มหวานให้ชายชรา ท่าทางของเขาแม้จะเหมือนเด็กน้อยทว่ากลับทำตามคำสั่งไม่มีบกพร่อง ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอารมณ์ดี
“ดี ดี...เด็กดี”
หมอหลิวเอ่ยชมชายหนุ่มอย่างเอ็นดู
“พวกเจ้า!!”
จางซุนโหรวมองคาดโทษชายหนุ่มพลางสบถในลำคอ
คนทั้งสามเดินตามกันเข้าไปจนถึงด้านหลังเรือนหลัก เมื่อหมอหลิวพบว่าบ้านรองพวกเขาอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ทำจากฟาง หมอชราจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเวทนาออกมา
“พวกเจ้าทุกคนรออยู่ด้านนอกก่อน”
เมื่อสั่งความเสร็จหมอหลิวก็สะพายล่วมยาเดินเข้าไปด้านใน
เซี่ยชิงหลีบัดนี้ทำความสะอาดบาดแผลเรียบร้อยแล้ว หน้าท้องของมารดามีร่องรอยฟกช้ำ สะโพกของนางมีบาดแผลทว่าไม่ลึกมากนักแต่ต้องได้รับการเย็บเพื่อให้แผลหายเร็ว ส่วนขาของนางตรวจดูแล้วไม่มีส่วนใดแตกหักเพียงแต่มีรอยกรีดเป็นทางยาวและจำเป็นต้องเย็บแผลเช่นเดียวกัน
ยุคนี้ยังไม่มีการเย็บบาดแผลเพื่อรักษา ตัวนางเองก็ไม่มีอุปกรณ์จำต้องรักษาเท่าที่สามารถทำได้ไปก่อน
“เจ้าเป็นคนทำทั้งหมดนี่หรือ”
เมื่อเห็นว่าบาดแผลของหลี่หลันฮวาถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หมอชราก็มีท่าทีพอใจไม่น้อย
“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ”
“นี่! เจ้า!...นางหนูเจ้าพูดได้ตั้งแต่เมื่อใด”
ใครบ้างไม่รู้ว่าเซี่ยชิงหลีเป็นใบ้ เมื่อได้ยินเสียงของนางหมอชราตกใจจนหาเสียงตนเองไม่เจอ
“ท่านหมอเรื่องนี้เอาไว้ข้าจะอธิบายทีหลัง ขอข้าดูล่วมยาของท่านได้หรือไม่”
“นี่! เจ้าก็รักษาคนได้ด้วยหรือ”
“ก็ประมาณนั้นเจ้าค่ะ”
หญิงสาวจัดการทำแผลให้มารดาอย่างคล่องแคล่ว หลังจากใส่ยาและพันแผลของนางเสร็จแล้วจึงได้มีโอกาสหันมาพูดกับหมอชรา
“ความจริงหลายปีมานี้ข้าได้รับการรักษาจากหมอพเนจรท่านหนึ่ง ท่านรับข้าเป็นลูกศิษย์และสอนการรักษาให้แก่ข้า แต่เรื่องที่ข้าพูดได้อยากจะขอให้ท่านหมอเก็บเป็นความลับได้หรือไม่”
หมอชราไม่รู้เหตุผลที่เด็กสาวตรงหน้าต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่างไรทุกคนก็มักมีเรื่องที่ลำบากใจไม่สามารถพูดออกมาได้สักหนึ่งหรือสองเรื่อง อีกอย่างตนเป็นคนนอกไม่สะดวกยุ่งเรื่องของผู้อื่น
“ข้ารับปาก แต่ขอข้าพูดกับเจ้าเรื่องหนึ่ง เด็กน้อย...เจ้ารู้เรื่องการรักษามากน้อยเพียงใด”
ชายชรามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างพินิจ
“อืม....ข้าเองก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ เพราะยังไม่เคยลงมือรักษาใครอย่างจริงจัง ท่านแม่เป็นคนแรกที่ข้าทำแผลให้ แต่เรื่องสมุนไพรและฝังเข็มข้าพอรู้บ้างเล็กน้อย”
หญิงสาวเอ่ยอย่างถ่อมตน
ความจริงแล้วเซี่ยชิงหลีไม่ต้องการเปิดเผยฝีมือของตนมากนัก รอให้ออกจากตระกูลเซี่ยเรียบร้อยแล้วนางถึงจะสามารถทำอะไรได้สะดวก ไม่อย่างนั้นพวกเหลือบไรทั้งหลายคงตามติดไม่หยุด
