ตอนที่ 2 เขาคือใคร
วันหยุดมันผ่านไปเร็วจนไม่น่าเชื่อ และแล้วก็เป็นเช้าของวันจันทร์ที่ฉันไม่อยากให้มาถึง แต่ก็ยังต้องตื่นเช้ามาเรียนตามปกติ สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติคือเช้านี้ฉันเลือกที่จะเข้ามานั่งรออาจารย์ในห้องเรียนวิชาแรกแทนที่จะรอพวกเพื่อนอยู่ใต้ตึก
ครืด~ ครืด~
ขณะที่กำลังจะทิ้งสะโพกลงกับเก้าอี้เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นเบอร์ของคู่กรณีที่จ้องจะเอาเงินจากฉันอยู่
ฉันกดปิดเสียงแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ในกระเป๋า หันซ้ายขวาอย่างระแวดระวังเพราะตอนนี้เริ่มมีเพื่อนทยอยเข้ามาในห้องกันแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนที่ตามมาทวงเงินฉันเป็นใครหน้าตายังไง มีแค่เขานั่นแหละที่รู้ว่าหน้าตาฉันเป็นแบบไหน
“ขอโทษนะครับ”
เฮือก!
อยู่ๆ ฝ่ามือของใครบางคนก็แตะลงมาที่ต้นแขนพร้อมกับเสียงเข้มนั้น เล่นเอาฉันตกใจจนต้องสะบัดมือนั้นออกโดยไม่ตั้งใจ แต่พอหันมองก็เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนคณะอื่นที่มาลงเรียนวิชานี้ ซึ่งฉันเองก็เห็นหน้าค่าตามาร่วมเดือนแล้ว
หรือเขาคือเจ้าของรถวันนั้น…
“มะ…มีอะไรคะ”
“ออ พอดีเราจะถามเรื่องงานที่อาจารย์สั่งน่ะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ออ…ถามอะไรเหรอ”
ฉันพูดพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะพูดคุยเรื่องงานกับเขาคนนั้นจนกระทั่งเพื่อนอีกสองคนของฉันมาจนครบ เขาก็ปลีกตัวหนีไปนั่งกับเพื่อนตัวเอง
“เขามาจีบแกเหรอ” ระรินถามด้วยท่าทีสนอกสนใจ พลางเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายนี้นั่งอยู่จนพวกเพื่อนเขามองกลับมา
เขานั่งอยู่มุมหลังสุดของห้อง มีเพื่อนคณะเดียวกันอีกสามถึงสี่คนอยู่ด้วย ที่รู้ก็เพราะเสื้อเชิ้ตกิจกรรมของคณะที่เหมือนกันหมด
“พูดบ้าอะไร เขามาถามเรื่องงาน”
“หล่ออะ เป็นรุ่นพี่ปีสองใช่ไหม”
“อยู่นิติศาสตร์ไหม เคยเห็นแวบๆ ในเพจ” จินพูดเสริม กับเรื่องผู้ชายล่ะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยยัยพวกนี้
“ใช่ๆ ฉันแอบมองมาตั้งแต่วันแรกแล้ว” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเขิน
ไม่แปลกใจเลยที่รุ่นพี่ที่มันคุยอยู่จะทิ้งไปมีแฟนทั้งที่คุยกับมันมาทั้งเทอม ก็เพราะมันบ้าผู้ชายแบบนี้ไง ใครเขาจะมั่นใจยอมคบกับมัน
“ก็ได้แค่มองแหละย่ะ ยัยน้ำค้างได้คุยเป็นชั่วโมง”
“เว่อร์ เพิ่งมานั่งคุยไม่ถึงสิบนาที” ฉันปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นเสียงแข็ง
“พี่เขาชื่ออะไรเหรอ” จินเอียงหน้าถาม
“พี่ปั้น”
“จ้า คุยกันแป๊บเดียวแต่รู้ชื่อเขาแล้ว”
“ก็เขาแนะนำตัวเองไหม หา!!”
ฉันหันไปโวยวายพวกมันสองคนที่กำลังหาเรื่องและพยายามจะโบ้ยความผิดที่มีผู้ชายรุ่นพี่นิติคนนั้นมาคุยด้วยให้ฉันจนได้ แต่อยู่ๆ ยัยสองคนนั่นก็เลิกสนใจเรื่องฉันแล้วเอาแต่สะกิดแขนกันให้มองไปที่ประตูบานใหญ่ของห้อง
“แก! พี่ฟิวส์!” เสียงของยัยจินที่เหมือนจะตกใจแต่กลับพูดให้เป็นเสียงกระซิบ
“มาทำอะไรวะ กรี๊ด! หล่อชิบหายเลย” ระรินกรี๊ดเป็นเสียงกระซิบบ้าง จนฉันต้องส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอากับความบ้าผู้ชายของพวกมัน ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยว่ายัยระรินเพิ่งออกหักไปเมื่อไม่กี่วันจากผู้ชายที่เรียกว่าคนคุย
ฉันมองตามพวกมันไปที่ประตูแต่คนที่ถูกเอ่ยถึงนั้นเดินพ้นประตูไปแล้ว เห็นแค่เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่แวบเดียว ให้เดาน่าจะหนุ่มวิศวะที่พวกมันชื่นชอบกันนั่นแหละ หลายคนจนจำไม่ได้ คณะนั้นก็มีแต่ผู้ชายด้วยใครจะไปจำได้หมด
“มาทำอะไรวะระริน”
ไม่ใช่แค่ยัยสองคนนี้ที่ดูตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของผู้ชายคนนั้น แต่ผู้หญิงอีกหลายคนก็ดูสนอกสนใจไปด้วย ฉันมองไปที่ประตูอีกบานหนึ่งซึ่งคิดว่าเขาจะต้องเดินผ่าน อยากรู้นักว่าหล่อบาดใจขนาดไหน ทำไมต้องทำอย่างกับเห็นดาราจีนดาราเกาหลีที่อยู่ในซีรีส์นัก
ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงของใครคนนั้นก็ปรากฏที่ประตูอีกบานที่รัศมีสายตาของฉันกำลังรออยู่เขาหยุดอยู่ตรงนั้น พร้อมกับเพื่อนอีกคน ก่อนจะกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง
เออ หล่อ โคตร!
