ตอนที่ 1 คู่กรณี
“นี่เงิน เท่านี้พอไหม”
“พอแล้ว ขอบคุณครับ” หนาวรับเงินจากฉันแล้วยกมือไหว้ด้วยรอยยิ้ม “ไปแล้วนะพี่ ลายายแล้ว”
“อื้ม ขับรถระวังด้วย”
วันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งปกติแล้วถ้าไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรฉันจะกลับบ้านอยู่แล้ว เพราะอยากมาช่วยยายทำขนมขายช่วงวันหยุด วันเสาร์และอาทิตย์ยายต้องทำปริมาณมากกว่าเดิมเพื่อที่จะเอามันไปขายตลาดนัดตอนเช้า ยิ่งถ้าตรงกับวันพระด้วยวันนั้นจะต้องทำเพิ่มอีกหลายเท่า บางทีถึงกับต้องจ้างคนมาช่วย
แต่รายได้ก็ไม่ถึงกับทำให้เรามีฐานะที่ดีขึ้นเพราะยายต้องแบกรับภาระหลายอย่างทั้งที่อายุท่านย่างเข้าเจ็ดสิบแล้วควรจะได้พักแต่กลับต้องมาเลี้ยงดูพวกเราสองคน ไหนจะลูกเลวๆ อีกคนด้วย
“เมื่อเช้าน้าอิฐโทรมา บอกว่าขายไก่ชนได้หลายหมื่นจะโอนมาให้เราใช้” ยายเอ่ยขณะที่กำลังจัดเตรียมของสำหรับทำขนมเช้าพรุ่งนี้ ท่านไม่ได้หันมามองฉันนั่นคงเป็นเพราะไม่อยากรับรู้ว่าฉันทำหน้ายังไง
น้าอิฐเป็นน้องชายของแม่ฉันซึ่งเสียไปแล้ว ลูกชายคนเล็กของยาย แม่เป็นลูกคนโต นิสัยของแกคือเอาแต่ใจเพราะตอนเด็กยายคงเลี้ยงดูมาแบบตามใจมาก ไม่มีงานการทำเอาแต่เที่ยวเล่นพนัน หลักๆ ก็ชนไก่และค้าขายไก่ชนพวกนั้น แต่รายได้ก็ถูกถลุงเล่นไปกับการพนันเหมือนเดิม
เมื่อเดือนก่อนน้าอิฐก็ทะเลาะกับฉันเรื่องที่ขอเงินยายไปลงทุนกับไก่ชน เป็นเงินที่ยายเก็บไว้ให้ฉันไว้สำหรับจ่ายค่าเทอม บอกจะคืนให้สิ้นเดือนสุดท้ายไม่ได้คืน
“ไม่เอาค่ะ ให้น้าอิฐเอาไปใช้เองเถอะ หรือไม่ก็ฝากในบัญชียายแล้วกัน ค้างไม่อยากใช้เงินสกปรก” ฉันบอกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดแต่น้ำเสียงเรียบๆ นั้นคงทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่ามันไม่ปกติ
ยอมรับว่ายังโกรธเพราะหลังจากวันนั้นฉันต้องหางานพิเศษทำมากขึ้นจนแทบไม่ได้พัก จากที่ทำเป็นรายชั่วโมงช่วงกลางวันในร้านกาแฟติดกับมหา’ ลัย ไหนจะต้องทำกิจกรรม และอ่านหนังสือสอบอีก มันหนักหนามากนะสำหรับนักศึกษาปีหนึ่งอย่างฉัน
ด้วยปัญหาตอนนั้นจึงมีเพื่อนแนะนำให้ไปทำงานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานบรรเทิงไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก บอกว่ารายได้ดี ลูกค้าส่วนมากก็พวกนักศึกษาด้วยกัน คนไม่มีทางเลือกอย่างฉันจึงตัดสินใจรับงานร้านเหล้าเพราะมันได้เงินมากกว่างานอื่น ไหนจะเรื่องเวลาอีก
ตอนนี้ฉันก็ยังทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่สถานบันเทิงแห่งเดิม แต่ทำงานแค่อาทิตย์ละสามถึงสี่วันเท่านั้น เพราะที่ร้านมีพนักงานเยอะจึงต้องสับเปลี่ยนกันทำ ส่วนใหญ่ก็เด็กนักศึกษาด้วยกันทั้งนั้น
“ยังโกรธน้าอิฐอยู่เหรอ”
“เปล่าค่ะ ค้างแค่ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณที่หลัง”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามีปากเสียงกัน แต่น้าอิฐทำตัวแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ทั้งเล่นพนัน เป็นหนี้จนเดือดร้อนยายต้องมาชดใช้แทน พอได้เงินมาแบ่งให้ใช้ไม่กี่วันสุดท้ายก็มาเอาคืน กลับไปเล่นพนันจนหมดตัว ฉันเบื่อหน่ายที่จะได้ยินเรื่องบ้าๆ พวกนี้แล้ว