หมอชราลูบเคราขาวอย่างครุ่นคิด ในเมื่อนางไม่ต้องการเปิดเผยฝีมือเช่นนั้นตนก็ไม่อยากเซ้าซี้ เพราะเรื่องพรสวรรค์ไม่ใช่ทุกคนจะมีได้
ชายชุดดำกระชากสาบเสื้อของหมอวัยกลางคนจนหลุดลุ่ย เวลานั้นเองเซี่ยชิงหลีได้เอ่ยแทรกขึ้น“นี่!...ให้ข้าลองดูได้หรือไม่”“เจ้าเป็นใคร!”ชายชุดดำหันขวับมาที่นางทันที สายตาที่จับจ้องมานั้นราวกับจะสังหารคนเสียให้ได้“ข้าคือคนที่ผ่านทางมาและพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“แม่นาง...เจ้าอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเลย ไม่เห็นหรือว่าเขาตายไปแล้ว ถ้าหากเจ้าช่วยคนผู้นี้ไม่ได้เจ้าอาจต้องตาย เห็นหรือไม่เขามีอาวุธ”ชาวบ้านที่เข้ามามุงดูช่วยเอ่ยทัดทานหญิงสาว“ข้ารู้...”แม้จะรู้เช่นนั้น เซี่ยชิงหลีก็ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ช่างผิดวิสัยของคนปกตินักหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าของคนผู้นั้น นางพลันจดจำได้ทันที เขาคือชายชราที่อยู่กับอาจารย์ใหญ่จ้าว เหตุใดถึงได้มาอยู่ที่นี่ ชายชุดดำเห็นสายตาของหญิงสาวดูเปลี่ยนไปเหมือนกับนางเคยรู้จักนายท่านของตนมาก่อน เขาทำท่าชักกระบี่ทว่าคนที่มาด้วยห้ามเอาไว้“เจ้าคนหนึ่งมานี่ ทำตามที่ข้าบอก”เซี่ยชิงหลีจัดท่าให้ชายชรานอนหงายแล้วเปิดทางหายใจให้โล่ง ด้วยการกดหน้าผากและยกขากรรไกรล่างขึ้น จากนั้นสั่งให้ชายชุดดำผายปอดให้ชายชราตามวิธีการของนางผู
“เนื้อกวางหรือ หอหว่านหรงของเรารับซื้อทว่าเห็ดป่านั้น...เจ้าให้ข้าดูก่อนได้หรือไม่”ชายหนุ่มมีท่าทีลังเล เซี่ยชิงหลีพอเข้าใจเพราะก่อนหน้านี้คนบ้านหลี่ก็แสดงสีหน้าไม่ต่างกัน ไม่ใช่เห็ดทุกชนิดที่จะสามารถกินได้“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”หญิงสาวเปิดผ้าคลุมตะกร้าออก เห็ดสนที่ถูกล้างอย่างดีวางเรียงภายในตะกร้าอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดมพบว่ามันส่งกลิ่นหอมชวนให้นึกถึงป่าเขียวชื้นในยามเช้า มันไม่ใช่กลิ่นหอมหวานฉุนหรือสดใสเหมือนดอกไม้ หากแต่เป็นกลิ่นหอมที่อบอุ่น ลุ่มลึก และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว“นี่คือเห็ดอะไรหรือ”“สิ่งนี้คือเห็ดสนเจ้าค่ะ ชาวบ้านอย่างเราใช้ปรุงอาหารสามารถทำได้หลายอย่าง หากผู้ดูแลวางใจข้าจะลองทำให้ทานสักสองสามอย่าง”ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าอนุญาต“ได้...เช่นนั้นเจ้าตามเขาเข้าไปในครัว”เซี่ยชิงหลีเดินตามเสี่ยวเอ้อเข้าไปด้านหลังร้าน ที่นั่นมีพ่อครัวอยู่สี่ห้าคนกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร เพียงหญิงสาวก้าวเข้าไปทุกอย่างก็หยุดชะงักลง“ต่อเลยเจ้าค่ะ ต่อเลย ไม่ต้องสนใจข้า ข้าเพียงแวะมาชั่วคราวเท่านั้น”หญิงสาวคำนับให้เหล่าพ่อครัว จากนั้นเริ่มทำอาหารของตนเมื่อ