เกือบทุกสายตาในห้องนี้มองไปตรงที่เขายืนอยู่เป็นจุดเดียว รวมถึงฉันด้วย อยู่ ๆ หัวใจของฉันมันก็รู้สึกเย็นวาบลามไปถึงกระดุกสันหลัง เมื่อสายตาคมกริบคู่นั้นมันหยุดอยู่ที่พวกเรานั่งอยู่ก่อนที่เขาจะเอามือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ท่าทางดูไม่เป็นมิตร
เขาสวมเสื้อช็อปสีเลือดหมูของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ทุกคนคุ้นตาคู่กับกางเกงยีนส์ในแบบที่ผู้ชายคณะนี้ชอบใส่กัน ทุกอย่างมันดูดีและเพอร์เฟคทั้งที่เขาก็แต่งตัวเหมือนๆ กับคนอื่นที่เคยเห็น
ติดอยู่อย่างเดียว สายตาของเขาไม่เป็นมิตรเลย ฉันเห็นแล้วยังไม่กล้ามองนานๆ แถมในจังหวะท้ายๆ นั้นฉันรู้สึกได้ว่ามุมปากของเขามันยกขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม คล้ายกับปีศาจร้ายในหนัง
รู้สึกถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาและมันดูอันตรายจนต้องขยับลูกตากลับมาหน้าห้อง
“เขามองใคร เราเหรอ” ยัยจินพูดพึมพำ
“ใช่เหรอแก แต่ก็มองทางนี้แหละ” ระรินเองก็สงสัยไปด้วย
ฉันที่สงสัยไม่ต่างจากยัยพวกนั้นจึงหันหลังไปมองดูว่าเขากำลังมองหาใครอยู่ เพราะคิดว่าไม่ใช่พวกเราแน่ ข้างหลังนั่นก็มีพวกผู้หญิงคณะบริหารนั่งอยู่กับผู้ชายคณะนิติศาสตร์ที่เพิ่งมาคุยกับฉัน
ถ้าให้เดาจากสายตาหาเรื่องแบบนั้นคงจะมองพวกรุ่นพี่ผู้ชายนิติอยู่แน่ๆ
“ไปแล้ว”
“สรุปคือใคร”
เมื่อหันกลับไปมองที่ประตูก็ไม่เห็นอีกคนแล้วอย่างที่ยัยจินว่า เหลือไว้แต่ความว่างเปล่าพร้อมกับความสงสัยของใครหลายคน รวมถึงฉัน…
จึงถามพวกมันทันทีด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่เพราะสนใจแต่เพราะความสงสัยจริงๆ
“น้ำค้างแกไปอยู่นรกขุมไหนมาเนี่ยถึงไม่รู้จักพี่ฟิวส์”
“อย่าไปว่ามัน ชีวิตมันว่างไถจอดูผู้ชายแบบแกไหม” จินต่อว่าระรินที่กำลังบ่นเรื่องฉันไม่รู้จักพี่ฟิวส์ของมันอยู่ ก่อนจะอธิบายให้ฟัง “พี่ฟิวส์นายกสโมไงเพื่อน แกไม่เคยเห็นเลยเหรอ”
“ออ ก็ว่าคุ้นๆ”
คุ้นที่ว่านั้นคือการเห็นผ่านสื่อต่างๆ ของมหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่ได้จำ เอาจริงก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ เรื่องของสโมสรนักศึกษาแทบไม่ใช่ประเด็นสำคัญกับการใช้ชีวิตของฉันเลย
“ชาตินี้แกจะมีผัวไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกนะเพื่อน เพราะถึงมันไม่รู้จักผู้ชายแต่ผู้ชายรู้จักมันค่ะ มันสวย” จินหันไปบอกระรินอย่างหน่ายๆ
“เออเนอะ ฉันก็ลืมคิดไป”
ฉันส่ายหน้ากับเพื่อนสองคนที่เถียงกันไปมา ก่อนที่จะจบบทสนทนาเรื่องไม่เป็นเรื่องเพราะอาจารย์เข้าสอน
ครู่หนึ่งฉันก็คิดได้ว่าควรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูความเคลื่อนไหวเพราะปิดเสียงแจ้งเตือนหนีปัญหาเรื่องเงินอยู่ พลันคิ้วก็ต้องขมวดเข้าหากันพร้อมกับหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเพราะคำขู่ที่ถูกส่งผ่านข้อความเข้ามา
‘คิดจะหนี เจอดีแน่'
------------------
ยัง น้องมันยังไม่รู้ตัว
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง