เมื่อบทสนทนาเข้าสู่ช่วงการพูดคุยเรื่องงาน เหล่าคุณหนูต่างก็แสดงท่าทีอึดอัด และยังคงมีข้อสงสัยอยู่บ้าง ต้องดูว่าเสิ่นอวี้เจาจะปกปิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจได้แค่ไหน พร้อมกับยกยอองค์รัชทายาท ให้ดูเลอเลิศเกินความจริง
"องค์รัชทายาทคือใคร? ท่านคือบุรุษหนุ่มผู้สง่างามและมีเสน่ห์ล้ำลึก เป็นไท่จื่อที่อบอุ่นและเปิดใจรับผู้อื่น ทรงมีนิสัยตรงไปตรงมา และเปี่ยมด้วยความเมตตา ใครก็ตามที่ได้เข้าตำหนักรัชทายาท นั่นคือบุญวาสนาจากการสร้างสมบารมีมาแต่ชาติปางก่อน! อย่าไปเชื่อข่าวลือ และเรื่องนินทาจากภายนอก คนทั่วไปมักไม่พูดถึงความหอมหวานของแอปเปิล แต่ชอบจ้องจับผิดแค่องุ่นเขียว นี่ก็เพราะความอิจฉาริษยา และอยากก่อเรื่องเท่านั้นเอง ตอนนี้โอกาสที่จะได้เชิดชูวงศ์ตระกูลมาถึงแล้ว จะทำให้องค์รัชทายาทพึงพอใจ และได้รับความรักจากพระองค์เป็นร้อยปีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกท่านแล้ว!"
คำพูดเหล่านี้ทำให้เหล่าสตรีพากันลูบมือด้วยความตื่นเต้น อยากลองพิสูจน์ฝีมือ ในกลุ่มนั้นคุณหนูเฉียน ได้ตั้งคำถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "รบกวนบอกข้าเถิดแม่สื่อเสิ่น ไท่จื่อทรงโปรดอะไรบ้าง? ข้าจะได้เตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า"
"องค์รัชทายาททรงโปรดการขับร้องและดูการร่ายรำ ยามถึงเวลาทุกคนต้องแสดงความสามารถที่สั่งสมมาตลอดชีวิตให้เป็นที่ประจักษ์ ที่สำคัญต้องใส่ใจในรสนิยมของพระองค์ซึ่งไม่ธรรมดาเลย ไท่จื่อชอบสตรีที่กล้าหาญและเปิดเผย อย่ามัวเกรงใจจนเกินไป"
"แบบนั้น...จะเหมาะสมหรือ?"
หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยด้วยท่าทางเขินอาย เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น เจียงเฉินถึงกับอยากจะอาเจียน
แต่เสียงของเสิ่นอวี้เจากลับนิ่งสงบ "วางใจเถิด ข้าจะคอยดูแลพวกท่านอยู่ข้างๆ รับรองว่าไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน"
"ท่านหญิงเสิ่นช่างสมกับเป็นแม่สื่ออันดับหนึ่งในเมืองหลวงจริงๆ!"
"อย่ายกยอข้าจนเกินไปนัก ข้าก็เพียงแต่หวังดีต่อองค์ไท่จื่อ และอยากให้พวกท่านมีความสุขในเบื้องหน้าเท่านั้น เมื่อเห็นทุกคนมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบ ข้าก็วางใจแล้ว"
เจียงเฉินที่ทนฟังน้ำเสียงไร้ยางอายของนางไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับหันหลังเดินออกจากห้องรับรองเงียบๆ ช่วงนี้องครักษ์หนุ่มได้ยินเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ท้าทายขอบเขตจิตใจมามากเกินไป เขาจำเป็นต้องหาเวลาสงบสติอารมณ์บ้างแล้ว...
เช้าตรู่, สามวันให้หลัง
ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นจากทางทิศตะวันออก เกี้ยวของเหล่าคุณหนูทั้งหลาย ก็มาถึงตำหนักรัชทายาทแล้ว
ฉู่มู่ฉือซึ่งเพิ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จเรียบร้อย เดินออกมาอย่างเกียจคร้าน ดวงตาหรี่ปรือพอเห็นเงาของเสิ่นอวี้เจา ที่ค่อยๆ ปรากฏตัวในลานอีกฝั่ง นางส่งแกนแอปเปิลที่ถูกกัดจนเกลี้ยงให้เจียงเฉิน แล้วเงยหน้าทักทายอย่างหน้าตาเฉย
"ฝ่าบาทตื่นเช้าเสียจริง หรือเป็นเพราะมีลางบอกเหตุ ว่ากำลังจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เลยตื่นเต้นจนหลับไม่ลง?"
"ข้าไม่ได้หิวกระหายเหมือนที่แม่สื่อเสิ่นคิดหรอก" พระองค์กล่าวขณะเดินผ่านนางไปอย่างไม่ใส่ใจ "ว่าอย่างไรเล่า หรือว่าเจ้าได้เลือกตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมาให้ข้าได้จริงๆ? สมกับเป็นแม่สื่ออันดับหนึ่งของเมืองหลวง ความสามารถของเจ้าช่างไม่ธรรมดาเลย"
เสิ่นอวี้เจาเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง "การช่วยฝ่าบาทหาคู่ครองเป็นหน้าที่หลักของหม่อมฉัน ไม่กล้าละเลยแม้แต่นิดเดียว"
ฉู่มู่ฉือทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที "อ้อ? นั่นแปลว่าแม่สื่อเสิ่นกระตือรือร้น ให้ข้ารีบแต่งงานหรือ?"
เมื่อเห็นท่าทีจงใจยั่วโมโหของไท่จื่อแล้ว เสิ่นอวี้เจาที่รู้สึกไม่สบอารมณ์ตั้งแต่แรก ถึงกับอยากตบหน้าอีกฝ่ายเสียจริงๆ แต่พอคิดแล้วก็ยังอดไม่ได้ ที่จะขยับไปหลบหลังเจียงเฉินอย่างรวดเร็ว "เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสเช่นนั้น? ทั้งที่เมื่อก่อนพระองค์เคยต่อว่าหม่อมฉัน ที่ไม่ใส่ใจเรื่องคู่ครองของท่าน หม่อมฉันจึงต้องเสียเวลาพักผ่อนเพื่อทำให้ฝ่าบาทพึงพอใจ บัดนี้คุณหนูจากตระกูลขุนนางทั้งหลายกำลังรออยู่ ฝ่าบาทควรระวังคำพูด และการกระทำให้สมกับฐานะ ไม่เช่นนั้นจะทำลายชื่อเสียงหม่อมฉันจนหมดสิ้น"
"ระวังคำพูดและการกระทำ?" ฉู่มู่ฉือแค่นหัวเราะเบาๆ "นี่ข้าเป็นฝ่ายเลือกพวกนาง หรือพวกนางเป็นฝ่ายเลือกข้ากันแน่?"
เสิ่นอวี้เจาตอบอย่างจริงจัง "ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่แน่ว่าพวกนางอยากเลือกฝ่าบาทหรือไม่ ฝ่าบาทอย่าเพิ่งอวดดีเกินไปจะดีกว่า"
"..."
เสิ่นอวี้เจาโบกมือให้เจียงเฉิน องครักษ์รีบวิ่งไปบอกคนยกเกี้ยวให้เปิดม่าน เพื่อให้คุณหนูเหล่านั้นลงมาพบกับฉู่มู่ฉือ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาหันหน้าหนีด้วยความสะเทือนใจอย่างที่สุด เพราะไม่มีความกล้าพอแม้แต่จะหันไปมอง
หลังจากนั้นฉู่มู่ฉือยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับ เขามองด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่เหล่าคุณหนูผู้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นว่าที่พระชายา ทยอยลงจากเกี้ยวทีละคน พวกนางเรียงแถวตรงหน้าเขา ซึ่งบรรยากาศนั้นไม่ต่างจากการเผชิญหน้ากับพวกอสูรกายร้ายในน้ำหลาก
พูดตามตรง ภายใต้สายตาอันร้อนแรงและไม่ปิดบังเหล่านั้น แม้แต่เขายังอดไม่ได้ ที่จะอยากหาที่หลบซ่อนตัวชั่วคราว
"แม่สื่อเสิ่น นี่มัน..."
"คุณหนูแต่ละคนล้วนงามราวกับดวงจันทร์" เสิ่นอวี้เจากล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมสุดหัวใจ ขณะเดียวกันก็ลากเก้าอี้มาบังคับให้เขานั่งลง "ฝ่าบาทอย่าเพิ่งรีบร้อน ควรให้พวกนางมีโอกาสแสดงความสามารถก่อน ท้ายที่สุดแล้ว ความงามเพียงอย่างเดียวไม่พอ พระชายาควรมีความสามารถรอบด้าน"
บรรยากาศเงียบสงัดอย่างยิ่ง อาจเป็นเพราะใบหน้าเย็นชาของนาง แม้แต่ในขณะที่ฉู่มู่ฉือไม่ได้แสดงความยินดีใดๆ สีหน้าของนางยังคงจริงจัง ราวกับกำลังอำลาศพ
“ข้าอยากทราบนักว่าท่านหญิงเสิ่น นิยามคำว่า ‘ความงาม’ ไว้อย่างไร?”
“เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ? หม่อมฉันได้คัดเลือกสาวงาม ตามมาตรฐานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อถวายให้แก่ฝ่าบาทแล้ว” คำตอบนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง
“ดังนั้น ข้าจึงมาพบกับคนเหล่านี้อย่างนั้นรึ?”
เสิ่นอวี้เจาจ้องหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกนางล้วนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติอันโดดเด่น ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องขอบคุณหม่อมฉัน อีกทั้งยังไม่ต้องรู้สึกด้อยค่า หรือไม่คู่ควรกับพวกนาง เพราะพวกนางล้วนมีใจที่บริสุทธิ์ หากพวกนางยินดีมาที่นี่ แสดงว่าพวกนางยอมรับในตัวฝ่าบาทแล้ว”
ฉู่มู่ฉือชั่งใจอยู่ว่าควรจะสาดน้ำชาที่ถืออยู่ในมือลงบนหน้าอีกฝ่ายดีหรือไม่ “เช่นนั้นหรือ เจ้าช่างทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมเสียจริง มิสู้ให้ข้า…”
ก่อนที่จะพูดจบ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นปิดปากเขาทันที “หม่อมฉันเคยเตือนฝ่าบาทแล้ว ว่าให้รักษาภาพลักษณ์ของตนเอง! เรื่องนี้มิใช่เพียงเรื่องส่วนพระองค์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความปรองดอง ระหว่างฝ่าบาทกับฮ่องเต้ และขุนนางในราชสำนักด้วย!”
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้หลบเลี่ยง คว้าข้อมือนางไว้ทันที “ท่านหญิงเสิ่น ต้องการที่จะทำให้ขุนนางราชสำนักไขว้เขวหรือ?”
“หม่อมฉันคิดถึงประโยชน์ของฝ่าบาทโดยแท้” เสิ่นอวี้เจาจ้องมองเขาโดยไม่หลบสายตา น้ำเสียงของนางจริงจัง ฉู่มู่ฉือในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับความหน้าด้านของนาง เบือนหน้าหนีอย่างรำคาญ พร้อมโบกมือไล่
“หากพวกเจ้ามีความสามารถก็แสดงออกมาเสีย”
เสิ่นอวี้เจาเพียงส่งสายตาสื่อความหมาย กลุ่มคุณหนูก็เริ่มแสดงความสามารถของตน ทั้งขับร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี และร่ายรำ แต่กลับมีคนร้องเพลงผิดคีย์ เล่นพิณจนสายขาด สาวจากตระกูลจ้าวที่ฟันยื่น แม้ท่วงท่าร่ายรำของนางจะไม่เลว แต่ในขณะที่นางกำลังเต้นเพลินไป ก็เหวี่ยงผ้าแพรในมือตบเข้าหน้าฉู่มู่ฉือเต็มแรง...
เจียงเฉินซึ่งนั่งชม “ระบำปีศาจ” อยู่ รีบหดคอเข้าเสื้อคลุม เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย ว่าทำไมเจ้านายของเขายังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกไว้ได้ อีกทั้งยังปรบมือชมเชย ด้วยความกระตือรือร้น นางไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ?
แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่า นางอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ นางเคยกล่าวไว้ว่าผู้ที่หน้าบางนั้นไม่อาจโกหกได้ และไม่สามารถเป็นแม่สื่อได้ นางคงฝึกฝนจนหน้านางหนา ยิ่งกว่ากำแพงสิบเมตรแล้ว
มาดึกหน่อยน้าา ยังรอกันอยู่ไหมมมมม
ตั้งแต่นั้นมา ความหวาดกลัวที่ฉู่เหม่ยหลิน มีต่อฉู่มู่ฉือก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน ภาพลักษณ์ของเสิ่นอวี้เจาในสายตานางกลับยิ่งดูสูงส่งมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นความชื่นชมในระดับสูงสุดเช่นทุกวันนี้เรื่องจริงพิสูจน์แล้วว่า ทุกครั้งที่ฉู่มู่ฉือรังแกน้องสาว เสิ่นอวี้เจามักจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ"ฝ่าบาทอย่าก่อเรื่อง มิใช่ว่าท่านต้องการชักใยด้ายแดง เพื่อนำทางให้องค์หญิงที่หลงทาง รู้จักกลับตัวกลับใจหรือ?""ข้าไม่ได้กำลังเตือนนางอยู่หรือ?""ขอฝ่าบาทโปรดวางถ้วยน้ำชาเสียก่อน ทรงอย่าทำท่าเหมือนกำลังจะสาดน้ำใส่เลย"ใบหน้าของฉู่มู่ฉือหนาเท่ากับกำแพงเมืองสิบชั้น แม้วิธีการบีบบังคับของเขาจะถูกเปิดโปง แต่ก็ยังคงไม่แสดงอาการลำบากใจ กลับหัวเราะอย่างสดใสแทน"เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องสำคัญกันเถอะ เหม่ยหลินบอกพี่สามมา หากคนรักของเจ้ากลายเป็นคนเสียสติ เจ้ายังจะรักเขาอยู่หรือไม่?"
ในตำหนักจวี้ซิ่วกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกระถางธูปรูปทรงสัตว์มงคล ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ชุดน้ำชาเบญจรงค์ลายครามที่บรรจุชาเขียว สาวใช้เพิ่งชงใหม่ยังคงส่งไอร้อนล่องลอย ขณะที่ฉู่เหม่ยหลิน องค์หญิงในฉลองพระองค์สีแดงสดงดงามน่าหลงใหล ยิ้มแย้มพลางยกถาดขนมมาให้แขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ"ท่านพี่สาม พี่หญิงเสิ่น" ฉู่เหม่ยหลินกล่าวทักทายอย่างนุ่มนวล สายตาเปล่งประกายความเย้ยหยันเล็กน้อย เมื่อมองไปยังฉู่มู่ฉือ "ท่านทั้งสองมาเยี่ยมข้าพร้อมกัน ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งนัก"ฉู่มู่ฉือนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เนื้อดีโดยไม่รอคำเชิญ สายตาที่ทอดมองน้องสาวเต็มไปด้วยความยียวน "ข้าได้ยินข่าวว่าเจ้า'สนใจ' ลูกชายตระกูลซู น่าสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว"ฉู่เหม่ยหลินยิ้มมุมปาก ขณะวางถาดขนมลงบนโต๊ะ "ข่าวลือนั้นจริงเท็จเพียงใด ยังไม่ถึงคราวที่พี่สามจะต้องมากังวลใจ กระนั้น ข้ากลับสงสัยมากกว่า ว่าท่านพี่มีธุระอันใดถึงได้มาเยือนที่นี่ได้ หรือเพียงเพราะแค่ต้องการความรื่นรมย
ขณะที่ท่านเสนาบดีซวีเดินจากไปด้วยความโล่งอก เสิ่นอวี้เจากำลังจะจากไป แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง นางหันกลับไปมอง ก็พบว่าผู้ที่มาเป็นราชครูซูแห่งราชสำนัก"อวี้เจา" อีกฝ่ายยิ้มเรียกนาง "คุยกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่?"ราชครูซูแม้จะเป็นขุนนางอาวุโสที่ได้รับความนับถืออย่างสูง แต่กลับมีนิสัยเหมือนกับฮ่องเต้ทุกประการ กล่าวคือแม้จะแก่แต่ก็ยังอย่างประหลาด และยังชอบทำตัวเหมือนบิดา ที่เอ็นดูลูกหลานมากเกินไปเสมอ อีกทั้งเขามักจะเรียกนางด้วยชื่อรองตรงๆ ซึ่งชวนให้อึดอัดไม่น้อย เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน และถือว่าเป็นคนในราชสำนักเหมือนกันด้วย"ราชครูซู หากท่านมีอะไรจะพูด ก็พูดมาตรงๆ เถิด" เสิ่นอวี้เจาเงยหน้ามองชายชราอาวุโส บอกเผยให้ทราบว่านางรู้จุดประสงค์ของเขาแล้ว "หรือว่าท่านคิดตกแล้ว และตัดสินใจรับข้อเสนอของฝ่าบาท ให้ข้าหาคู่เคียงให้ท่าน?"ราชครูซูหน้าแดงทันที "อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้า!""ข้าก็เดาไปเรื่อย" นางตอบ
"เจ้าควรลืมเหตุการณ์นั้นไปเสีย มิเช่นนั้น..." น้ำเสียงของนางเย็นชาและอำมหิต "ข้าจะทำให้เจ้าสูญเสียลูกหลานทั้งหมด และจากนั้นชีวิตของเจ้าจะมีแต่ความว่างเปล่า""ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!"เสิ่นอวี้เจาหยิบสร้อยไข่มุกขึ้นสวมด้วยท่าทีดูแคลน ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ด้วยความสง่างามอย่างไม่แยแส ทิ้งให้เจียงเฉินยืนถอนหายใจอยู่เพียงลำพังยามเหมา, ท้องพระโรงเฉิงเฉียนฮ่องเต้ทรงฉลองพระองค์มังกรสีทอง ประทับบนพระที่นั่งมังกรอย่างสง่างาม ขณะฟังเหล่าขุนนางรายงานราชการ พระเนตรทรงมองไปทางเสิ่นอวี้เจา ผู้ยืนอยู่เบื้องล่างของขั้นบันไดหินอ่อนเป็นระยะ'อวี้เจา อวี้เจา? เจ้าได้ยินความคิดข้าหรือไม่? นี่เจ้ามาประชุมราชการนะ ห้ามกินของว่างเช่นนี้ มันทำให้ข้าเสียสมาธิมาก'เสิ่นอวี้เจาไม่ได้สังเกตพระเนตรของฮ่องเต้ นางเพียงหยิบขนมไส้เม็ดบัวออกมาจากแขนเสื้อ เคี้ยวกินอย่างเปิด
ในความทรงจำของเสิ่นอวี้เจา เจ้าคนสารเลวนี่ไม่เคยทำอะไรดีๆ เลยสักครั้ง รู้แค่จะเอาหนอนตัวอ้วนมาโยนใส่เสื้อของนาง หรือเอาเถ้าถ่านไปใส่รองเท้า หรือบางทีก็ยืนอ่านจดหมายรักของนางเสียงดังๆ ต่อหน้าฝูงชน...กล่าวโดยรวมแล้ว หากเขาปรากฏตัวขึ้นที่ใด ที่นั่นก็ต้องเกิดเหตุเภทภัยเสมอส่วนเรื่อง "ตามใจ" อะไรนั่น ก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้งเดียวฉู่มู่ฉือไม่ได้โกรธ แต่ยิ่งกว่านั้นเขาเพียงหัวเราะเบาๆ พร้อมลูบไล้ตัวนางอย่างอ้อยอิ่ง ปลายนิ้วไล่ผ่านลำคอขาวเนียนลงมาที่ไหปลาร้าบอบบาง แล้วเลื่อนไปถึงทรวงอกที่โค้งงอน..."คนเลว!" เสิ่นอวี้เจาฟาดมือของเขาด้วยเสียง "เพียะ" อย่างไม่ลังเล แต่ทันทีที่คำพูดหยาบคายหลุดจากปาก นางก็รู้ตัวว่ามันไม่เหมาะกับความสง่างามของขุนนางหญิง จึงรีบกระแอมเปลี่ยนน้ำเสียงทันควัน "อะแฮ่ม...หม่อมฉันเองก็ชั่วช้าเช่นกัน ดังนั้นการใกล้ชิดกับฝ่าบาทมากเกินไปเช่นนี้ นับว่าไม่อาจให้อภัยได้ หม่อมฉันควรกลับห้องเสียที"หางตาของฉู่มู่ฉือยกขึ้นเล็กน้อย
ด้วยคำเตือนก่อนหน้านี้ของเสิ่นอวี้เจา เหล่าคุณหนูล้วนรู้ว่าไท่จื่อชอบสตรีที่กล้าหาญและตรงไปตรงมา พวกนางจึงพยายามแสดงท่าทีที่งดงามที่สุด ดวงตายั่วเย้า มือหยกกวักเรียก แต่แล้วคุณหนูจากตระกูลเฉียนที่ดูจะกระฉับกระเฉงเกินไป กลับสะบัดสะโพกใหญ่อันอวบอิ่มของนางเข้าใกล้ฉู่มู่ฉือในใจที่ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา ฉู่มู่ฉือขบฟันแน่น ยกมีดผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ใครจะคาดคิดว่าเสิ่นอวี้เจาจะตบหลังมือเขาอย่างรวดเร็ว มีดจึงลื่นหลุดจากมือและบินออกไป ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็ได้เห็นหายนะความผิดพลาด ในยามที่ฉู่มู่ฉือโกรธเกรี้ยว มีดที่หลุดมือพุ่งตรงไปหาขาซ้ายของคุณหนูเฉียนเสียงกรีดร้องดังก้องเหมือนหมูถูกเชือดเจียงเฉินกลับรู้สึกสงบในทันที เขารู้ดีว่าหากมีการนองเลือดเล็กน้อย การแสดงเลือกคู่ในวันนี้อาจต้องจบลง การเสียสละคนหนึ่งเพื่อให้คนอื่นมีความสุข นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า อีกทั้งคุณหนูเฉียนมีรูปร่างที่อ้วนท้วม การเสียเลือดเพียงเล็กน้อยคงไม่ทำให้นางอ่อนแอลง