เพราะการแต่งกายที่ดูซอมซ่อของทั้งสาม ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าหอกุ้ยเซียงก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา เซี่ยชิงหลีแอบสบถในใจ วันหน้านางสัญญาว่าจะทำให้ที่นี่เจ๊งไม่เป็นท่าหลังจากออกจากหอกุ้ยเซียงทั้งสามก็ตรงไปเหลาอาหารและสุราที่ชื่อหว่านหรง ซึ่งชาวอำเภอหลิงหนานต่างรู้ดีว่าสองร้านนี้เป็นคู่แข่งกันมาช้านาน ทว่าหอกุ้ยเซียงนั้นมีทั้งหญิงสาวงดงามที่คอยให้บริการและยังมีกวีนักเล่าเรื่องมาคอยเล่านิทานให้เหล่าลูกค้าได้เพลิดเพลิน ทำให้หอหว่านหรงต้องตกเป็นรอง“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”ยังไม่ทันจากไปหญิงสาวก็ถูกขวางทางโดยคนที่เกลียดขี้หน้าที่สุด เซี่ยจิ่งเฉิง ที่พึงออกจากหอกุ้ยเซียงเดินโซเซตรงมายังนาง เมื่อได้พบคนที่ไม่ชอบหน้าหญิงสาวมีหรือจะยอมพูดดีด้วย“เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“ก็เพราะ...ขะ...ข้าคือพี่ชายของเจ้า! เอ๊ะ!เหตุใดเจ้าพูดได้!...แล้วช่างเถอะ...เหตุใดจะไม่เกี่ยวกับข้า บอกมาว่าเจ้ามาทำอะไรที่อำเภอหลิงหนาน”เซี่ยจิ่งเฉิงคิดคว้าแขนหญิงสาวมาซักถามให้รู้เรื่อง ทว่านางกลับหมุนตัวหลบทำให้เขาเสียจังหวะล้มคว่ำไป“เจ้า!..”เมื่อถูกนางทำให้ต้องได้รับความอับอายบวกกับฤทธิ์สุราทำให้เขาลืมไปแล้วว่าก่อนหน้าหญิงสาวเคยทำอะไรเอ
ชายหนุ่มก้มตัวลงแตะริมฝีปากลงบนแก้มนวลแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มกว้างและหัวเราะด้วยความดีใจ“เย้! อาเหิงได้รับรางวัลแล้ว”ทุกคนที่ยืนอยู่ในที่นั้นต่างมองการกระทำของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง อาเหิงแม้จะดูใสซื่อและบริสุทธิ์ทว่ากลับทำให้คนกำหมัดอยากจะชกหน้าสักครั้งร่างบางถูกฉวยโอกาสโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตางามเบิกโพลงเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีราวกับเลือดทั้งหมดพุ่งตรงขึ้นมาที่พวงแก้มในเสี้ยวอึดใจ หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา“อ๊ะ…!”เซี่ยชิงหลีหันขวับไปมองร่างสูง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจปนเขินอาย ริมฝีปากบางขยับเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างทว่าไม่มีคำใดหลุดออกเลยนอกจากเสียงพึมพำในลำคอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแก้มของตนแผ่วเบา ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง… หรือฝันไป“ภรรยา เจ้าเป็นอะไรหรือ”ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวด้วยดวงตาใสซื่อ“ขะ...ข้า พวกเรากลับกันได้แล้ว”ร่างบางรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของทุกคนภายหลังเมื่อคนตระกูลหลี่กลับมายังหมู่บ้าน ข่าวที่บ้านหลี่ล่ากวางตัวใหญ่ได้ก็ถูกลือกระฉ่อนในชั่วพริบตา เซี่ยชิงหลีคือเพชฌฆาตคนนั้น ทุกคนจึงรอฟั