“เห้อ...” ยายทอดถอนใจแล้วพยักหน้า
ท่านเองก็คงเหนื่อยแต่เพราะความเป็นแม่ลูกมันตัดกันไม่ขาดอยู่แล้ว ยายรักน้าอิฐมาก เอาใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ขออะไรไม่เคยถูกยายปฏิเสธ ทำเลวกี่ครั้งยายก็รักเพราะคำว่าแม่ลูก ฉันเองพูดอะไรได้ไม่มากเพราะตอนนี้ก็ยังเป็นภาระของยายอยู่ แถมยังเป็นแค่หลาน
“ค้างเอาของไปเก็บก่อนนะเดี๋ยวลงมาช่วย” ฉันบอกแล้วรีบหนีเข้าห้องของตัวเอง
บ้านหลังนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่ยายเหลืออยู่ เพราะแม่ปลุกบ้านหลังนี้ไว้ให้ตั้งแต่ฉันยังเด็ก ไม่กี่ปีหลังจากนั้นท่านก็เสียไปทิ้งให้ฉันอยู่กับยายกับน้อง ส่วนพ่อของพวกเราท่านเสียตั้งแต่ฉันยังอายุเพียงสามขวบ น้ำหนาวก็คงเพิ่งไม่กี่เดือน ทั้งคู่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเหมือนกัน จนคนแถวนี้พูดให้ได้ยินช่วงที่แม่เสียว่าพ่อคงมารับไปอยู่ด้วย
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงพ่อก็คงเห็นแก่ตัวที่สุด ที่พาแม่ไปอยู่สุขสบายแล้วปล่อยให้ฉันกับน้องลำบากแบบนี้
“ให้ค้างทำอะไรดียาย” ฉันกลับออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดลำลองใส่สบายเพราะชุดนักศึกษาคงไม่สะดวกเท่าไหร่
“ท่านข้าวก่อนไหม ไม่หิวรึ”
“ไม่ค่ะ เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ ว่าแต่ยายเถอะทานข้าวหรือยัง”
“ยายก็ไม่หิวเลย งั้นไปกวนไส้ให้ยายนะ มะพร้าวอยู่ในตู้เย็น”
“ค่ะ”
ตั้งแต่เด็กจนโตฉันต้องช่วยยายทำขนม เลยรู้วิชาพวกนี้มาแทบทั้งหมด ถือว่าเป็นความรู้ติดตัวเผื่อว่าวันหนึ่งวันใดมันก็คงจะได้ใช้บ้าง
ครืด~
กลุ่ม จิตอาสา ' นิเทศน์
Pee’ raphon : แจ้งน้องๆ นะครับ วันจันทร์ช่วงเย็นพี่นัดประชุมเรื่องเปิดกล่องบริจาค ขอให้ทุกคนมาด้วย ห้ามขาด ใครมีธุระสำคัญกรุณาแจ้ง
ฉันอ่านข้อความที่รุ่นพี่ส่งเข้ามาในกลุ่มแล้วจึงวางมันลงที่เดิม ก่อนจะเดินไปหยิบเอาวัตถุดิบต่างๆ มาไว้บนโต๊ะเพื่อเตรียมทำไส้ขนมให้ยาย
ชมรมจิตอาสาของคณะเราไม่ได้รวมกับชมรมใหญ่ของมหาลัย เพราะคณะเรามีจำนวนนักศึกษาที่ค่อนข้างมากจึงตั้งชมรมเอง และทำกิจกรรมช่วยเหลือเอง แต่นั่นกลับทำให้กลายเป็นเรื่องที่ทางสโมกลางไม่ค่อยชอบใจนัก
ได้ยินมาว่าพี่พี ประธานชมรมของพวกเราและเป็นลุงรหัสของฉันถึงกับเป็นคู่อริของนายกสโมสรนักศึกษา เพราะพี่พีพาน้องปีหนึ่งไปเปิดกล่องรับบริจาคโดยไม่ได้รับอนุญาติจากทางสโมกลางด้วย
ฉันก็แค่ได้ยินข่าว ไม่เคยรู้จักนายกสโมฯที่ว่านั่นเพราะไม่ได้สนใจ แค่เห็นรูปผ่านๆ เห็นว่าหน้าตาดี แถมมีสาวๆ ในมหา’ ลัยชอบกันเยอะ เรื่องอื่นก็ไม่เคยสนใจ ไม่เคยเห็นตัวจริงเพราะส่วนใหญ่กิจกรรมของมหาลัยฉันก็ไม่ได้เข้าร่วมบ่อย จะทำก็แต่กิจกรรมของคณะเพราะมีเพื่อนชักชวน
ไหนจะต้องทำงานพิเศษทำให้ไม่มีเวลาพอที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่าง ทำแค่ที่จำเป็นและพอสนุกสนาน มีสังคม มีเพื่อนก็เท่านั้น
---------------
ผู้นายกสโมฯคนนั้นตัวท็อปเลยนะหนูลูก คนอื่นรู้จักกันหมดแต่น้องไม่สนใจ แงงง
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง