ลี่มี่เก็บข้าวของจำเป็นของตนเองและน้องจนครบ พับเก็บใส่ห่อผ้าอย่างรวดเร็ว โดยมิลืมหยิบเงินที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ ใส่สาบเสื้อของตนเอาไว้ นางคิดแล้วคิดอีกว่าจะนำของต่างๆ ของท่านพ่อและท่านแม่ไปด้วยดีหรือไม่ แต่ด้วยสัมภาระของนางและอาหมิงก็มีมากมายแล้ว นางจึงเลือกเสื้อผ้าที่ท่านพ่อและท่านแม่ชอบสวมใส่ ติดตัวไปด้วย
“พี่มี่เอ๋อร์ ฮึก! เราจะไปที่ใดกันหยือ”
“พี่ยังมิรู้ แต่เราต้องออกจากที่นี่ก่อน เจ้าเจ็บมากหรือไม่…มาเถิด พี่จะอุ้มเจ้าเอง” ลี่มี่ปาดน้ำตาบนใบหน้าของน้องชาย พลางโอบอุ้มเด็กชายตัวน้อยเข้าอก
“มี่เอ๋อร์ เจ้าคงมิคิดจะออกจากสกุลของเราจริงๆ ใช่หรือไม่” ชุนเต๋อเอ่ยรั้งน้องสาว เมื่อเห็นว่าลี่มี่หอบหิ้วสัมภาระมากมายออกมาจากห้อง ท่านพ่อสั่งให้เขามาปลอบใจลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง เพราะกลัวว่าทั้งคู่จะเสียใจและคิดทำสิ่งที่มิสมควร แต่ยังไม่ทันที่ชุนเต๋อจะเคาะประตูเรียก ลี่มี่และลี่หมิงกลับหอบหิ้วสัมภาระมากมายออกมา
“เป็นเช่นนั้นพี่ชุนเต๋อ ข้ากับน้องขอตัดขาดกับพวกท่านทั้งหมด จากนี้ข้ามิขอยุ่งเกี่ยวกับสกุลชุนอีกต่อไป” ลี่มี่เดินออกจากเรือนไปอย่างแน่วแน่ มิหันกลับมามองด้านหลังแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อขอรับ! มี่เอ๋อร์พาอาหมิงออกจากเรือนไปแล้วขอรับ” เสียงตะโกนของบุตรชายคนโต ทำให้ชุนไห่ที่พูดคุยไกล่เกลี่ยกับมารดาและภรรยาอยู่ ต้องรีบวิ่งมาหน้าเรือน
“มี่เอ๋อร์ เจ้าใจเย็นก่อนเถิด ใกล้มืดเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก”
“ปล่อยนางไป หากนางคิดว่าจะมิอดตาย ก็ปล่อยนาง อวดดี! จองหอง! แล้วอย่าได้คิดจะกลับมาสกุลชุนของข้าอีก” ชุนฉือตะเบ็งเสียงออกมาดังลั่น ร่างอวบของหญิงชราสั่นเทาไปด้วยความโกรธ นางใช้ชีวิตมาจนใกล้จะลงโลง ยังมิมีผู้ใดทำให้นางเสียหน้าได้ถึงเพียงนี้ ถึงกลับกล้าเอ่ยตัดขาดจากตระกูล
นางช่างกล้า ช่างกล้านัก!
“ท่านแม่!!”
“ข้าเองก็มิคิดจะกลับมาสกุลของท่านเช่นกัน” ลี่มี่เอ่ยเท่านั้นก็เดินออกจากเรือนสกุลชุนไป ชุนไห่และชุนเต๋อเองก็พยายามจะรั้งทั้งสองคนไว้ แต่ชุนเจียงและซูเม่ยกลับดึงรั้งมิให้ตามลี่มี่ไป ด้านชุนฉือถึงขั้นยื่นคำขาด ว่าหากชุนไห่ตามไปจะตัดสายสัมพันธ์ความเป็นมารดาเสียให้สิ้น
“พี่มี่เอ๋อร์ น้องหนาว”
“กอดพี่ให้แน่นเข้าไว้ อดทนเสียหน่อย พี่จะไปขอความช่วยเหลือที่เรือนผู้ใหญ่บ้าน” ลี่มี่พาลี่หมิงเดินออกจากเรือนสกุลชุนมาเพียงสองตรอก ฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มลงทุกที
“นั่นมี่เอ๋อร์ใช่หรือไม่ มี่เอ๋อร์” ลี่มี่หันไปตามเสียงเรียก ก็พบเข้ากับท่านยายเหมาไป่ เมื่อก่อนยามที่ท่านแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ นางก็มักจะได้พบกับท่านยายเหมาไป่เสมอ ทั้งท่านพ่อท่านแม่ยังคอยช่วยเหลือเกื้อกูลท่านยายมิขาด ด้วยบุตรชายที่ตายไปของท่านยายเหมาไป่ เป็นสหายสนิทของท่านพ่อ ท่านพ่อกับท่านแม่จึงมักมาดูแลท่านยายเหมาไป่อยู่เป็นประจำ
“ท่านยาย”
“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงได้หอบหิ้วสัมภาระมากมายถึงเพียงนี้ มาๆ เข้ามาในเรือนก่อนเถิด” เหมาไป่รีบเข้าไปหาหลานทั้งสอง ตั้งแต่ที่เจียวมี่และอาหยวนตายไป นางก็มิได้พบเจอหลานทั้งสองบ่อยนัก มีเพียงนางที่ไปเยี่ยมเยือนเด็กทั้งคู่บางครั้งบางครา
ลี่มี่อุ้มน้องชายเดินตามท่านยายเข้าไปในเรือน เมื่อเข้ามาแล้วก็เอ่ยเล่าเรื่องราวให้หญิงชราได้ฟังจนหมด ทั้งยังเปิดบาดแผลบนร่างกายของลี่หมิงให้ท่านยายเหมาไป่ได้ดู
รอยแดงที่เกิดจากการเฆี่ยนตีตรงสะโพกของเด็กชาย ทำให้ผู้เป็นยายถึงกับสาปแช่งสะใภ้ใหญ่สกุลชุน ที่ทำร้ายเด็กน้อยได้ถึงเพียงนี้ หญิงชราลุกขึ้นไปหายาสมุนไพร มาทาให้กับลี่หมิงอย่างเบามือ
“ขอบพระคุณขอยับ” ร่างน้อยโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“หายเจ็บเสียเถิดเด็กดี…แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อ”
“ข้าคิดว่าจะไปขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยหาเรือนหลังเล็กๆ เช่าอยู่อาศัยไปก่อนเจ้าค่ะ”
“จะเช่าเรือนด้วยเหตุใด มาอยู่ด้วยกันกับยายเถิด ยายเองก็มิมีผู้ใดอยู่ด้วย แม้เรือนจะมิใหญ่มาก แต่ก็คงจะพออยู่อาศัยได้”
“จะไม่ลำบากท่านยายหรือเจ้าคะ” ลี่มี่เอ่ยออกมาอย่างกังวล หากว่าท่านยายเต็มใจให้พวกเขาสองพี่น้องอาศัยอยู่ด้วย ย่อมเป็นเรื่องดี เงินทองที่มีอยู่ จะได้นำมาใช้จ่ายและเหลือเก็บไว้ในยามจำเป็น
“ลำบากอันใดกัน ยามบิดามารดาพวกเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็ดูแลยายเป็นอย่างดี อีกอย่างยายก็อยู่ลำพัง หากมีพวกเจ้ามาอยู่ด้วยคงจะหายเหงา” เหมาไป่ยกมือลูบศีรษะหลานสาวอย่างอ่อนโยน
“…”
“จากนี้ก็มาเป็นหลานยายเถิดนะ มาอยู่ด้วยกัน”
“เจ้าค่ะท่านยาย ฮึก” ลี่มี่หลั่งน้ำตาออกมา ความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจ ถูกปล่อยออกมาจนหมด แม้จะทำตัวเข้มแข็งสักเพียงใด แต่ลี่มี่เองก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น เจอเรื่องราวเข้ามาทับถมเช่นนี้ ย่อมอยากได้ที่พักพิง ร่างเล็กโผเข้ากอดผู้เป็นยายอย่างแนบแน่น เด็กชายตัวน้อยเมื่อเห็นว่าพี่สาวเข้าไปกอดท่านยาย จึงได้เข้าไปกอดก่ายด้วยอีกคน
ลี่มี่ปาดน้ำตา โอบกอดทั้งท่านยายและน้องชายไว้ จากนี้เรือนสกุลเหมาคือครอบครัวของนาง มิใช่สกุลชุนอีกต่อไป แม้ตั้งใจจะหนีให้ห่างจากสกุลชุน แต่ก็มิเป็นไร ห่างกันเพียงสองตรอก ก็ยังดีกว่าต้องร่วมชายคาเดียวกัน…
“อาหมิง เบื่อหรือไม่” หวังเยี่ยนที่ละเล่นมาทั้งวัน ก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา ทั้งเวลานี้ก็จะเข้าปลายยามโหย่วแล้ว (17:00 – 18:59 น.) แต่ท่านพ่อและพี่สาวแก้มเขียวก็ยังไม่กลับเรือนเสียที“มิเบื่อขอยับ นี่ น้องวาดปลาได้แย้ว~”“อืมๆ”“คุณชายเบื่อหยือขอยับ” ลี่หมิงเมื่อเห็นว่าคุณชายนอนนิ่งมิไหวติง ก็เข้าไปถามไถ่“อืม เบื่อ! เราไปตลาดกันดีหรือไม่”“ไปหาพี่มี่เอ๋อร์ หยือขอยับ”“ใช่ ไปหาท่านแม่สุดที่รักของข้า ไปช่วยนางทำมาหากินเสียหน่อย ข้าจะได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูบ้าง” ว่าแล้วหวังเยี่ยนก็ลุกพรวดขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่นานหวังเยี่ยนและลี่หมิงก็ออดอ้อนพ่อบ้านจาง ขอออกมาพบว่าที่ฮูหยินของเรือนท่านเจ้าเมืองจนได้“อาหมิง เจ้าว่าเราเล่นซ่อนหากันดีหรือไม่ สนุกนะ” เสียงกระซิบของคุณชายทำให้ลี่หมิงนึกลังเล พ่อบ้านจางบอกว่าต้องอยู่กับสาวใช้ตลอดเวลา ห้ามแยกตัวออกไปคนเดียว“แต่เดี๋ยวพี่สาวจะเป็นห่วงเอาได้นะขอยับ” พี่สาวที่ลี่หมิงหมายถึง คือสาวใช้ที่อาสามาส่งพวกเขาไปหาพี่มี่เอ๋อร์ที่สำนักแม่หมอ“ก็เดี๋ยวเราให้นางเป็นคนหาอย่างไรเล่า ไปเถิด” ยังไม่ทันที่ลี่หมิงจะเอ่ยปฏิเสธ หวังเยี่ยนก็ดึงแขนลี่หมิงวิ่งแยกตัวออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้น อี้หานก็รีบไปที่เรือนเล็ก เพื่อสอบถามเรื่องสร้อยข้อมือที่พบในที่เกิดเหตุ หากว่าท่านยายมีเครือญาติที่ใช้แซ่เหมา อาจทำให้หาตัวคนร้ายได้ง่ายขึ้น“ผู้ที่ใช้แซ่เหมา นอกจากท่านแล้ว ยังมีผู้อื่นหรือไม่ขอรับ”“ในเมืองซูโจวมิมีแล้ว สามียายเดินทางมาจากเมืองอื่น จึงมิมีเครือญาติที่ใช้แซ่เหมาอยู่ในเมืองของเราเลย”“ถ้าอย่างนั้นท่านยายเคยเห็นจี้ข้อมือนี้หรือไม่ขอรับ” อี้หานยื่นสร้อยข้อมือให้กับเหมาไป่ได้ดูอย่างถนัดถนี่เมื่อเห็นสร้อยข้อมือชัดเจนแล้ว เหมาไป่ถึงกับน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ร่างอวบของหญิงชราสั่นเทา จนลี่มี่ที่นั่งประคองอยู่รู้สึกได้“ท่านยาย…”“ฮึก! ท่านได้มาจากที่ใดหรือ มันเป็นของบุตรชายข้า” คำตอบของท่านยาย ทำให้ลี่มี่และอี้หานสบตากันอย่างมิได้นัดหมาย ทั้งคู่รู้อยู่แล้วว่าบุตรชายท่านยายได้เสียชีวิตไปแล้วเช่นนั้นคนร้ายเป็นผู้ใดกัน เป็นผีสางอย่างนั้นหรือ“ข้าเจอในที่เกิดเหตุฆาตกรรมขอรับ มีผู้อื่นที่ใส่จี้นี้หรือไม่ขอรับ”“มิมี สร้อยข้อมือนี้เป็นข้า ที่ทำให้อาซางกับมือของข้าเอง มีเพียงชิ้นเดียวในแผ่นดิน แต่บุตรชายข้า ฮึก เขาตายไปแล้ว ถึงเขาจะยังมีชีวิตอยู่ เขาก็มิมีทางทำเช่น
“สลักคำว่า เหมา อย่างนั้นหรือ” อี้หานพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา บนเหรียญอีแปะสลักคำว่าเหมาไม่ผิดแน่“สกุลของท่านยายหรือเจ้าคะ ข้าขอดูทีเถิด” ลี่มี่ขยับเข้าไปใกล้อี้หาน“…”“จริงด้วย สลักคำว่าเหมามิผิดแน่ แซ่ของท่านยายก็มีอักษรเช่นนี้เจ้าค่ะ”“ท่านยายมีเครือญาติที่ใดอีกบ้าง” ฟ่งอู๋เอ่ยถามขึ้น เขากลัวว่าคนร้ายจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวสกุลเหมา“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ สามีและบุตรของท่านยายตายไปแล้ว แต่ครอบครัวสามีท่านยาย ข้าเองก็ไม่แน่ใจ คงต้องไปถามท่านยายอีกทีเจ้าค่ะ”“อืม พรุ่งนี้ข้าจะถามท่านยายเอง แต่คงต้องรบกวนหรงจี ให้ช่วยหาคนแซ่เหมาในเมืองซูโจวของเรา และประกาศออกไปว่าเรารู้ตัวคนร้ายแล้ว” อี้หานคิดว่าเรื่องบ้านเมืองเช่นนี้ เขาสมควรที่จะเอ่ยปากถามท่านยายด้วยตนเอง“ข้อน้อยยินดีขอรับ”“ข้าขอบใจทุกคนที่มาช่วยเหลือกัน วันนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด วันพรุ่งเราจะเร่งหาตัวคนกระทำผิดกันแต่เช้า” ว่าแล้วอี้หานก็จับจูงมือลี่มี่กลับเรือนทันที แต่แม้จะกลับมาถึงเรือนแล้ว ลี่มี่ก็ยังมีภาพน่าสยดสยองเหล่านั้นติดตาอยู่ จนมิกล้าแม้แต่จะก้าวขาออกห่างท่านเจ้าเมือง“นี่ก็ปลายยามฉวีแล้ว (19:00 – 20:59 น.) เจ้ารี
สถานที่เริงรมย์ที่มีเพียงเสียงหัวเราะรื่นเริง ของชายหนุ่มและหญิงสาว กลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นที่แฝงไปด้วยความเสียใจและตื่นกลัว เตียงนอนที่ควรจะมีแพงกลิ่นอายของความสุขเคล้าราคะ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน มิรู้ว่าเลือดมากมายเหล่านั้นเป็นของผู้ใดกันแน่ เพราะในห้องมีคนถึงสามคนที่ถูกฆ่าอย่างทารุณ“เกินไปแล้ว เหตุใดจึงโหดร้ายเช่นนี้” ภาพน่าสยดสยองตรงหน้าทำให้ร่างเล็กถึงกับหันมาซุกอกแกร่ง หลังจากที่ท่านผู้ช่วยมาแจ้งเรื่องราวการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในหอนางโลมหนี่ชิ่ง ลี่มี่ก็รีบขอตามอี้หานมาด้วย แต่มิคิดว่าจะเรื่องราวจะโหดร้ายเช่นนี้“ครานี้ฆ่าไปถึงสามศพเลยหรือ เรียกฟ่งอู๋มาตรวจดูศพแล้วหรือยัง” อี้หานว่า พลางโอบตัวลี่มี่เข้าซุกอกของตนเอง“มาตรวจแล้วขอรับ บัดนี้ท่านหมอกำลังเขียนรายงานอยู่ในอีกห้องขอรับ” หรงจีพยักพเยิดหน้าไปทางห้องข้างๆเหตุคราวนี้เกิดขึ้นในห้องพักส่วนตัวบนหอนางโลมหนี่ชิ่ง ทหารหนุ่มที่พึ่งจะออกเวรยาม เข้ามาเที่ยวสถานที่เริงรมย์ ทั้งยังเรียกสตรีเข้ามาปรนนิบัติถึงสองคน แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ทั้งสามคนถูกคนร้ายฆ่าตายอย่างน่าอนาถ ร่างกายมีบาดแผลเหวอะเต็มไปหม
อาจารย์ที่รับลี่หมิงเข้ามาเรียน ก็แนะนำลี่หมิงให้ศิษย์คนอื่นๆ รู้จัก จากนั้นก็เริ่มทำการเรียนการสอนตามปกติ ลี่หมิงเองก็ตั้งใจเล่าเรียน เพื่อมิให้เงินทองของพี่อี้หานต้องสูญเปล่า ดังที่พี่สาวได้เอ่ยบอกเอาไว้ แต่แล้วช่วงเวลาที่ยากลำบากก็มาถึง เพราะหลังจากเรียนเสร็จ ท่านอาจารย์บอกให้ศิษย์ทุกคนไปพักทานอาหารมื้อกลางวัน“อาหมิง ไปทานข้าวกับพวกเราหรือไม่” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยชวนสหายคนใหม่อย่างใจดี“ขออภัยขอยับ น้องเอาอาหารไว้ที่คุณชายโจว ต้องไปเอาก่อนขอยับ”“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเราไปทานข้าวก่อนนะ”“ขอยับ” ลี่หมิงอดเสียดายไม่ได้ เขากำลังจะได้สหายคนใหม่แล้วเชียว มือเล็กรีบเก็บของเข้าย่าม แล้วจึงเดินออกไปหาคุณชายโจว ที่มิรู้ว่าบัดนี้ไปอยู่ที่ใดเดินหาอยู่นาน ลี่หมิงก็พบว่าหวังเยี่ยนเองก็กำลังจะเดินมาทางเขาอยู่พอดี“คุณชาย น้องอยู่ตรงนี้”“รู้แล้วๆ ข้ากำลังเดินอยู่นี่อย่างไร” หวังเยี่ยนพาลี่หมิงไปทานมื้อกลางวันใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่ประจำของเขามือเล็กนำห่อข้าวที่บ่าวรับใช้เตรียมมาให้ออกมาแกะกินจนหมด ลี่หมิงที่ยังไม่อิ่มก็รีบนำขนมที่เตรียมมาสองชิ้นขึ้นมากิน แต่เด็กอ้วนก็ยังมีน้ำใจแบ่งให้หวังเยี่ยนไ
หลังจากวันที่อี้หานพาลี่มี่ไปแนะนำกับครอบครัวสกุลโจว โจวฟู่เฉียนก็ได้เร่งเข้ามาพูดคุยกับท่านยายเหมาไป่ ทั้งยังส่งมอบของหมั้นให้สมฐานะของสกุลโจวและบุตรชายที่เป็นถึงท่านเจ้าเมือง ในส่วนของพิธีแต่งงาน อี้หานได้ประกาศออกไปว่า จะมีพิธีมงคลก็ต่อเมื่อสามารถจับตัวคนร้ายที่กระทำผิดมาลงโทษได้แล้วเท่านั้น เมื่อประกาศไปดังนั้นชาวบ้านก็แห่สรรเสริญท่านเจ้าเมืองกันยกใหญ่ที่เห็นแก่ทุกข์สุขของชาวเมืองมากกว่าความสุขส่วนตน“พี่ว่าอาภรณ์สีฟ้าเหมาะกับเจ้ายิ่งนัก ใส่แล้วน่ารักยิ่ง” ลี่มี่มองน้องชายที่สวมอาภรณ์สีฟ้าสดใสแล้วยิ่งรู้สึกเอ็นดูน้องชาย เหมาไป่และผิงผิงเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับลี่มี่“มิได้! เจ้าเด็กขี้แยเป็นคนซุ่มซ่าม ประเดี๋ยวก็ทำเสื้อผ้าเปื้อน…ใส่สีดำนี่” หวังเยี่ยนชี้นิ้วไปที่อาภรณ์สีดำ“ยายเองก็คิดเช่นเดียวกับอาเยี่ยนว่า ใส่เสื้อผ้าสีดำจะได้มิเปื้อนง่าย”“สีดำมิน่ารักสักนิด อาเยี่ยนเอาไปใส่เองเถิด” หลังจากที่ลี่มี่หมั้นหมายกับอี้หาน การเรียกขานและการพูดคุยจึงดูสนิทสนมกันมากขึ้น แต่หวังเยี่ยนก็ยังมิเรียกลี่มี่ว่าท่านแม่เสียที“พี่สาวแก้มเขียวจะให้อาหมิงไปทำตัวน่ารักหรือจะให้ไปเรียน หืม” เสียงถก