“หลีเอ๋อ เจ้าจะบอกว่าตนเองรู้เรื่องสมุนไพรหรือ”“ใช่สิเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้าได้ไหว้หมอพเนจรท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ กระทั่งตอนนี้ที่พูดได้ก็ไม่ใช่ฝีมือของอาจารย์ข้าหรือ”ชายชราหันมายิ้มกับหลานสาวผู้โชคดีของตน“ดี! ดีจริงๆ ไม่คิดว่าในความโชคร้ายของพวกเจ้าจะยังมีเรื่องดีๆ อยู่ด้วย นี่ท่านแม่ของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือยัง”“อืม...ท่านแม่ของข้าจะรู้หรือไม่นั้น...บาดแผลของนางข้าก็เป็นคนรักษา อีกอย่างข้ายังคิดว่าจะใช้ความรู้ของตนพัฒนาเป็นอาชีพ ต่อไปครอบครัวของเราจะต้องร่ำรวยไปด้วยกัน”สองตาหลานเดินพูดคุยอย่างเพลิดเพลิน หูที่ได้รับการฝึกฝนของเซี่ยชิงหลีพลันได้ยินความเคลื่อนบางอย่างที่อยู่ห่างออกไป“ท่านตา!...รอสักครู่”หญิงสาวเปลี่ยนจากท่าทางที่ดูขี้เล่นเป็นจริงจังในทันที ร่างบางย่องตามเสียงนั้นไปเมื่อพ้นเขตป่าสมุนไพรกลายเป็นลานทุ่งกว้าง ที่นั่นมีสัตว์ป่ามากมายกำลังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลินทันใดนั้นกวางหนุ่มตัวเขื่องค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากแนวพุ่มไม้มันเดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า ด้วยจังหวะที่สงบและเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จมูกของมันก้มลงเล็มยอดหญ้าอ่อนสีเขียวสดอย่างละเมียดละไม ทว่าทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยความร
หลี่หมิงเจ๋อบุตรชายคนเล็กของลุงรองที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้าถามหญิงสาวด้วยท่าทางสงสัย อาหารขึ้นโต๊ะวันนี้มีมากกว่าอาหารที่กินในวันปีใหม่เสียอีก แต่ส่วนใหญ่ทำจากเห็ดที่นางเก็บมาวันนี้“ทานได้แน่นอน ข้าจะทานให้ท่านดู...”หญิงสาวใช้ตะเกียบคีบเห็ดเข้าปาก“เห็ดเหล่านี้ล้วนเป็นเห็ดที่ขึ้นเฉพาะที่ที่มีต้นสนขึ้น มันเรียกว่าเห็ดสน นี่คือเห็ดสนผัดน้ำมัน ส่วนนี่เห็ดสนผัดไข่ นี่คือเห็ดสนผัดรวมมิตรเนื้อหมูป่า เห็ดสนคั่วพริกเกลือและเห็ดสนย่างราดน้ำจิ้มที่ข้าทำเอง และรายการอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าคิดขึ้นมา”วันนี้เก็บเห็ดสนได้สองตะกร้าใหญ่ โชคดีที่ชาวบ้านสนใจหมูป่าจึงไม่มีใครตามมาดูว่าในตะกร้าของพวกเขามีอะไรบ้างแม้หญิงสาวจะเอ่ยเช่นนั้นทว่าคนบ้านหลี่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือทาน มีเพียง อาเหิง เซี่ยจื่ออี้ และเซี่ยชิงเป่าที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังชมฝีมือการทำอาหารของหญิงสาวไม่หยุดปาก“น่าจะทานได้ไม่มีพิษกระมัง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ต้องมีอาการแล้ว”ตู้เฟิงอิงหันไปเอ่ยกับสามี“ข้าจะเป็นคนเสียสละทดลองเอง”หลี่เยว่หยางน้องชายของหลี่เยว่สิงลูกชายคนเล็กของบ้านใหญ่ ปีนี้อายุสิบหกอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกับเ